กลิ่นอายรัก 2

2292 คำ
กลิ่นอายรัก 2 บริษัทส่งออกผลไม้แปรรูปขนาดใหญ่เป็นสถานที่ที่ฉันทำงานอยู่ได้เกือบหนึ่งปีแล้วก็ว่าได้ ก็ตั้งแต่เรียนจบมาก็สมัครงานและเริ่มทำงานที่นี่พร้อมกับเพื่อนสนิท ฉันทำตำแหน่งพนักงานที่แผนกบัญชีพยายามอยู่เงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับแผนกอื่นมากเท่าไหร่ จะสนิทก็มีแค่พี่ ๆ ที่แผนกเท่านั้น เลิกงานก็กลับบ้านเลยเพราะเป็นห่วงแม่ นาน ๆ ทีถึงจะไปกินมื้อเย็นกับพี่ ๆ เวลาไม่ว่างไปกินมื้อเย็นพี่ ๆ ต่างเข้าใจและไม่ได้บังคับอะไรเพราะพวกเขารู้เพียงแค่ว่าแม่ฉันไม่ค่อยแข็งแรงเลยต้องรีบกลับไปดูแล แค่นี้ก็ดีมาก ๆ แล้วที่พวกพี่ ๆ เข้าใจฉัน “มื้อเที่ยงไปกินก๋วยเตี๋ยวกันไหม?” พี่ท้อ พี่ที่แผนกเอ่ยชวนยามใกล้ถึงเวลาพักเที่ยง “ไปค่ะ หนูอยากกินก๋วยเตี๋ยว” จิ้ม เพื่อนสนิทฉันที่ทั้งเรียนและจบมาทำงานที่เดียวกันเอ่ยตอบ พร้อมกับยกมือขึ้นบอกอย่างตื่นเต้น “หนูไปด้วย” ฉันเองก็รีบบอกพี่ท้อเหมือนกัน “แกน่ะพี่ไม่น่าถามเลย ก๋วยเตี๋ยวเลิฟเวอร์มาก” พี่ท้อแซว แล้วก็จริงอย่างที่พี่ท้อแซวเพราะฉันชอบกินก๋วยเตี๋ยวมากจนจิ้มบอก เราเลิกกันเถอะ เลิกกินข้าวด้วยกันเพราะฉันมักจะพามันไปกินก๋วยเตี๋ยวในทุกช่วงพักเที่ยงของวันทำงาน มีช่วงหลัง ๆ มานี่แหละที่ไม่ได้ชวนไปกินจนอีกฝ่ายออกปากบอกว่าคิดถึงก๋วยเตี๋ยวแล้วเมื่อไหร่จะได้ไปกินด้วยกัน “งั้นเราสามคนนะ พี่ ๆ เขามีประชุมกันเจ้านายคงสั่งมาให้แล้ว” “ค่ะพี่” จะเล่าให้ฟังอีกนิดก็แล้วกัน เจ้านายที่ว่าคือลูกชายคุณน้ากานดายังไงล่ะ ถึงได้บอกไงไม่ว่าจะที่ไหนฉันก็ไม่อยากเจอเขาคนที่เป็นเจ้านายฉัน แต่ถึงแม้จะทำงานที่บริษัทเขาฉันก็ทำเหมือนพนักงานทั่วไปไม่ทำเหมือนรู้จักเขา ไม่สิต้องบอกว่าฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ นั่นแหละ เพราะต่างคนต่างอยู่ไม่ได้คุยหรือรู้จักกันไปมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง มื้อเที่ยงเราออกมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านหน้าบริษัทเป็นร้านที่พนักงานมากินกันเยอะมากและไม่แปลกใจเลยที่พี่ท้อจะรู้จักคนเยอะขนาดนี้ไม่ว่าใครต่างก็ทักทายพี่ท้อด้วยความสนิทสนม ระหว่างที่กำลังนั่งรอก๋วยเตี๋ยวฉันก็ส่งข้อความหาแม่เป็นข้อความอักษร ส่วนแม่จะตอบกลับมาเป็นข้อความรูปแบบเสียงเพราะท่านพิมพ์ไม่ถนัด พี่ ๆ ต่างรู้ดีเหตุผลที่ฉันใส่แอร์พอร์ตไว้ที่หูข้างหนึ่งตลอดเวลา ผิงกั่วน้อยของแม่ :: กินข้าวหรือยังคะ? กดส่งข้อความไปในช่องแชตของแม่ ในไลน์แม่มีเพียงฉัน น้ากานดาและป้าแม่บ้านที่เป็นเพื่อนในไลน์ อย่างน้อยแม่จะได้ไม่เหงาและได้ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป คุณหมอบอกว่าแม่มีโอกาสกลับมาเป็นปกติแต่ต้องกระตุ้นให้กลับมาอยู่ในปัจจุบันเพราะแม่มีอาการเหม่อลอยและหลบเข้าไปอยู่ในมุมที่ปลอดภัยของตัวเองเพื่อปกป้องความรู้สึกตัวเองในเหตุการณ์ครั้งนั้น แม่แม่ของแอปเปิลน้อย :: sent a voice (แม่กินแล้ว หนูกินหรือยังลูก) ผิงกั่วน้อยของแม่ :: กินแล้วค่ะ กินข้าวแล้วอย่าลืมกินยานะคะ ผิงกั่วน้อยของแม่ :: รักแม่นะคะ จะรีบกลับบ้านนะ แม่แม่ของแอปเปิลน้อย :: sent a voice (แม่รักผิงกั่วน้อยของแม่นะลูก ขับรถดีๆ นะ) “คุยกับแม่เหรอ?” จิ้ม เอ่ยถามมือก็ยื่นตะเกียบมาให้เมื่อพบว่าก๋วยเตี๋ยวที่สั่งไปถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะแล้ว รวมถึงก๋วยเตี๋ยวของพี่ท้อด้วย “ใช่” “ช่วงนี้ไม่ได้ไปหาแม่เลย” จิ้มพึมพำมือก็ตักเครื่องปรุงใส่ชามก๋วยเตี๋ยวตัวเอง ฉันเองก็ลงมือปรุงก๋วยเตี๋ยวตัวเองเช่นเดียวกัน ระหว่างที่คุยกับเพื่อนจู่ ๆ พี่ท้อก็ทักใครสักคนจากนั้นก็คล้ายกับโต๊ะเรามีเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสามคนฉันยังไม่ทันได้มองคนร่วมโต๊ะที่มาใหม่ก็ต้องละสายตาสนใจข้อความที่ถูกส่งมาจากแม่อีกครั้ง แม่แม่ของแอปเปิลน้อย :: แม่ กำลังฝึกนะ พิมพ์ส่งลูกแบบนี้ ข้อความน่ารักจากแม่ทำให้ฉันยิ้มอย่างมีความสุขกับความพยายามที่แสนน่ารักของแม่ ฉันยิ้มดีใจจนน้ำตาคลอ ผิงกั่วน้อยของแม่ :: เก่งมากๆ เลย เย็นนี้ต้องซื้อบัวลอยไข่หวานไปให้แล้วสิ แม่แม่ของหนูเก่งมากขนาดนี้ แม่แม่ของแอปเปิลน้อย :: แม่รอบัวลอย ผิงกั่วน้อยของแม่ :: เย็นนี้จะซื้อให้นะคะ พักผ่อนด้วยนะคะ “น่ารักไหม?” ถามเพื่อนมือก็หันหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองให้เพื่อนสนิทดูบทสนทนาของตัวเองและแม่ จิ้มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ “น่ารักมาก เดี๋ยวบัวลอยฉันซื้อให้เอง” “หึ ไม่ได้หรอกเราต้องซื้อให้เองเดี๋ยวงอน” บอกเพื่อนจากนั้นก็หยิบตะเกียบคีบเส้นในชามเตรียมกิน แต่จังหวะที่สายตาเหลือบมองคนตรงข้ามหัวใจฉันก็แทบหยุดเต้น ช้อนร่วงหล่นลงในชามด้วยความตกใจ ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ได้ แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่สิ เขาจะมานั่งที่นี่ทำไม! “ผิง วันนี้เจ้านายกับเลขานั่งกับเราด้วยนะโต๊ะที่ร้านเต็มน่ะ” “ค่ะพี่ท้อ” ขานรับและเลี่ยงที่จะมองคนตรงข้าม ก็ไม่รู้จะมองหรือพูดอะไรนี่นากินข้าวเสร็จก็แค่แยกย้ายกันไปเท่านั้นพนักงานตำแหน่งเล็ก ๆ แบบฉันไม่จำเป็นต้องเจอเจ้านายหรอก แล้วไหนบอกมีประชุม ทำไมประธานประชุมถึงลงมากินข้าวที่นี่แทนที่จะสั่งอาหารขึ้นไปอย่างที่เคยทำ? แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปนอกจากกินก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าตัวเองอย่างเอ็นจอย ของโปรดนี่นา เย็นนี้จะซื้อร้านโปรดตัวเองกลับไปกินที่บ้านด้วยดีกว่า ซื้อให้แม่ด้วยจะได้กินด้วยกัน ฉันยังหวังอยู่เสมอเรื่องของแม่ ฉันอยากให้ท่านกลับมาเป็นปกติ เพื่อที่ท่านจะได้เที่ยว ได้ออกไปข้างนอกอย่างที่เคยทำ อยากให้แม่ได้มองโลกกว้างนี้พร้อม ๆ กับฉัน ฉันน่ะอยากพาแม่ไปเที่ยวในสถานที่ที่ท่านอยากจะไป ฉันหวังว่าสักวันหนึ่ง จวบจนเวลาบ่ายนั่งทำงานที่โต๊ะอย่างที่เคยทำพยายามทำงานในส่วนของตัวเองให้เสร็จก่อนกำหนดเพื่อที่เวลาใกล้ส่งงานจะได้ไม่ต้องลนลานจนไม่มีเวลาพัก “ผิง...” “ว่าไงจิ้ม” เสียงเรียกของเพื่อนดังขึ้นที่โต๊ะข้าง ๆ จึงชะโงกหน้าไปมองเพื่อน โต๊ะทำงานเรามีที่กั้นชัดเจนแม้จะเป็นโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ติดกันก็ตาม “งานเลี้ยงบริษัทก่อนหยุดประจำปีแกจะไปไหม?” “ไม่บังคับใช่ไหม?” ฉันถามอย่างวิเคราะห์ “ใช่ไม่บังคับ” “งั้นน่าจะไปไม่ แกไปไหม?” “ถ้าแกไม่ไปฉันก็ไม่ไปอะ กลัวไปเจอไอ้บ้านั่นเดี๋ยวทะเลาะกันแล้วไม่มีคนห้าม” จิ้มทำหน้าแหย ๆ เมื่อเอ่ยถึงบุคคลที่สามที่เป็นรุ่นพี่ไม้เบื่อไม้เมาจากคณะเดียวกันแต่อยู่คนละสาขา ทั้งสองคนเจอกันตั้งแต่วันทำงานวันแรกแล้วก็มีเรื่องให้ทะเลาะกัน จากนั้นกลายเป็นว่าทั้งสองคนไม่ถูกกันเสียอย่างนั้น “หยุดสามวัน พักกันยาว ๆ เลยละกัน” จิ้มหัวเราะเสียงเบา จากนั้นเราก็แยกกันทำงานต่อจนใกล้เวลาเลิกงาน กระทั่งถึงเวลาเลิกงานฉันบันทึกงานส่วนงานที่ต้องส่งหัวหน้าจากนั้นก็เอาไปวางไว้ที่โต๊ะหัวหน้าพร้อมกับรายงานว่าส่งงานแล้วในกลุ่ม เกือบหกโมงเย็นฉันออกจากบริษัทพร้อมกับเพื่อนและพี่ที่แผนกก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านโบกมือลาพี่ ๆ และเพื่อนเสร็จก็ขึ้นมาที่รถ เตรียมกลับบ้าน ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดทางผ่านกลับบ้านเป็นมื้อเย็นที่ฉันซื้อกลับบ้านไปกินกับแม่ ซื้อมาห้าถุงเผื่อป้าแม่บ้านและแฟนของป้าแม่บ้าน รวมถึงคนงานอีกหนึ่งคนด้วยเลย จากนั้นก็แวะซื้อบัวลอยไข่หวานตามที่สัญญากับแม่ไว้ว่าจะซื้อกลับไปฝาก เมื่อซื้อของเสร็จแล้วรีบขับรถกลับบ้านเพราะกลัวแม่จะรอ ขับรถเลี้ยวเข้ามาจอดที่โรงจอดรถของบ้านก็แปลกใจอยู่มากว่าทำไมมีรถตู้และรถอีกหนึ่งคันจอดที่หน้าบ้าน แอบคิดอยู่ในใจว่าอาจจะเป็นของบ้านข้าง ๆ ที่จอดกินที่หน้าบ้านฉัน คิดดังนั้นก็หิ้วกระเป๋าสะพายตัวเองลงจากรถรวมถึงเดินไปหิ้วถุงก๋วยเตี๋ยวและบัวลอยจากท้ายรถเข้าบ้าน “มาแล้วเหรอลูก...” แต่เสียงทักที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นขณะที่ฉันก้าวเข้ามาในบ้านทำให้สะดุ้งตกใจหันไปมอง กลุ่มคนหลายคนนั่งที่โซฟาห้องรับแขกและกำลังมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป “สวัสดีค่ะ” เมื่อได้สติก็รีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่มาเยี่ยมเยียนแม่ฉัน “สวัสดีลูก แม่มาคุยธุระกับดาราเขาน่ะ เย็นนี้แม่ขอฝากท้องด้วยนะลูก” คุณน้ากานดาเอ่ยบอกพร้อมกับรอยยิ้ม ต่างจากใครอีกคนที่นั่งเงียบและมองฉันอย่างไม่พอใจอยู่ “ได้ค่ะคุณน้า เดี๋ยวหนูให้ป้าแม่บ้านเตรียมให้นะคะ” เอ่ยบอกท่าน ก่อนจะรีบเดินเข้าไปที่ห้องครัวพอเห็นว่าแม่บ้านทำมื้อเย็นอยู่ก็โล่งใจแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็ถูกเรียกให้เดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นเมื่อน้ากานดาบอกว่ามีอะไรจะคุยด้วย นั่งลงข้าง ๆ แม่ตัวเองฝั่งตรงข้ามเป็นคุณน้ากานดาและคุณน้าเจมาร์ค มุมด้านหนึ่งเป็นลูกชายของท่าน ก็คนที่เป็นเจ้านายฉันนั่นแหละ คุณคิเรย์... “แม่คุยกับดาราแล้วเรื่องงานแต่ง ทางเราจะจัดให้เองหมดทุกอย่างเลยหนูไม่ต้องกังวล” คุณน้ากานดาเอ่ยบอก รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าท่านรวมถึงแววตาคู่นั้นดูมีความสุขมาก ต่างจากลูกชายท่านที่มองมาเหมือนกำลังโมโหฉัน “คะ? หนูไม่...” แม่ยื่นมือมาจับมือฉันไว้เบา ๆ ก่อนจะส่งสายตาให้เงียบ “งานจะถูกจัดอีกสองเดือนข้างหน้านะลูกเป็นฤกษ์ที่เร็วที่สุดแล้ว และอยากจะให้หนูย้ายเข้าไปอยู่เรือนหอกับพี่เรย์เขา” “ไม่ค่ะหนูห่วงแม่ หนูไปไม่ได้” ฉันรีบเอ่ยปฏิเสธทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น จะให้ฉันทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียวได้ยังไง “แม่อยู่ได้ แม่มีป้าแม่บ้าน หนูไปอยู่กับพี่เขานะลูก” แม่เอ่ยบอกฝ่ามือนุ่มลูบที่หลังมือฉันอย่างแผ่วเบา สายตาที่มองมานั้นคล้ายจะมีความสุขแต่ก็ไม่ได้สุขมากถึงขนาดนั้น “แต่หนูห่วงแม่ หนูไปไม่ได้หรอกค่ะ” “ผิงกั่ว แม่อยากให้หนูแต่งกับพี่เขานะ แม่ไม่รู้ว่าแม่จะอยู่ดูแลหนูได้นานแค่ไหน...” “หนูอยู่ได้ หนูดูแลแม่เองได้” “ไม่เลยลูก มันไม่มีอะไรแน่นอน ไม่ต้องห่วงแม่ ที่นี่มีป้าแม่บ้าน” แม่ยังพยายามโน้มน้าวฉันให้อ่อนลง “น้าจะส่งคนมาอยู่ดูแลดารา ให้พยาบาลเข้ามาช่วยดูอาการ น้าอยากให้ดาราหาย” “....” “ถ้าหนูตกลง ทีมแพทย์และพยาบาลที่เก่งที่สุดจะถูกย้ายมาช่วยดูแลแม่หนู” “...” “แต่งงานและย้ายไปอยู่กับพี่เรย์ เรือนหอก็อยู่หมู่บ้านนี้แต่คนละซอย แม่ไม่ได้ให้หนูไปอยู่ไกลดาราเลยลูก” คุณน้ากานดาเอ่ยบอกพร้อมกับยื่นข้อเสนอ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนถูกข่มขู่แบบนี้ และลูกชายท่านเองก็ไม่ได้อยากจะแต่งงานอยู่แล้วนี่ “ทำไมไม่มีใครถามผมบ้าง...” คิดยังไม่ทันไร คนที่เงียบมานานก็เอ่ยขัดอย่างไม่สบอารมณ์ “เรย์กลับไปคุยกันที่บ้าน” คุณน้าเจมาร์คเอ่ยเตือนลูกชายตัวเอง “ไม่ครับ ผมบอกแล้วว่าไม่แต่ง และไม่มีทางแต่งเด็ดขาดทำไมถึงไม่มีใครฟังผมบ้าง” “เรย์กลับไปคุยที่บ้าน” คุณน้าเจมาร์คเอ่ยดุลูกชายเสียงเข้ม “ผมไม่แต่ง ผมไม่ได้รักผู้หญิงคนนี้ด้วยซ้ำ ทำไมไม่มีใครเข้าใจผมบ้าง เอาแต่บังคับ!” “เรย์ แม่ขอ สองปี สองปีเท่านั้นจบทุกอย่างแกจะหย่าแม่ก็ยอม” คุณน้ากานดามองลูกชายอย่างเจ็บปวด แต่ก็ยังไม่ยอมโอนอ่อนให้ลูกชายท่านเลยสักนิด “สองปีแล้วแม่จะไม่บังคับ ไม่ยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของลูก” “งั้นก็จำสิ่งที่พูดด้วยนะครับ” พูดจบเจ้าของร่างสูงที่เดินออกจากบ้านไปไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่สนใจมองเลยสักนิดว่าแม่เขากำลังร้องไห้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม