บทที่8
แต่ภาพบนเตียงกลับทำเอาจ้าวเหลียงอี้รู้สึกละอายใจขึ้นมาไม่น้อย ใบหน้างดงามของหานซางจื่อดูชอกช้ำเช่นดอกสาลี่ถูกลมฝนสาดซัดมาอย่างหนักจนบอบช้ำชวนใจหายอย่างยิ่งเท้าแกร่งของจ้าวเหลียงอี้พลันหยุดนิ่งคล้ายดังว่าตัดสินใจไม่ถูกเลือกไม่ได้ว่าตนจะเข้าไปดีหรือถอยหลังกลับดี
“ซู่จิ้งอ๋อง…”
ร่างบอบบางค่อยๆ ขยับเท้าก้าวลงจากเตียงลงมาโค้งกายทำความเคารพผู้เป็นพระสวามีด้วยกิริยามารยาทงดงามจนจ้าวเหลียงอี้ถึงกับวางสีหน้าไม่ถูกไปอีกครู่ใหญ่
“ซางจื่อขอบพระทัยซู่จิ้งอ๋องยิ่งนักที่ดึกดื่นถึงเพียงนี้ยังมากน้ำใจมาเยี่ยมดูอาการด้วยตนเองเช่นนี้ ขอบพระทัยเพคะ”
หญิงสาวกล่าววาจาที่กินความหมายลึกซึ้งที่หากฟังให้กระจ่างย่อมรู้แจงนางแดกดันบุรุษนามจ้าวเหลียงอี้ทุกคำแล้วจึงย่อกายคารวะอีกครั้งทุกท่วงท่านั้นอ่อนช้อยแต่ก็ดูพอดีไม่ดูเสแสร้งจนเกินงามจนผู้ถึงกิริยาธรรมชาตินั้นปิดบังคำกล่าวกินใจนั้นไปจนสิ้นดังนั้นต่อให้เขานั้นไม่ชื่นชอบสตรีตัวน้อยตรงหน้ามากเพียงใดจ้าวเหลียงอี้กลับอาละวาดฟาดอารมณ์ใส่นางไม่ลงยิ่งสภาพของผู้เป็นพระชายาของตนยังดูย่ำแย่ใบหน้าซีดเผือดแก้มมีรอยช้ำมุมปากยังเห็นรอยแตกข้อมือก็มีผ้าพันเอาไว้นั้นบวมจนผิดรูปทั้งสิ้นเป็นมารดาของเขาที่ลงมือโดยที่หานซางจื่อไร้ความผิดความละอายใจจึงท่วมท้น
"เปิ่นหวางเพียงมาแจ้งแก่เจ้าเท่านั้นว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับฮองเฮาก่อนยามเฉินเท่านั้นอย่าสำคัญตนเองเกินไป ในสายตาของเปิ่นหวางเจ้าไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น"
กล่าวจบชายหนุ่มก็หันกายเดินออกไปทันที เรียวปากของหานซางจื่อจึงบังเกิดรอยยิ้มกริ่มพึงใจออกมาหนึ่งสายแต่มันอ่อนจางอย่างยิ่งแม้แต่ถิงเฟยที่รีบเดินกลับเข้ามาทันทีหลังจากซู่จิ้งอ๋องก้าวจากไปแล้วยังมองไม่กระจ่างเพราะในยามแรกดูเหมือนมีแต่แค่สาวใช้ตัวน้อยกะพริบตาหนึ่งครั้งกลับกลายเป็นดังไม่เคยมีรอยยิ้มดังกล่าวออกมาสักน้อยนั่นเองที่ถิงเฟยเพิ่งเข้าใจกระจ่างถึงความหมายของประโยคที่ว่า'คล้ายมีแต่ก็คล้ายไม่มี'ถ่องแท้ขึ้นมาทันทีก็วันนี้
'หึ! ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านมาใส่ใจสักหน่อยจ้าวเหลียงอี้!'
ฝ่ายของหานซางจื่อนั้นคำรามอยู่ในใจสายตามองส่งแผ่นหลังของพระสวามีมีไปด้วยความพึงใจนักที่อีกฝ่ายหลอกง่ายและยั่วโทสะขึ้นเร็วไม่ต่างจากมารดาของเขาเท่าใดเลย
“นายหญิง งานนี้ใหญ่จนต้องเสี่ยงชีวิตน้อยๆ จนถึงเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ?”
ในยามอยู่กันเพียงลำพังถิงเฟยจึงกลับมาเรียกผู้เป็นายว่า'นายหญิง'แทนที่จะเรียก'คุณหนูสาม'เช่นที่ผู้คนมากมายรู้แจ้งส่วนกิริยาของทั้งหานซางจื่อและตัวของสาวใช้กลับไม่มีวี่แววของหนึ่งคุณหนูแสนจะบอบบางกับสาวใช้ขี้ตื่นกลัวและตาขาวไปโดยชิ้นเชิงเหลือเพียงหนึ่งหญิงสาวที่มีกลิ่นอายสังหารและคาวโลหิตล้อมรอบกายกับเด็กสาวที่มีแววตาเฉลียวฉลาดเพียงเท่านั้น
ซึ่งแน่นอนว่านี่คือตัวตนของพวกนางหนึ่งนายหญิงและหนึ่งสาวใช้ที่เป็นมากหลายหนาวแล้ว เพราะมารดาของหานซางจื่อเป็นหนึ่งในทายาทขององครักษ์กิเลนดำที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ของเทียนสุ่ยมาหลายรุ่นและตกมาถึงหานซางจื่อที่เป็นรุ่นที่สิบแปดที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาตั้งแต่อายุสี่หนาว และในวัยเก้าหนาวก็เป็นครั้งแรกที่หานซางจื่อฉายา ‘เฉียนซือ’ มือเปื้อนเลือดสังหารคนให้กับฮ่องเต้เป็นครั้งแรก
ผ่านมาแล้วเกือบแปดหนาวหญิงสาวเองก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าตนเองสังหารคนไปมากเท่าใดเพราะนอกจากนางจะรับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยตรงแล้วสามหนาวหลังมานี้นางยังรับจ้างเป็นมือสังหารมีค่าตัวแพงผู้หนึ่งนามที่คนในยุทธภพรู้แจ้งก็คือ'เฉียน'ที่มีความหมายว่า'เงิน'เพราะไม่ว่างานที่รับจะยากเพียงใดขอเพียงมีเงินมาหานางไม่เกินหนึ่งเดือนคนพวกนั้นล้วนสมใจเสมอ
ดังนั้นนางที่มีฐานะในสังคมเป็นคุณหนูสามของหนานไค่กั๋วกงจึงต้องมี'เงา'เอาไว้ตบตาผู้คนและหานถิงเฟยก็คือคนที่ถูกบิดาและมารดาของนางคัดเลือกมาให้อย่างดีและแน่นอนว่าการที่นางต้องแต่งงานกับจ้าวเหลียงอี้ไม่ใช่เพราะซ่งฮองเฮาที่มอบยาพิษน้ำค้างเหมันต์บีบบังคับกันอย่างแน่นอนแต่ภารกิจของนางย่อมเป็นฮ่องเต้เท่านั้นที่มอบหมายงานสำคัญให้ได้ทำ
“ห้าหมื่นตำลึงเงินเจ้าว่าคุ้มหรือไม่เล่า?”
“!!!”
ดวงตาของถิงเฟยเบิกกว้างปากเล็กจิ้มลิ้มนั้นก็อ้าออกราวกับปากของปลาทองทำเอาหานซางจื่อถึงกับหัวเราะออกมาตั๋วเงินห้าหมื่นถูกส่งไปให้กับสาวใช้ที่สนิทกันมากกว่าพี่น้องสายเลือดเดียวกันชีวิตของคนที่ถูกเลือกให้เป็นองครักษ์เงาหน่วยกิเลนดำที่ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้แต่ละยุคแต่ละแผ่นดินไม่ง่ายดายนักหรอก
หานซางจื่อเองก็ไม่ใช่คนที่ได้รับข้อยกเว้นและสิ่งที่จะรักษาความลับที่สำคัญเท่าชีวิตก็คือการมีสาวใช้ข้างกายที่ซื่อสัตย์หาไม่ทั้งชีวิตของนางก็คงยุ่งยากไม่น้อยยังดีว่าหานถิงเฟยคือเด็กสาวกตัญญูนางจึงไม่ลำบากเท่าใดนัก
“เอาตั๋วเงินไปจัดการเช่นเดิม พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องตามข้าเข้าวัง ไปจัดการ ‘ธุระ’ ของข้าให้แล้วเสร็จและเรียบร้อย”
“เจ้าค่ะ แล้วนายหญิงจะ ‘ลงมือ’ เมื่อใดเจ้าคะ?”
“คงเป็นอีกราวสามวัน ช่วงกลับบ้านเจ้าสาวข้าจึงลงมือนั่นนับว่าปลอดภัยหลังจากงานนี้จบข้าคงต้องเว้นรับงานนอกไปสักพัก ซู่จิ้งอ๋องไม่ใช่คนโง่อยู่เพียงปลายจมูกของเขาปลอดภัยได้ต้องทำเอาไว้ก่อน”
เงินห้าหมื่นตำลึงนี้คาดว่าคงพอใช้ไปได้หลายเดือน คงมีเพียงเว้นช่วงไปจึงปลอดภัยเพราะพยัคฆ์ซ้อนเล็บเช่นจ้าวเหลียงอี้แม้แต่ซ่งฮองเฮายังระแวงแล้วนางจะไม่ระวังเขาได้อย่างไร
“นายหญิงมาคุ้มครองเขาโดยแท้ยังต้องลำบากยากแค้นอีกน่าเจ็บใจเสียจริง”
ถิงเฟยบ่นออกมาด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนผู้เป็นนายสาวแต่หานซางจื่อกลับไม่ได้ตอบโต้นางกำชับธุระสำคัญกับอีกฝ่ายไม่นานก็ไล่ให้อีกฝ่ายเข้านอนเพราะนางเอกก็ต้องการพักผ่อนพรุ่งนี้เข้าวังงานใหญ่ยังรอนางไปทำมีโอกาสนอนก็ต้องคว้าเอาไว้หลับเต็มอิ่มตื่นมานางจะได้พร้อมเผชิญหน้ากับทุกปัญหาได้
เพราะเรื่องในวันนี้เฝิงกุ้ยเฟยสร้างเรื่องเอาไว้ให้จ้าวเหลียงอี้ไม่น้อยคาดว่าพรุ่งนี้ฝ่ายตรงข้ามคง ‘กัด’ซู่จิ้งอ๋องไม่ปล่อยแน่แล้วนางที่มาเพื่อ ‘ปกป้อง’ เขามีหรือที่ตนเองจะไม่ลำบากไปด้วยพลันนั้นก่อนจะหลับไปหานซางจื่อก็นึกตำหนิมารดาของสวามีกำมะลอเสียมิได้เติบใหญ่สูงวัยถึงเพียงนั้นไม่รู้จักมองโลกให้กว้างบ้างเลยตรงกันข้ามเฝิงกุ้ยเฟยยังชอบหาเรื่องลำบากมาให้บุตรชายไม่ว่างเว้นหากว่าฮ่องเต้ไม่รักใคร่คาดว่าสตรีผู้นั้นคงตายไปนานแล้วจริงๆ
“พระชายาหานเพคะได้เวลาแล้ว ตื่นเถิดเพคะ”
เสียงของถิงเฟยดังอยู่ข้างหูเปลือกเรียวงามจึงเปิดขึ้นช้าๆ สติค่อยๆ หวนคืน หานซางจื่อนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยลำดับเหตุการณ์ได้ว่าในวันนี้ตนเองหาใช่ ‘เฉียนซือ’ หรือคุณหนูสาม แต่วันนี้นางคือพระชายาหานเสียแล้ว พอรู้แล้วว่าวันนี้ตนเองจะเป็นผู้ใดเรือนกายอรชรก็ลุกขึ้นแต่โดยดี
ไปอาบน้ำแช่สมุนไพรให้กลิ่นหอมสดชื่นตื่นเต็มตาขึ้นมาเท่าตัวกว่าจะเสร็จสิ้นทุกพิธีกรรมจนพร้อมจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าบุรุษและสตรีอันดับหนึ่งของเทียนสุ่ยท้องฟ้าด้านทิศตะวันออกก็เริ่มมีแสงสีเงินจับพอดี หานซางจื่อไม่ได้รอให้คนของจ้าวเหลียงอี้ต้องมาตามแต่หญิงสาวเป็นฝ่ายเดินออกไปรออีกฝ่ายที่โถงตำหนักหน้าสุด
“ซู่จิ้งอ๋อง...”
ยังไม่ทันได้หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้บุรุษที่นางตั้งใจออกมารอก็ปรากฏตัวออกมาราวกับเขาเองก็รอให้นางออกมาจากหอนอนเช่นกัน วันนี้บทบาทสตรีอ่อนแอและบอบบางหานซางจื่อยังครอบครองมันได้อย่างดีจ้าวเหลียงอี้จึงทำเพียงดึงหน้าตึงใส่กันแล้วก้าวเท้าออกไปขึ้นรถม้าคันโตโดยไม่รั้งรอสตรีบอบบางตัวเล็กแถมยังขาสั้นที่ต้องเดินสำรวมกิริยานับทุกก้าวที่ออกเดินแม้แต่น้อย
ทว่าหานซางจื่อหรือจะใส่ใจก็นางที่มีฐานะเป็นดังฝ่ายปรปักษ์เป็นญาติของซ่งฮองเฮาและแน่นอนนางยังเป็นเปี่ยวเม่ยของไท่จื่ออีกด้วย แถมยังแทรกกลางแต่งงานเข้ามาเป็นพระชายาเอกก่อนสตรีที่อีกฝ่ายรักเขาไม่ชิงชังนางนะสิแปลก ซึ่งหากเป็นสตรีทั่วไปคงเอาแต่ฟูมฟายเสียใจแทบเจียนคลั่งแล้วเป็นแน่ หากแต่นางนั้นมันต่างออกไปเวลาของนางมีแค่ไม่เกินสามหนาวจบสิ้นภารกิจก็ทางใครทางมันดังนั้นในสายตาของนางจ้าวเหลียงอี้หาใช่สวามี เขาเป็นเพียง ‘นายท่าน’ ที่ตนเองมีหน้าที่คุ้มครองปกป้องชีวิตให้ปลอดภัยเท่านั้น
...ก็เพียงงานหนึ่งชิ้นมิใช่หรือไร...
ดังนั้นทุกลมหายใจขณะที่นั่งรถม้าร่วมกันเป็นเวลาถึงสองชั่วยามระหว่างนางและจ้าวเหลียงอี้จึงไร้คำพูดใดจะคุยกันนางก็แสดงกิริยาสำรวมและดูบอบบางราวกับกลีบบุปผาซึ่งหากถูกสายลมพัดผ่านก็อาจบอบช้ำได้โดยง่าย ฝ่ายของจ้าวเหลียงอี้ต่อให้เขาไม่คุกคามนางทั้งคำพูดและการกระทำแต่ก็นั่งห่างออกไปราวกับขยะแขยงนางเสียเต็มทนพอบังเอิญหันมาประสานสายตาเขาก็ดึงหน้าตึงใส่ นางก็ต้องแสดงกิริยาว่าหวาดกลัวเขาดังลูกนกหวาดกลัวอสรพิษ
แต่ถึงอย่างนั้นภายในใจของหานซางจื่อก็อยากรังแกอีกฝ่ายขึ้นมาเต็มกลืนจนได้จังหวะเมื่อรถม้าจอดแล้วจ้าวเหลียงอี้เป็นคนแรกที่รีบร้อนก้าวลงไปก่อนพอกะระยะดีแล้วนางจึงทิ้งทั้งกายลงไปใส่แผ่นหลังกว้างนั้นเต็มแรง เพราะนางก็อยากทราบเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะเป็นผื่นแพ้หรือไม่หากสัมผัสผิวกายของนางที่เขาทำท่าทำทางชิงชังรังเกียจกันดังกับว่าเห็นนางเป็นหนอนกินซากศพ
“โอ๊ะ!”
“ว้าย!”
“ท่านอ๋อง!!”
“พระชายาหาน!!!”
ทั้งซูผิงและมู่สือต่างร้องอุทานที่เห็นภาพของพระชายาหานสะดุดชายกระโปรงแล้วศีรษะพุ่งใส่แผ่นหลังของซู่จิ้งอ๋อง และเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบฉุกละหุกนักจ้าวเหลียงอี้จึงปฏิบัติต่อหานซางจื่อไปตามนิสัยของบุรุษที่ต้องปกป้องสตรีเขาหันกายคว้าเอาเรือนกายอรชรของพระชายาตนเองได้ชนิดเฉียดฉิวแทบลืมหายใจ
“เจ้าอยากตายรึ?!”
เมื่อเหตุการณ์เฉียดฉิวหวุดหวิดจะตกรถม้าลงไปจุมพิตพื้นดินของทางเข้าประตูใหญ่เข้าวังชั้นในแล้วจ้าวเหลียงอี้จึงตวาดออกไปเต็มเสียงหานซางจื่อก็ว่องไวยิ่งนักดึงน้ำตาออกมาทิ่มแทงศัตรูได้ราวกับสั่งได้ เจอไม้เด็ดนี้ของหานซางจื่อไปจ้าวเหลียงอี้ก็ถึงกับลืมคำด่าทออีกฝ่ายไปจนสิ้นเกิดมาแม้แต่มารดาเขาก็ไม่เคยหวาดกลัวน้ำตาได้เท่ากับสตรีสมควรตายแซ่หานผู้นี้มาก่อนเลย
“หยุดนะ! ห้ามร้องไห้ออกมาเด็ดขาดห้ามเจ้าหลั่งน้ำตา!!!”
ยิ่งถูกดุน้ำตาของหานซางจื่อกลับยิ่งร่วงหล่นราวกับห่าฝนเทกระหน่ำสุดท้ายจ้าวเหลียงอี้ที่ทำอะไรไม่ถูกเนื่องจากรู้สึกว่าตนเองไม่อาจต้านทานอาการพ่ายแพ้สตรีที่ร้องไห้เงียบๆ แต่ดูเจ็บช้ำน้ำใจหนักหนาเช่นที่หานซางจื่อเป็นจึงกระชากด้านหลังลำคอเล็กจนเรือนการอรชรปลิวหวือลอยมากระแทกกับหน้าอกแกร่งของตนเองจนบังเกิดเสียงดัง ‘ตุ๊บ!’ แน่นอนว่าเขาตัวโตเรือนกายแข็งแกร่งคงไม่ระคายเคือง
แต่กับหานซางจื่อนั้นไม่ใช่ต่อให้นางมีวรยุทธระดับสูงอาจสูงกว่าจ้าวเหลียงอี้ด้วยซ้ำก็จริงแต่อย่างไรร่างกายของนางก็บอบบางอย่างสตรีทั่วไปจึงทั้งเจ็บใบหน้ากับปลายจมูกและจุกเพราะแทกกระแทกที่คล้ายกับตนเองถูกผลักไสจนไปกระแทกกับกำแพงหินหนาหนัก
“อย่าร้องไห้อีกนะ!”
คนต่ำทรามยังคำรามข่มขู่นางอยู่ข้างหูจนหานซางจื่อนั้นอยากเสียสติชั่วคราวนี้ตนเองจะได้หยิบดาบของมู่สือมาแทงจ้าวเหลียงอี้สักแผลสองแผลระบายความเจ็บของตนเองอย่างยิ่งต้องกัดฟันกลืนโทสะคิดเสียว่าที่หาเรื่องใส่ตัวล้วนเป็นนางเองที่คิดน้อยไปล้อเล่นผิดเวลาเกินไป
“ปล่อยเพคะ แสดงกิริยาเช่นนี้หากคุณหนูเว่ยและไท่จื่อเฟยถานมาพบเห็นภาพเช่นนี้เข้าคาดว่าซู่จิ้งอ๋องคงพบเรื่องลำบากใจแล้วจริงๆ”
เสียงของหานซางจื่อนั้นเยือกเย็นจนจ้าวเหลียงอี้ต้องผลักร่างเล็กออกห่างแล้วมองหน้าของนางให้ชัดเจนเพื่อจะดูให้แน่ชัดว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไป ทว่าภาพใบหน้างดงามแต่กลับดูบอบบางราวกับกลีบบุปผาดูทั้งบริสุทธิ์และอ่อนโยนนั้นกลับมีเพียงรอยยิ้มไร้เดียงสาส่งมาให้เพียงเท่านั้นแต่ถึงสายตาจะสะท้อนภาพสมจริงถึงเพียงนี้ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติไปมันสัมผัสได้ถึงความไม่จริงใจ
“ใกล้จะยามเฉินแล้ว เช่นไรเราเร่งไปเข้าเฝ้าดีหรือไม่เพคะซู่จิ้งอ๋อง”
หญิงสาวกลับมาสงบเยือกเย็นเช่นเดิมแต่ก็ยังหลงเหลือรอยบอบช้ำจากการเพิ่งเสียน้ำตาไปอยู่ดี จ้าวเหลียงอี้ไม่อยากเห็นหน้าของสตรีผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเพียงหนึ่งเดียวของตนเองขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนจึงสะบัดกายเดินนำหน้าไม่มีการรีรอว่าตนเองยังมีคนติดตามมาด้วยหาได้มาเพียงเดียวดาย แต่เป็นเช่นนี้หานซางจื่อกลับโล่งใจอย่างยิ่งเพราะเมื่อครู่หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสายตากังขาของซู่จิ้งอ๋องได้อย่างแจ่มชัดนั่นเอง…
‘แย่จริงข้าล้อเล่นจนเกือบเสียแผนแล้ว’