กลิ่นอายรัก 3

2227 คำ
กลิ่นอายรัก 3 กลางดึก “อดทนหน่อยนะลูก” “แม่คะ ทำไมต้องให้หนูแต่งกับเขา” “เพราะแม่ห่วง ห่วงหนู แต่งกับพี่เขานะ” “แค่สองปีใช่ไหมคะแม่” “จ้ะลูก สองปี” “ค่ะ หนูจะพยายาม” ประโยคที่คุยกับแม่แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ยังตอบตกลงเพราะแม่เป็นห่วงและยังคงหว่านล้อมฉันด้วยประโยคเดิม ๆ วนไปมาราวกับว่าท่านกลัวจริง ๆ และท่านต้องการให้ใครสักคนเข้ามาปกป้องแต่ฉันไม่รู้ว่าปกป้องจากอะไรแค่นั้น แต่ฉันพอจะรู้แล้วว่าชีวิตฉันมันคงไม่ปกติอย่างที่เป็นมาแล้วเมื่อต้องแต่งงานกับคนที่เกลียดตัวเอง หวังว่าที่ตอนที่อยู่บริษัทเราจะต่างกันต่างอยู่ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ งานจะโถมเข้ามาใส่ฉันจนไม่มีเวลาพัก พี่ ๆ มองอย่างเป็นห่วงแต่มีคำสั่งจากหัวหน้าว่าห้ามช่วยฉันทำงานเด็ดขาด จากที่กลับบ้านตรงเวลาได้ ตอนนี้ต้องทำงานล่วงเวลา หรือไม่ก็ต้องเอางานกลับมาทำที่บ้าน พักเที่ยงก็ไม่ได้พักเพราะงานยังโถมเข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ช่วงพักเที่ยงจิ้มลงไปกินข้าวและบอกว่าจะซื้อข้าวขึ้นมาให้ฉันจึงไม่ลงไปและนั่งทำงานด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ร่างสูงที่เดินเข้ามาภายในห้องแผนก ฉันตั้งใจจะมองเมินไม่สนใจก้มหน้าทำงานตัวเองต่อ ต่างจากคนที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร “มาคุยกันหน่อย” เขาเอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะเดินออกจากแผนกไป ด้านหลังมีเลขาของเขายืนรออยู่ ฉันบันทึกงานแล้วหยิบโทรศัพท์เดินตามหลังเขาไปเงียบ ๆ ห้องทำงานของเขาเป็นสถานที่นัดมาคุยในครั้งนี้ เจ้าของห้องยืนอยู่ขอบผนังที่ถูกทำเป็นกระจกทั้งด้าน ฉันเดินเข้าไปหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานเขาแต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถามเจ้าของห้องก็เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบแต่น้ำเสียงนั้นแผ่นไปด้วยความกดดัน “เรื่องงานแต่ง...” “แต่งสองปีแล้วหย่ากัน” “...” “ตามข้อตกลง...” “...” “ห้ามให้คนในบริษัทรู้เด็ดขาด” “...” “ข้อตกลงจะส่งให้เซ็นก่อนวันงานแต่งงาน หวังว่าจะเข้าใจ” “ค่ะ” เพราะไม่อยากมีปัญหาหรือทำให้ผู้ใหญ่รู้สึกไม่สบายใจจึงตอบตกลงไปแบบนั้น ภายในห้องทำงานเงียบไปสักพักใหญ่ฉันจึงเอ่ยขอตัวกลับไปทำงาน จังหวะที่เดินลงไปที่แผนกก็บังเอิญเจอกับจิ้มที่เพิ่งกินข้าวเสร็จและกำลังเดินออกจากลิฟต์ “ไปไหนมา” จิ้มร้องถามระหว่างที่รีบเดินเข้ามาทัก “ไปเข้าห้องน้ำ” ฉันตอบและเลี่ยงที่จะตอบความจริง “อ๋อ เอานี่ข้าวไปกินก่อนจะบ่ายโมงแล้วเดี๋ยวปวดท้อง” จิ้มยื่นถุงข้าวกล่องมาให้ฉัน “แต้งกิ้ว ไปกินก่อนหิวมาก” “ไป ๆ สั่งชาสีส้มแกมาให้แล้วกินเสร็จคงจะถึงพอดี” จิ้มบอกพร้อมกับโบกมือไล่ มื้อเที่ยงฉันกินเกือบบ่ายโมงแม้จะอยากกินและนั่งพักไปด้วยแต่ก็ทำไม่ได้จึงต้องรีบกินเพื่อที่จะได้รีบกลับไปทำงานต่อ ตอนนี้ฉันเริ่มจะแน่ใจแล้วว่างานที่จู่ ๆ ก็มีงานโถมเข้ามาคงมาจากใครบางคนที่ตั้งใจแกล้งฉันแน่ ๆ เพราะปกติงานฉันก็เยอะแต่ไม่ได้เยอะขนาดนี้ หึ คิดจะกลั่นแกล้งฉันใช่ไหม บอกเลยว่าสำเร็จค่ะ!! ตอนนี้เหมือนจะตายให้ได้เลย เหนื่อยมาก งานแต่งที่แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยมีเพียงชุดที่ต้องเข้าไปวัดด้วยตัวเอง แน่นอนว่าฉันและผู้ชายคนนั้นไม่ได้ไปด้วยกันเพราะฉันวางแผนเข้าไปคนละเวลากับเขา ส่วนเรื่องแขกฉันบอกไว้ว่าขอเป็นแค่คนสนิทไม่ต้องจัดงานใหญ่ทีแรกคุณน้ากานดาไม่เห็นด้วยแต่เพราะฉันขอร้องท่านถึงได้ยอมและทำตามที่ขอร้อง ดังนั้นชุดแต่งงานจึงเป็นเพียงชุดงานเลี้ยงฉลองตอนเย็นเท่านั้น ในช่วงเช้าจะเป็นการจดทะเบียนสมรส “วันนี้มาเร็วจังเลยนะคะ” พี่พนักงานที่ร้านตัดชุดเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าฉันเดินเข้ามาภายในร้าน “วันนี้ทำงานเสร็จเร็วค่ะเลยมาก่อนเวลา” “ดีจังเลยค่ะ ทางเราอยากให้ลองชุดก่อนวันจริงเผื่อมีการปรับแก้อะไรเพิ่มเติม” “ได้ค่ะ รบกวนพี่ ๆ ด้วยนะคะ” เอ่ยบอกอย่างเกรงใจเพราะเป็นงานเร่งมากจริง ๆ ต้องขอบคุณที่พี่ ๆ ทางร้านตัดชุดจัดการให้หมดทุกอย่าง ระหว่างลองชุดอยู่ก็ไม่คิดว่าคนที่หลบหน้ามาตลอดจะเดินเข้ามาภายในร้านโดยที่ข้างกายเขานั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งคอยอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่ควงแขนกันเข้ามาภายในร้านราวกับว่าเป็นคู่บ่าวสาว “สวัสดีค่ะคุณคิเรย์” เมื่อเจ้าของร้านออกไปต้อนรับแขกที่มาใหม่ฉันจึงหันกลับมาสนใจพี่ที่ดูแลฉันอยู่ “ตรงนี้หลวมไปใช่ไหมคะ?” พี่ที่ดูแลเอ่ยถามมือก็จับชุดให้พอดีกับร่างฉันจากนั้นก็ทำสัญลักษณ์ไว้ก่อนการแก้ไข “เรย์คะ เลิฟอยากลองชุดนั้นจัง...” “เอาสิ ฝากดูแลเธอหน่อยนะครับ” “น้องผิงอยากแก้ตรงไหนเพิ่มไหมพี่จะได้แก้ให้เลย” “ไม่มีค่ะพี่ รบกวนพี่ด้วยนะคะ” เอ่ยบอกกับพี่ตรงหน้า เริ่มรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อยากออกไปจากตรงนี้จะแย่แล้ว “ยินดีมาก ๆ เลยค่ะ แล้วน้องผิงจะเข้ามาดูอีกรอบก่อนงานไหม?” พี่ช่างตัดชุดยังถามต่อระหว่างที่ช่วยฉันถอดชุดในห้องเปลี่ยนชุด “คงไม่แล้วค่ะ เจอกันวันจริงเลยก็ได้ค่ะพี่ ช่วงนี้หนูไม่ว่างด้วย” ไม่ว่างเพราะโดนแกล้งนั่นแหละ งานตอนนี้ล้นโต๊ะฉันแล้ว ทุกวันหลังจากส่งแม่เข้านอนฉันก็ต้องออกมานั่งทำงานต่อบางวันเผลอหลับที่โต๊ะทำงานก็มี แต่ทำยังไงได้ล่ะถ้าไม่ทำก็เสี่ยงถูกไล่ออกฉันไม่รู้จะหางานที่ได้เงินเยอะแบบนี้จากที่ไหนแล้ว แม้จะเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ แต่ค่าตอบแทนนั้นไม่ได้เล็กตามเลยสักนิด “วันนี้เรียบร้อยแล้วนะคะ” พี่ช่างตัดชุดบอกพร้อมกับรอยยิ้ม “ขอบคุณค่ะ งั้นผิงกลับก่อนนะคะ” ฉันส่งยิ้มให้พี่เขาก่อนจะเดินออกจากห้องลองชุดพร้อมกับชุดที่สวมมาตั้งแต่ครั้งแรก เมื่อเดินออกมาก็เจอกับร่างสูงที่นั่งบนโซฟา ฉันไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ทำไมหากไม่ลองชุดที่เขาต้องใส่ แต่ลองคิดอีกมุมหนึ่งก็คงจะพาแฟนเขามาดูชุดล่ะมั้ง ฉันไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเลยสักนิด ไม่คิดจะทักทายเสียด้วยซ้ำ มองเมินและเดินผ่านออกมาหน้าร้านอย่างปลอดภัย “ไร้มารยาท ไม่คิดจะทักเจ้านายหรือไง?” แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวออกจากร้าน คนที่คิดว่าเขาเองก็ไม่ได้สนใจฉันนั้นกลับเอ่ยแขวะเสียงดังทำให้คนในร้านต่างหันมามองเราเป็นตาเดียว “ขอโทษด้วยค่ะเจ้านายพอดีว่าดิฉันไม่ทันสังเกต” เอ่ยขอโทษคนเป็นเจ้านายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นคะเรย์” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับท่อนแขนเรียวที่ยกคล้องแขนของเจ้านาย “ไม่มีอะไรหรอก” คนถูกถามบอกปัดอย่างรำคาญ แน่สิทุกเรื่องที่เกี่ยวกับฉันมักสร้างความรำคาญให้เขาได้อย่างดีเลยล่ะ “งั้นเราไปลองชุดของเรากันดีกว่าค่ะ วันนี้เลิฟอยากดินเนอร์ที่โรงแรม...” ฉันเดินออกจากร้านไม่ได้อยากฟังเรื่องพวกเขาเท่าไหร่ หากเขาพาแฟนมาลองชุดแต่งงานแบบนี้ไม่แน่วันงานฉันอาจจะไม่ได้สวมชุดก็ได้ เมื่อไหร่เรื่องวุ่นวายพวกนี้จะผ่านไปกันนะถ้าไม่มีข้อเสนอที่คุณน้ายื่นให้ฉันจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย ฉันแค่อยากให้แม่หาย อยากให้แม่พบหมอเก่ง ๆ เพราะฉันคงไม่มีเงินพาแม่เข้าพบหมอที่เก่งแบบนั้น ตอนนี้ฉันกำลังพยายามเก็บเงินเพื่อใช้รักษาแม่อยู่แม้จะยังไม่เยอะแต่ฉันก็ยังพยายามที่จะเก็บต่อไป งานเลี้ยงมีแค่บุคคลภายในจริง ๆ มีญาติฝั่งคุณน้ากานดาและเพื่อนสนิทของลูกชายท่านส่วนฉันไม่มีใครเลยนอกจากแม่และป้าแม่บ้านส่วนจิ้มฉันเล่าทุกอย่างให้ฟังแต่ไม่ได้บอกว่าแต่งกับใครเพราะจิ้มถือเป็นบุคคลในบริษัท งานเลี้ยงที่เป็นงานภายในจบลงในช่วงเวลาเกือบสิบโมงเช้า ในช่วงนี้มีพิธีง่าย ๆ ในการหมั้นและจดทะเบียนสมรสตอนเย็นก็เป็นงานฉลอง ฉันมีโอกาสได้เจอเพื่อนของลูกชายคุณน้ากานดารวมถึงแฟนของเขาที่วันนี้สวมชุดแบบเดียวกับฉัน หึ ตั้งใจหักหน้ากันจริง ๆ สินะ “...” ระหว่างเราภายในบ้านมีเพียงความเงียบ เมื่อถูกส่งตัวเข้าห้องหอที่เป็นบ้านที่น้ากานดาเอ่ยถึงแม้จะเป็นบ้านแต่เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะออกจากห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี้เลยเมื่อน้ากานดาให้ลูกพี่ลูกน้องของคุณคิเรย์เฝ้าหน้าห้องไว้ห้ามให้ออกไปจนกว่าจะถึงเวลาเช้า ฉันถอดเครื่องประดับออกจากร่างเก็บลงกล่องเตรียมส่งคืนน้ากานดา ระหว่างรอห้องน้ำว่างฉันก็เช็ดเครื่องสำอางไปพลาง ระหว่างภายในห้องเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศอย่างชัดเจน พรุ่งนี้ยังคงต้องไปทำงานดังเดิม ดังนั้นฉันตั้งใจไว้ว่าจะตื่นตั้งแต่เช้ากลับบ้านตัวเองเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน รอกระทั่งเจ้าของบ้านเดินออกจากห้องน้ำ ฉันจึงถือโอกาสหยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าตัวเองเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระคราบไคล ออกมาก็พบว่าภายในห้องนอนนั้นมืดสลัวมีเพียงโคมไฟข้างเตียงนอนฝั่งหนึ่งที่เปิดให้แสงสว่างอยู่ ฉันเดินไปตากผ้าเช็ดตัวแล้วเดินไปใกล้เตียงนอนหลังใหญ่ ไม่ว่ายังไงเขายังคงเป็นเจ้านายและเป็นคนที่เกลียดฉัน ฉันเองก็ไม่สบายใจที่จะต้องนอนกับเขาบนเตียงแม้จะอยู่ห่างกันแต่มันไม่สะดวกใจไปแล้วคงเลือกอะไรไม่ได้นอกจากหยิบหมอนและผ้าห่มในตู้เสื้อผ้าที่บังเอิญเปิดเจอเดินไปทิ้งตัวนอนบนโซฟาเงียบ ๆ ฉันล้มตัวนอนบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้าไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อที่จะได้ตื่นแต่เช้ามืดเดินกลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนชุดไปทำงานให้ทัน แต่งงานวันแรกอย่างนั้นเหรอ? ตลกดี ถ้าเปลี่ยนให้ฉันออกจากห้องนี้และให้แฟนเขาเข้ามาอยู่ในห้องนี้นั่นคงเป็นงานแต่งจริง ๆ ตีห้าฉันขยับตัวตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังจากโทรศัพท์เบา ๆ ขยับตัวลงจากโซฟาที่นอนหยิบหมอนไปวางไว้บนเตียงเบา ๆ รวมถึงเก็บผ้าห่มไปไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอน หน้าห้องไม่มีใครอยู่กระทั่งเดินมาถึงด้านล่างที่มีห้องนั่งเล่นก็พบว่าไม่มีใครอยู่เช่นเดียวกัน ฉันเปิดประตูบ้านก่อนจะปิดไว้ดังเดิม เมื่อออกมาจากบริเวณรั้วบ้านก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันทั้งสบายใจและดีใจ ในนั้นมันอึดอัดมากจนฉันไม่กล้าที่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ “เฮ้อ อากาศเย็นจัง” คุยกับตัวเองเสียงเบาระหว่างนี้ก็เดินตามถนนภายในหมู่บ้านเพื่อกลับบ้านตัวเอง ดีที่บ้านฉันเองก็ไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่ ห่างกันไม่กี่ซอยเองใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีก็เดินกลับมาถึงบ้านตัวเอง “คุณหนู! ทำไมมาที่นี่ได้คะ” ป้าแม่บ้านอุทานเสียงตกใจเมื่อเห็นฉันเดินเข้ามาในบ้าน “ก็กลับบ้านไงคะ หนูขอไปอาบน้ำก่อนนะคะป้า วันนี้ขอข้าวต้มหมูสับนะคะ” “ได้ค่ะ ๆ เดี๋ยวป้าทำไว้ให้” แม้จะยังตกใจแต่ป้าแม่บ้านก็ยอมรับปาก ฉันเดินขึ้นห้องนอนตัวเองด้วยความคิดถึงห่างตั้งหนึ่งคืนฉันคิดถึงเตียงนอน คิดถึงผ้าห่ม คิดถึงตุ๊กตาตัวใหญ่บนเตียงมาก ๆ เลยล่ะ นอนดีดดิ้นไปมาบนเตียงได้สักพักก็รีบเข้าห้องน้ำอาบน้ำสระผมอย่างสบายใจ เตรียมไปทำงาน โดยลืมไปเสียหมดทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หลักฐานบนนิ้วก็ไม่มีเพราะฉันถอดออกเก็บไว้แล้ว ไม่สวมนั่นหมายถึงไม่มี ฉันเชื่อว่าอีกฝ่ายก็คงจะคิดแบบเดียวกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม