บทที่6
แล้วก็เป็นเช่นที่หานซางจื่อคาดการเอาไว้ทั้งหมดเพราะยังไม่ทันขยับไปทางใดเสียงขันทีหวัง'หวังเฉาชุ่น'ผู้ดูแลทั้งตำหนักซู่จิ้งอ๋องแห่งนี้ก็วิ่งรีบร้อนเข้ามากระซิบกระซาบกับจ้าวเหลียงอี้ว่า...
"คนของซ่งฮองเฮาส่งข่าวออกไปแล้วคนของเรามิอาจสกัดเอาไว้ไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ!"
มือแกร่งของจ้าวเหลียงอี้พลันกำแน่น ฝ่ายหานซางจื่อนั้นยังคงปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาทำเป็นไม่รู้ความอีนใดทั้งสิ้นใบหน้างามดูบอบช้ำราวกับดอกสาลี่ถูกน้ำฝนจนเปียกปอนยิ่งมองยิ่งไร้เดียงสาและน่าสงสารแต่ซู่จิ้งอ๋องกลับกัดฟันจนบังเกิดเสียงเพื่อข่มอารมณ์พ่ายแพ้ของตนเองที่กำลังปะทุเดือดราวกับลาวาของภูเขาไฟอยู่ภายในอกเต็มกำลัง
“พวกเจ้าสองคนพาพระชายาหานไปพักผ่อนเถิด”
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงควบคุมอารมณ์ของตนเองลงได้เลยรีบออกปากคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้าลงไปก่อน แต่ดูเหมือนเฝิงกุ้ยเฟยจะไม่ทราบถึงความหวังดีของบุตรชายจึงบังเกิดอาการดวงตาแวววาวเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธแค้นคิดไปว่าจ้าวเหลียงอี้นั้นเข้าข้างหานซางจื่อเร่งตรงเข้ามากระชากแขนเรียวของเด็กสาวออกไปเสียจากอ้อมกอดของบุตรชายจากนั้นก็ออกแรงผลักเต็มแรงเรือนร่างบอบบางจึงปลิวไปตามแรงผลักล้มลงเต็มแรง
โครม!
"โอ๊ย!"
หานซางจื่ออุทานหนึ่งคำเพราะขณะที่ล้มลงไปสาวน้อยนั้นใช้มือขวาเท้าลงไปบนพื้นถึงดินจะนุ่มแต่เพราะน้ำหนักกับข้อมือนั้นแตกต่างกันกระดูกตรงรอยต่อข้อมือจึงเคลื่อนทันทีจ้าวเหลียงอี้ตกใจจนใบหน้าซีดขาวไม่ทราบได้ว่ามารดาของตนเองไปเอาความกล้าหาญนี้มาจากที่ใดจึงทำร้ายคนของฮ่องเต้และซ่งฮองเฮาเช่นนี้
"เสด็จแม่!"
ฝ่ายของเฝิงหลันฮวาเองก็ตกใจไม่ต่างกันเมื่อสติคืนกลับมาปัญญาเลยบังเกิดภาพข้อมือเล็กของหานซางจื่อนั้นบวมแดงและบิดเบี้ยวผิดรูปขึ้นมาทันตาเห็นไม่กี่ช่วงลมหายใจรอยแดงนั้นก็ค่อยๆ เข้มขึ้นจนเป็นสีม่วงแทนที่สีแดงชอกช้ำสตรีซึ่งอยู่ในวังหลวงมาค่อนชีวิตก็เห็นความผิดของตนเองลอยมาอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
"เหลิ่งกงกง แม่นมจาง พาเฝิงกุ้ยเฟยกลับเข้าตำหนักไปพักผ่อน เฉาชุ่นท่านเร่งให้คนไปรับหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทั้งสองตามเปิ่นหวางมา"
เป็นจ้าวเหลียงอี้ที่มีสติดีกว่าผู้ใดจึงออกปากสั่งการแบ่งหน้าที่ให้ทุกคนอย่างหนักแน่นแล้วจึงหันไปอุ้มคนตัวเล็กขึ้นแล้วมุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักเฟยเฟิ่งของตนเองทันที ส่วนหานซางจื่อนั้นขณะนี้ปวดที่จุดกระดูกเคลื่อนจนพูดไม่ออกแล้วจริงๆ เหงื่อกาฬของสาวน้อยแตกซ่านใบหน้ามอมแมมซีดขาวราวกับไม่มีโลหิต
คราวนี้ในใจของหานซางจื่อคิดว่าตนเองขาดทุนย่อยยับเสียแล้วในวันนี้แต่ทำอย่างไรได้เรื่องราวใหญ่โตไปแล้วเห็นทีนางคงมีเพียงปล่อยไหลไปตามกระแสธาราเท่านั้น ข้อมือเคลื่อนความจริงหากไร้ผู้คนนางสามารถจัดการได้ไม่ต้องรอค่อยให้หมอหลวงมารักษาแต่เพราะจ้าวเหลียงอี้เฝ้าอยู่ไม่ห่างเด็กสาวจึงจำใจต้องทนเจ็บปวดอยู่ร่วมสองชั่วยาม
‘สังหารศัตรูห้าพันสูญเสียไพร่พลไปหมื่นห้าแล้วจริงๆ’
สาวน้อยบ่นพึมพำได้แค่ภายในใจเท่านั้นส่วนภายนอกนางต้องเสแสร้งว่าเจ็บปวดและบอบช้ำอย่างหนักราวกับดอกสาลี่ถูกลมฝนสาดซัดมาอย่างหนักทั้งที่ความจริงแล้วนั้นอาการเจ็บนี้ถึงมากแต่สำหรับนางมันไม่ได้มากมายอันใดเลย
และไม่นานข่าวทุกสิ่งล้วนไปถึงซ่งฮองเฮาและแน่นอนว่านางย่อมส่งต่อไปถึงฮ่องเต้อย่างครบถ้วนทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีขาดไปแม้เพียงเศษเสี้ยวธุลีเดียวทำเอาฮ่องเต้หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบเจ็ดหนาวโกรธจนหนวดกระตุกดวงตาหงส์คู่นั้นก็ดุดันขึ้นมาหลายส่วน
ปัง!
“ช่างบังอาจนัก! เสิ่นกงกง ส่งคนไปรับตัวเฝิงกุ้ยเฟยกลับมาวังหลวงเดี๋ยวนี้!!!”
เรียวปากของซ่งฮองเฮานั้นพลันปรากฏรอยยิ้มโหดร้ายออกมาหนึ่งสายแต่เพียงครู่เดียวก็พลันจางหายไปเพราะภายในใจของซ่งเพ่ยหนี่ว์นั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ที่เฝิงกุ้ยเฟยสตรีผู้นั้นไร้ค่าเกินไปโง่เขลาเบาปัญญาเกินไปยี่สิบกว่าหนาวที่ผ่านมาหากนางไม่ค่อยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังคาดว่าแม้แต่ชีวิตตนเองเฝิงหลันฮวาก็ยากจะรักษาเอาไว้ได้นานแล้ว ขณะนี้ที่นางต้องการก็คืออยากกล่าวโทษจ้าวเหลียงอี้ต่างหากนางต้องการกำจัดซู่จิ้งอ๋องไปเสียจากเมืองหลวงหรือหากอีกฝ่ายตายไปเลยนางจะยิ่งยินดี!
“ฝ่าบาทเพคะ น้องหลันฮวานั้นไม่ใช่ว่าจะอภัยมิได้เพียงให้น้องสาวไปถือศีลสักสองถึงสามเดือนก็ได้แล้วโทษทำร้ายซางจื่อนั้นน่ะ แต่สำหรับอี้เอ๋อร์แล้วเขาเป็นถึงซู่จิ้งอ๋องเชียวนะเพคะ ขุนนางทั้งหลายจะมองเช่นไรที่เพิ่งแต่งงานกับเจ้าสาวที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ค่ำคืนเข้าหอก็ทอดทิ้งเจ้าสาวไว้ในห้องหอไม่พอเมื่อรุ่งเช้ามาถึงก็ปล่อยให้นางได้รับบาดเจ็บอีกนี่มันไม่เกินไปหรือเพคะ?”
“นั่นสินะ”
จ้าวหลิวหย่งคิ้วขมวดขึ้นมาทันทีเมื่อซ่งเพ่ยหนี่ว์เอ่ยถึงเรื่องนี้ความจริงคนเป็นบิดานั้นมีหรือจะอยากลงโทษบุตรชาย ทว่าเขาเองไม่ใช่เป็นเพียงบิดาของบุตรชายทั้งสามแต่ เขายังเป็นบิดาของคนทั้งแผ่นดินเทียนสุ่ยอีกด้วยหากไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีต่อขุนนางหากวันหน้าคนพวกนั้นต่างทำผิดบ้างเขาจะเอาหน้าที่ไหนไปตักเตือนขุนนางได้อีกเล่า
“เสิ่นกงกงนอกจากรับตัวเฝิงกุ้ยเฟยกลับวังมาแล้วก็กำชับให้ซู่จิ้งอ๋องและพระชายาของเข้ามาเข้าเฝ้าเจิ้นก่อนยามเฉินของพรุ่งนี้ด้วยก็แล้วกัน”
โทษนี้คาดว่าจะหลบเลี่ยงอย่างไรก็คงยากจะทำได้จ้าวหลิวหย่งมีเพียงมอบให้บุตรชายคนเล็กไปตามจริงเท่านั้นอาจถูกจ้าวเหลียงอี้โกรธเคืองจนถึงน้อยใจก็ได้แต่หวังว่าในวันหน้าบุตรชายผู้นั้นจะเติบโตและเข้าใจถึงความหวังดีที่เขาทำลงไปทั้งหมดนี้
“ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลจนเสียสุขภาพเลยนะเพคะ สักวันอี้เอ๋อร์ย่อมซาบซึ้งถึงความหวังดีที่ฝ่าบาทมีให้แก่เขาเสมอมา”
“เฮ้อ! ยังดีที่ข้ามีเจ้าเป็นภรรยาที่ดี เจ้านั้นล้วนเข้าใจทุกสิ่ง ได้แต่หวังว่าต่อไปเขาก็จะเข้าใจถึงความหวังดีที่เจ้าเองก็มีให้ไม่ต่างจากข้า”
จ้าวหลิวหย่งดึงเอามือเรียวของซ่งเพ่ยหนี่ว์มาบีบอย่างขอบอกขอบใจที่อีกฝ่ายคอยดูแลบุตรไม่ว่าจะชายหรือหญิงซึ่งเกิดจากพระสนมทั้งหลายซ่งฮองเฮาผู้นี้ให้ความเมตตาทั่วถึงเขาที่เป็นบิดาจึงไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยกับเรื่องภายในวังหลังทุ่มเทกับราชกิจอย่างเต็มที่มาตลอดยี่สิบแปดหนาวที่ครองราชย์
“หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีไร้กำลังขอเพียงได้ช่วยแบ่งเบาความยุ่งยากของฝ่าบาทได้บ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยินดีอย่างยิ่งแล้วเพคะส่วนอี้เอ๋อร์จะเข้าใจหรือไม่หม่อมฉันไม่คาดหวังเลยสักนิด”
“ขอบใจเจ้านักเพ่ยเพ่ย”
ฉากซาบซึ้งนี้เหล่านางกำนัลและขันทีล้วนคุ้นเคยดี จึงไม่มีผู้ใดใส่ใจ มีแต่จะเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้ใช้เวลาส่วนตัวอันน้อยนิดนี้อยู่ด้วยกันเพียงเท่านั้นสตรีไม่ว่าจะสาวหรือแก่ล้วนนับถือซ่งฮองเฮาทั้งสิ้นเพราะจะกี่หนาวผ่านมาก็สามารถผูกดวงใจของบุรุษที่มาสตรีงดงามมากมายเช่นฮ่องเต้เอาไว้กับตนมาได้ยาวนานไม่เปลี่ยน...
…แต่ความจริงเป็นเช่นไรคงมีเพียงแต่นางกับฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้แจ้ง…