“ป้าแทบไม่ได้เจอหนูขิมเลยนะจ๊ะ หน้าตาสะสวยเหมือนคุณแม่ไม่มีผิด ถ้าไม่รู้ว่าเป็นแม่ลูกต้องนึกว่าเป็นพี่น้องกันแน่ๆ”
การโกหกคำโตนั้น ทำให้คนถูกชมแอบเบ้ปาก เพราะมีแต่คนบอกเสมอว่า หน้าตาเธอคล้ายบิดามากกว่า ยกเว้นผิวพรรณเท่านั้น ทว่ามารดาของเธอคงชอบอกชอบใจเพราะหัวเราะเสียงดังกังวาน
“อุ๊ย...ขอบคุณค่ะคุณพี่ปัท สร้อยที่สวมคืนนี้งามจังเลยนะคะ”
“คงไม่เท่าที่คอของคุณน้องพรรณหรอกค่ะ ดูก็รู้ว่าเป็นของเก่า” คุณปัทมาชมแต่กลับมองสร้อยเพชรน้ำงามที่คอของอีกฝ่ายด้วยแววตาริษยา แม้แต่พรนับพันที่ยืนมองอยู่ยังเห็นชัดเจน
เอ่อ...ช่างจริงใจต่อกันเหลือเกิน
“เป็นของเก่ามรดกตกทอดมาจากคุณแม่ค่ะคุณพี่” คุณพรพรรณรายตอบพลางปรายตามองสร้อยเพชรที่ลำคออวบของอีกฝ่าย ที่เพิ่งเอ่ยชมไปหยกๆ ด้วยสายตาเจือแววเยาะหยัน มองดูก็รู้ว่าของใหม่แม้จะใหญ่ก็จริง แต่คุณภาพสู้ของเธอไม่ได้แน่ พวกเศรษฐีใหม่!
“แล้วหนูมะปรางไม่ได้มาด้วยหรือคะ”
“มาค่ะ แวะเข้าห้องน้ำ อ้าว...โน่นมาพอดี”
พรนับพันค่อยๆ หันไปมองคนที่แม่ของเธอชอบยกมาเปรียบเทียบให้ฟังอยู่บ่อยๆ แล้วก็ต้องลอบยิ้ม เพราะหญิงสาววัยเดียวกับเธอที่กำลังเดินเข้ามามีรูปร่างอวบจนดูเกือบอ้วน สวมชุดราตรียาวสีโอลด์โรส ใบหน้าถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางจนแทบไม่เห็นเนื้อแท้ นอกจากนั้นตามเนื้อตัวยังประดับด้วยเครื่องเพชรไม่ต่างจากมารดา แต่หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เธอใช้เวลานึกไม่นานก็พลันจำได้ ที่แท้หนูมะปรางคนดีของแม่เธอ เป็นเพื่อนของวิลาสินีเพื่อนของเธอนั่นเอง แต่คิดว่าเจ้าตัวคงจะจำเธอไม่ได้เป็นแน่ เพราะเคยพบกันในงานวันฉลองจบชั้นมัธยมปลายเมื่อหลายปีก่อน แต่เธอจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ
“หนูมะปราง วันนี้แต่งตัวสวยจังเลยนะจ๊ะ” คุณพรพรรณรายเอ่ยชมก่อนจะหันมาทางบุตรสาวซึ่งยืนกลั้นยิ้มอยู่ “น้องขิมรู้จักลูกสาวคุณป้าปัทสิลูก น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน”
“สวัสดีค่ะคุณมะปราง” พรนับพันเอ่ยทักทายเพื่อหยั่งเชิง แล้วก็เป็นไปตามที่คิดเพราะอีกฝ่ายก็จำเธอไม่ได้จริงๆ
“ยินดีที่รู้จักนะคะคุณขิม ดีใจจังที่ได้เจอเพื่อนรุ่นเดียวกันบ้าง มะปรางเพิ่งกลับมาจากบอสตันค่ะ เพื่อนๆ สมัยเรียนจุฬาฯ ด้วยกันส่วนใหญ่ยังอยู่ต่างประเทศ” ปรางวลัยพูดคล้ายโอ้อวดทั้งที่เธอยังไม่ได้ถาม
“หรือคะ?”
พรนับพันยิ่งนึกขำมากขึ้น เพราะตามที่เคยได้ยินมารดาพูดถึงอีกฝ่ายว่าสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับท็อปไฟฟ์ในอเมริกาได้ และที่เธอรู้มาบอสตันไม่ได้ติดอันดับหนึ่งในห้าเลย แถมระยะเวลาที่ไปอยู่ต่างประเทศก็ไม่น่าจะเกินสองปี แต่มะปรางกลับทำท่าเหมือนไปอยู่มานาน ด้วยความที่เธอเป็นคนปากไวก็เลยถามโพล่งออกไป
“คุณมะปรางไปอยู่ต่างประเทศกี่ปีหรือคะ”
“ไม่ถึงสองปีค่ะ” ปรางวลัยบอกตามความเป็นจริงแล้วก็พูดเจื้อยแจ้วต่อ “มะปรางคิดถึงหม่ามี้น่ะค่ะ เลยรีบเรียนให้จบเร็วๆ อาหารการกินที่นั่นก็ไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่” บอกว่าอาหารไม่ถูกปาก แต่ดูรูปร่างคนพูดแล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นสักนิด แล้วคุณปัทมาก็ช่วยอธิบายเสริม
“ใช่จ้ะหนูขิม หนูมะปรางของป้านะโทร. มาร้องไห้คร่ำครวญอยู่เสมอ อยากจะกลับแต่บ้าน แต่ก็อย่างว่าแหละจ้ะที่ไหนก็สู้เมืองไทยไม่ได้”
“แล้วคุณขิมล่ะคะ จบตรีจากที่ไหนแล้วจบโทจากยูอะไร”
พรนับพันยังไม่ทันตอบ คุณพรพรรณรายก็บอกแทนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“น้องขิมของน้าสมัครใจเรียนเอกชนเองจ้ะหนูมะปราง บอกว่าจบที่ไหนก็เหมือนกัน แล้วน้าเองไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก เพราะจบออกมาก็ไม่คิดจะให้ลูกออกไปทำงานนอกบ้านอยู่แล้ว ส่วนเรื่องไปต่างประเทศน้าไม่อยากให้ลูกไปอยู่ไกลหูไกลตาหรอกจ้ะ เป็นห่วง”
พรนับพันชำเลืองมองหน้ามารดาแล้วอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ถ้าไม่กลัวจะเสียมารยาท เพราะเรื่องที่พูดไปจริงเท็จอย่างไรคนพูดย่อมรู้อยู่แก่ใจ
“อ๋อ...ค่ะ” ปรางวลัยพยักหน้าเข้าใจ แต่สายตาเจือแววดูแคลนอย่างปิดไม่มิด ด้วยค่านิยมของคนในสังคมปัจจุบันที่โอ้อวดกันแทบจะทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการเรียนของบรรดาลูกๆ ลูกสาวลูกชายของใครสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศได้ ผู้เป็นแม่ก็ได้หน้าไปด้วย อย่างเช่นตอนเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มารดาก็คุยฟุ้งนานนับเดือน
“หนูมะปรางของดิฉันเรียนเก่งค่ะ...”
ก่อนที่คุณปัทมาจะกล่าวโอ้อวดเรื่องลูกสาวต่อ พรนับพันก็พูดโพล่งขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้ เพราะเธออ่านสายตาดูแคลนนั่นออก เธอยอมรับว่าไม่ชอบจนถึงขั้นเกลียดเลยทีเดียว การที่เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยเอกชนนั้นเป็นสิ่งที่น่าดูแคลนนักหรือ
“เธอจำฉันไม่ได้เลยหรือมะปราง ฉันเป็นเพื่อนของวิลาสินีไงล่ะ เราเจอกันตอนงานเลี้ยงฉลองเรียนจบมัธยมปลาย แล้วฉันก็ได้ยินคุณแม่พูดถึงเธอว่า เรียนจบจากมหาวิทยาลัยติดท็อปไฟฟ์ของอเมริกาไม่ใช่หรือจ๊ะ”
ปรางวลัยเงยหน้าขึ้นมองคนถามอย่างสำรวจตรวจตราอีกครั้ง แล้วใบหน้าเบิกบานก็ค่อยๆ จืดเจื่อนลงทันที เมื่อจดจำอีกฝ่ายได้ แล้วก็นึกด่าตัวเองว่าทำไมถึงเพิ่งจำได้ตอนนี้ ทั้งที่รู้สึกตงิดๆ ตั้งแต่แรกที่ได้ยินชื่อเล่นของอีกฝ่ายแล้ว