“แล้วจุ้นเคอเห็นพี่ดัวใจทำท่ากลัวตุ๊แกกระโดดก่อผู้พัน แต่ผู้พันหลบจนพี่ดัวใจล้มไม่เห็นเหมือนเมื่อกี้เลย”
“นั่นสิครับผู้พัน ผมก็เห็นด้วยกับไอ้จุ้น” จ่าโชติพยักหน้าเห็นด้วยพลางยิ้มขำเมื่อเห็นโหนกแก้มของคนถูกพาดพิงถึงเป็นสีเข้ม เอ...ชักจะยังไงๆ เสียแล้วสิ
“พูดมากน่า” แสนคมพูดเสียงดุ
“มีอะไรกับขิมหรือเปล่าคะ” พรนับพันถามหน้าตาเหลอหลาเพราะฟังสำเนียงที่จุ้นพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องนัก
“ก็...” จ่าโชติยังไม่ทันพูดอะไรออกไป ก็ถูกผู้บังคับบัญชาส่งเสียงดุเสียก่อน “จ่าโชติ...ไหนบอกผมว่ามีธุระกับป้าพวงไง ก็พูดเรื่องธุระของตัวเองไป เรื่องอื่นไม่ต้องพูด”
“เอ้อ...ใช่ครับ พอเห็นหน้าน้องพวง เอ้ย แม่พวงทีไรลืมเรื่องที่จะพูดทุกทีสิน่า” จ่าโชติพูดเสียงหวาน
“มีธุระอะไรกับฉันหรือจ่า หวังว่าคงไม่พูดอะไรบ้าๆ อีกนะ”
จ่าหน้าโหดตีหน้าเศร้า “แหม น้อยใจจังที่แม่พวงคิดว่าคำพูดของฉันเป็นคำพูดบ้าๆ ทั้งที่ทุกคำล้วนออกมาจากหัวใจทั้งนั้น”
“อ้าว จะพูดอะไรก็พูดมา มัวแต่พล่ามอยู่นั่นแหละ”
นางพวงส่งเสียงแหวทั้งยังอายแสนคมที่มองมาแล้วอมยิ้ม นึกอยากเอาอะไรฟาดปากจ่าโชตินัก ชอบทำให้นางอายอยู่เรื่อย ซึ่งคราวนี้คนถูกแหวใส่รีบเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการทันที
“คือว่าพรุ่งนี้ฉันจะมาขอแรงแม่พวงไปช่วยทำแนวกันไฟหน่อยจ้ะ”
“บอกมาแค่นี้ก็สิ้นเรื่องมัวพูดโยกโย้อยู่ได้” นางพวงบ่นอุบ “แล้วจะต้องมาขอแรงทำไม พี่ชายฉันเป็นผู้ใหญ่บ้าน ยังไงฉันก็ต้องไปช่วยอยู่แล้ว”
จ่าช่วงโชติหัวเราะแหะๆ เมื่อนึกขึ้นได้ “ฉันลืมไปจ้ะ สงสัยหัวใจจะเรียกร้องให้มาหาแม่พวง”
“อ้วก” นางพวงทำเสียงพะอืดพะอมทั้งที่ก็แอบปลื้มไม่น้อย
“แถวนี้เกิดไฟป่าบ่อยหรือคะจ่าโชติ”
พรนับพันถามพลางนึกในใจ ‘เฮ้อ...สมกับเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนของแท้จริงๆ นอกจากจะมีพวกกองกำลังติดอาวุธที่ฟังดูแล้วน่ากลัวแล้ว ยังมีไฟป่าอีก’
“ที่นี่หน้าแล้งจะค่อนข้างร้อนอบอ้าว เป็นช่วงที่ต้นไม้กำลังผลัดใบแห้งทิ้ง ใบไม้ที่หล่นเกลื่อนกลาดอยู่ใต้ต้น หรือปลิวไปตามแรงลมคือสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟป่าได้” คนไม่ได้ถูกถามอย่างแสนคมตอบแทนเสียงเข้มราวกับอาจารย์กำลังอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังกระนั้น
“อ๋อ...ค่ะ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าจะพาน้องขิมไปดูว่าเขาทำแนวกันไฟกันยังไง” นางพวงบอกยิ้มๆ
“ใช่แล้วหนูขิม” จ่าโชติทำเนียนเรียกหญิงสาวอย่างสนิทสนม “ทั้งที่จริงแล้วไฟป่าที่เกิดขึ้น ก็เกิดจากมนุษย์นี่แหละที่ประมาทเลินเล่อ จุดไฟเผาโน่นนี่แล้วไม่ดับให้เรียบร้อย พอลามไปติดต้นไม้ใบหญ้า ก็โทษว่าไฟนั่นเกิดจากป่า ซึ่งก็เหมือนเวลาเกิดไฟไหม้บ้าน ก็โทษว่าไฟฟ้าลัดวงจรไง...”
จ่าโชติยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็ต้องหยุดกลางคันเพราะเสียงมอเตอร์ไซค์ โดยคนขี่คือจ่าสุทัศน์ เพื่อนคู่หู ที่พอจอดรถเรียบร้อยก็ตะโกนบอกผู้บังคับบัญชาว่า
“ผู้พันครับ คุณวิชิตมาหาครับผม”
สีหน้าของผู้พันหนุ่มเปลี่ยนไปทันที “ผู้กองดินไม่อยู่หรือจ่า”
“ผู้กองออกไปแถวบ้านพุระกำกับไอ้พวกนั้นครับ” ไอ้พวกนั้นของจ่าทัศน์คือเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันเถอะ” แสนคมบอกเสียงดังแล้วจึงหันไปลาเจ้าของบ้านกับหญิงสาว “ผมไปก่อนนะครับ” พลางก้าวลงบันไดไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จ่าทัศน์คร่อมอยู่บนรถรออยู่แล้ว แต่ก่อนจะไปคนมาตามก็หันไปทางเพื่อนเกลอ
“ไอ้โชติ กลับไปทำงานได้แล้วมีสาวกะเหรี่ยงกลุ่มทอผ้าถามหาเอ็งอยู่”
หลังจากหย่อนระเบิดลูกย่อมไว้ให้เพื่อนแล้ว คนพูดก็สตาร์ตรถแล้วขี่จากไป ทิ้งให้เพื่อนมองตามด้วยสีหน้าฉุนๆ จนนึกอยากจะหาอะไรเขวี้ยงตามหลังถ้าไม่กลัวว่าจะโดนผู้บังคับชาที่นั่งซ้อนท้ายอยู่
“กลับไปได้แล้วจ่าโชติ” นางพวงเอ่ยปากไล่อีกคน
“กลับก็ได้ ไล่กันจัง” คนถูกไล่หน้าคว่ำบ่นกระปอดกระแปดแล้วก็ร้องเพลงสั่งลา “โอกาสหน้าพี่จะมาหาใหม่ อย่าลืมคนชื่อโชติช่วง บ้านห้วยม่วง ราชบุรี”
ก่อนจะขับรถมอเตอร์ไซค์ที่ดังราวกับท่อแตกจากไป โดยมีพรนับพันมองตามด้วยความขบขัน ครั้นหันมามองหน้านางพวงที่ปรากฏรอยเก้อเขินแปลกๆ ก็เอ่ยกระเซ้า
“จ่าโชติชอบป้าพวงหรือจ๊ะ”
สาวเหลือน้อยหน้าแดงพลางสั่นหน้า “เปล่าหรอกน้องขิม จ่าโชติก็จีบใครไปทั่วแหละจ้ะ”
จุ้นหัวเราะคิกคัก “แต่ลูจ่าบ่อจุ้นว่ายะไงๆ ก็ระป้าพัวคนเดียนะ” พูดจบก็หันมาทำหน้าล้อเลียนใส่แล้ววิ่งหายไปในชายป่าทันที
“ไอ้จุ้น เดี๋ยวเถอะตั้งแต่ไปคลุกคลีกับจ่าโชติชักจะทะลึ่งใหญ่แล้วนะ” นางพวงด่าตามหลังเสียงลั่น
“หนูว่าจ่าโชติตลกดีนะ พูดอะไรก็ดูน่าขันไปหมด”
พรนับพันพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ซึ่งคำพูดดังกล่าวของหญิงสาวทำให้นางพวงลอบยิ้ม ไม่ใช่เพราะเรื่องของจ่าโชติแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะดีใจที่เห็นหญิงสาวที่นางเลี้ยงยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะนางไม่ได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้มานานนักหนาแล้ว