บทที่3
ซึ่งที่หานซางจื่อคาดเดานั้นไม่ผิดเลยนับตั้งแต่จ้าวเหลียงอี้ก้าวเท้าพ้นประตูห้องหอไปไม่ถึงหนึ่งเค่อเฝิงกุ้ยเฟยก็รับทราบทุกสิ่งจากคนของนางแล้วใบหน้าของสตรีวัยสี่สิบหกหนาวแย้มยิ้มสมใจยิ่งนักที่บุตรชายของตนช่างได้ดังใจไปทุกสิ่ง
“หึ! พรุ่งนี้เถิด นังเด็กแซ่หานผู้นั้นมันจะต้องซาบซึ้งเชียวละว่าการที่มันคิดใฝ่สูงเป็นคางคกกลับคิดจะกินเนื้อหงส์นั้นผลตอบแทนมันจะเป็นอย่างไร!”
เพราะแต่เดิมเฝิงกุ้ยเฟยนั้นหมายตาคุณหนูใหญ่ของสกุลถานที่มีพรรคพวกอยู่เกือบกึ่งหนึ่งในราชสำนักของเทียนสุ่ยถึงสกุลถานขุนนางบู๊มีลูกหลานเป็นทหารและผู้นำตระกูลยังเป็นแม่ทัพใหญ่แต่ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าอำนาจไม่น้อยไปกว่าทางฝ่ายสกุลซ่งของซ่งฮองเฮาซึ่งหากได้รวมกับฝ่ายสกุลเฝิงของนางก็ไม่แน่ว่ารากฐานอันมั่นคงขององค์ไท่จื่ออาจมีสั่นคลอน ทว่านางยังไม่ทันลงมือซ่งฮองเฮากลับชิงตัดหน้าขอสมรสพระราชทานให้แก่ไท่จื่อกับถานจีเซียงคุณหนูใหญ่ของสกุลถานไปเสียก่อน
เพียงเท่านั้นก็แล้วไปเถิดนางยังมองคุณรองของอัครมหาเสนาบดี ‘เว่ย’เว่ยชิงกุ่ยมาทดแทนพอให้ได้ฝ่ายสนับสนุนให้บุตรชายของตนได้มีรากฐานมั่นคงอยู่ในราชสำนัก แต่ซ่งฮองเฮากลับไม่เปิดโอกาสให้นางกับจ้าวเหลียงอี้ได้หายใจกลับยัดเยียดญาติฝ่ายมารดาของตนเองเช่นคุณหนูสามหานซางจื่อที่สิ้นไร้ทั้งกำลังคนหนุนหลังรวมไปถึงบิดาของนางกับพี่ชายคนโตแน่นอนว่าต้องเป็นคนของซ่งเพ่ยหนี่ว์สตรีสมควรตายผู้นั้นทั้งหมด แต่งสะใภ้คนนี้จึงมีแต่เสียกับเสียแล้วจะให้นางพึงใจอยู่ได้อย่างไร?!
โครม! โครม! โครม!
ยังไม่ทันพ้นยามอิ๋นดีด้วยซ้ำหานซางจื่อกับถิงเฟยก็ถูกปลุกด้วยเสียงทุบประตูดังโครมครามกึกก้องไปทั้งฝั่งทิศตะวันออกของตำหนักซู่จิ้งอ๋องเสียแล้วแต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เหนือกว่าที่หานซางจื่อนั้นคาดเดาเอาไว้แล้วสาวน้อยผู้เพิ่งมาเป็นสะใภ้ใหม่เลยไม่แตกตื่นแต่กลับมีสติคิดการรอตั้งรับอย่างใจเย็น
“ไปเปิดประตูเถิดนะถิงเฟย จะเกิดอันใดขึ้นก็จงอย่าแตกตื่นเสียขวัญจงจำเอาไว้ข้าได้รับโทษได้แต่เจ้าต้องรักษาตัวให้รอดเอาไว้หาไม่หากเราถูกลงโทษไปด้วยกันจะยิ่งลำบาก”
เฝิงกุ้ยเฟยต้องไม่ปล่อยนางที่เป็นหลานสาวของซ่งฮองเฮาให้ปลอดภัยเป็นแน่ถึงไม่ลงโทษรุนแรงแต่เช่นไรทำให้ซู่จิ้งอ๋องไม่พึงใจจนหนีออกจากห้องหอคาดว่าหนีเช่นไรก็คงหนีไม่พ้นแล้วจริงๆ
“เจ้าค่ะคุณหนู”
ถิงเฟยรับคำแล้วเร่งรุดไปเปิดประตูด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทาแต่ก็ต้องฝืนอดทนไม่แสดงอาการออกไปจนเกินงาม ซึ่งพอเปิดประตูเท่านั้นก็เผชิญหน้าเข้ากับแม่นมจางที่มีสีหน้ามึนตึงราวกับโกรธแค้นกันมาหลายภพชาติก็มิปาน
“แจ้งแก่พระชายาหานว่าให้เร่งแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วไปเข้าเฝ้าเฝิงกุ้ยเฟยที่ตำหนักหนิงอู่ที่อยู่ทางทิศเหนือโดยเร่งด่วน!”
สีหน้าว่าน่าหวาดหวั่นแล้วน้ำเสียงกลับเพิ่มพูนจนถิงเฟยเก็บอาการไม่ไหวมือไม้และปากคอสั่นไปหมดเห็นเช่นนั้นหานซางจื่อก็ได้แต่ถอนหายใจ ทว่าเด็กคนนี้นางทอดทิ้งไปได้จริงๆ
“เปิ่นหวางเฟยทราบแล้วเชิญแม่นมจางกลับไปรอได้เลยไม่เกินสองเค่อเปิ่นหวางเฟยจะตามไป”
สาวน้อยลุกขึ้นไปเจรจาด้วยตนเองสติตื่นเต็มตาแล้วแม่นมจางทำเพียงเหลือบสายตามองเล็กน้อยแล้วจึงสะบัดแขนเสื้อเดินเชิดหน้าจากไปกิริยาเหล่านี้คนเป็นเพียงแม่นมแน่นอนไม่สมควรปฏิบัติต่อคนที่เป็นพระชายาเป็นนายหญิงที่เป็นรองก็เพียงซู่จิ้งอ๋องในตำหนักใหญ่แห่งนี้ ทว่าในกรณีของนาง หานซางจื่อล้วนกระจ่างดีว่าตนเองมันต่ำต้อยเพียงใดในสายตาของคนเหล่านี้
‘จงจดจำเอาไว้นะเฉียนเกอว่าคนทั่วใต้หล้าหมิ่นเกียรติเราได้แต่ตัวของเจ้าจะหมิ่นเกียรติและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตนเองมิได้เด็ดขาด!’
พลันนั้นคำสั่งสอนของมารดาก็ดังขึ้นในหัวของหานซางจื่อในขณะที่ให้ถิงเฟยกับซูผิงช่วยกันแต่งกายแต่งผมให้นางอยู่ นั้นเองคนที่เพิ่งก้าวผ่านวัยของ ‘สาวน้อย’มาได้เพียงหนึ่งวันจึงได้พอมีกำลังและแรงใจพอที่จะก้าวไปเผชิญหน้ากับเฝิงกุ้ยเฟยอีกครั้ง นี่ก็แค่เพียงเริ่มต้นเท่านั้นนางจะมาท้อถอยไม่ได้จะลำบากยากไร้หรืออันตรายแค่ไหนนางต้องต่อสู้และฝ่าฟันไปจนถึงวันที่ตนเองหลุดพ้นไปจากตำหนักซู่จิ้งอ๋องในอีกสามหนาวข้างหน้าหรือจนกว่าภารกิจของตนเองจะสำเร็จ!
ขุมนรกที่มีนามว่าตำหนักซู่จิ้งอ๋องนี้จะอย่างไรก็หลบหนีไปได้ก็มีเพียงเผชิญหน้าอย่างมีสติเพราะคนเราหากสิ้นสติก็เป็นเช่นคนโง่เขลาเท่านั้นและคนโง่เขลาก็มีแต่รอคอยความตายเท่านั้นหานซางจื่อจึงเตือนตนเองให้เข้มแข็งและกล้าหาญเพียงเท่านั้น
“หงเจี๋ยเจ้ารั้งอยู่ดูแลที่ตำหนักเฟิ่งหนิงนี่ไปเถิด เปิ่นหวางเฟยจะไปพบเฝิงกุ้ยเฟยกับถิงเฟยและซูผิงเอง เอาละซูผิงนำเปิ่นหวางเฟยไปยังตำหนักเฝิงกุ้ยเฟยได้แล้ว”
เมื่อเตรียมตัวเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึงสองเค่อตามที่นางได้แจ้งไปกับแม่นมจางแล้วจึงหันไปบอกกับนางกำนัลนามหงเจี๋ยแล้วก่อนจะลุกขึ้นก้าวตามซูผิงไปมีถิงเฟยเดินรั้งท้ายมุ่งหน้าไปพบพานกับมารดาสามีที่มีความชิงชังนางอยู่ล้นหัวอกมันที!!!…