ตอนที่ 8
โค้งสปิริต 2
เมื่อสี่ยอดกุมารพากันตั้งใจฟังด้วยสายตาหวาดๆ เล็กน้อย เธอจึงเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่แรกให้เพื่อนฟัง โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่รายละเอียดนิดเดียว ยกเว้นชื่อเฟซบุ๊กของเก้าอี้ ที่เธอคิดว่าไม่อยากเอามาให้เป็นประเด็นเท่าไร เพราะถ้าหากเห็นรูปแล้วก็น่าจะรู้ว่าคนที่แท็กมาคือใคร หากเผลอสะกิดต่อมอยากรู้อยากเห็นสี่คนนี้ขึ้นมา กลัวว่าด้วยคะแนน GAT เชื่อมโยงเต็มของพวกมันแล้ว น่าจะมโนเพิ่มได้ใหญ่โตกว่านี้
"อ้อ งั้นเดี๋ยวก็เลิกกันแล้วสิ" บาสถามขึ้นมา
"อือ ที่จริงก็เลิกกันแล้ว แต่พวกแกอย่าเพิ่งบอกฉายมันนะ เดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้มันฟังเอง" เธอไม่ค่อยไว้ใจสี่ยอดกุมารนี้เท่าไร ถ้าเกิดว่าไปใส่สีตีไข่ นอกจากฉายจะตกใจแล้ว อาจจะคิดอะไรแผลงๆ ขึ้นมาก็ได้
"น่าสงสารแกจริงๆ กว่าจะมีพี่เทคก็ตอนขึ้นมาปีสามแล้ว" แฟรงค์พูดขำๆ "แต่ก็แปลก พี่อี้มีเวลากลับมอแล้วเหรอวะ"
"นั่นดิ แต่พี่เขาต้องทำโปรเจกต์จบหรือเปล่า เห็นอาจารย์กิติศักดิ์ก็กลับมาแล้วนะ"
"เดี๋ยวสิ อาจารย์กิติศักดิ์เกี่ยวอะไรด้วย" หมี่ขาวถาม อาจารย์กิติศักดิ์สอนวิชาหลักวิชาหนึ่งในภาควิชาไฟฟ้า แต่ไม่ค่อยได้มาสอนเท่าไรนัก ปกติแล้วจะนัดเมกอัพ[1]อีกทีก็ตอนใกล้สอบด้วยการสอนมาราธอน หรือถ้าช่วงไหนที่เขาว่างก็จะนัดให้นักศึกษามาเรียนนอกรอบ และหมี่ขาวก็รู้ว่าอาจารย์กิติศักดิ์เป็นคนที่บาสหมายตาไว้ให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโปรเจกต์
"วันก่อนฉันรู้ว่าเขากลับมา เลยไปขอให้อาจารย์กิติยอมรับเป็นที่ปรึกษาโปรเจกต์ เลยรู้ว่าปีนี้แกไม่รับคอนเฟอเรนซ์[2]นอกประเทศแล้ว มิน่าล่ะพี่อี้ถึงกลับมา"
หมี่ขาวหูผึ่ง เกี่ยวอะไรกับเก้าอี้ล่ะ?
"พี่อี้ทำไมเหรอ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย"
บาสปรายตามองเธอด้วยสายตาเหยียดนิดๆ "วันๆ นอกจากรับจ๊อบพิเศษก็มัวแต่เล่นเกม ไม่ก็ไปซ้อมชมรม สนใจเรื่องชาวบ้านด้วยเหรอ"
"ชิ พวกแกไม่พูดถึงฉันจะรู้ได้ไง ข่าวสารทั้งหลายก็มาจากพวกแกหมดอะ"
"นี่แกว่าเพื่อนขี้เม้าท์เหรอ"
"เปล๊า หมายถึงว่าเพื่อนหมั่นอัปเดตข่าวสารดีมาก เรื่องนี้ไม่น่ารอดหูรอดตาฉันไปไง"
แฟรงค์พูดขึ้นมา "พี่อี้เป็นเด็กในสังกัดของอาจารย์กิติตั้งแต่ปีหนึ่ง เห็นพี่เดย์บอกว่าตอนประกาศคะแนนสอบกลางภาค อยู่ๆ อาจารย์กิติก็เรียกพี่อี้ไปพบ แล้วพี่อี้ก็ช่วยแกทำวิจัยตั้งแต่นั้นมา ที่ไม่ค่อยได้มาเรียนก็เพราะต้องบินไปคอนเฟอเรนซ์กับอาจารย์กิตินี่แหละ ที่จริงตอนปีหนึ่งปีสองไม่เท่าไร แต่ปีที่แล้วดันไปเข้าตาเอเจนซี่หนึ่งในวงการบันเทิง ทางคณะเห็นว่าพี่แกช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ให้กับคณะได้เลยอนุญาตให้ลาเรียนได้น่ะ แต่มีข้อแม้ว่าต้องกลับมาสอบที่มหา’ลัยและเรียนให้ทันเพื่อน ไม่อย่างนั้นแล้วพี่แกคงไม่หายหัวไปจนโดนเรียกว่าตัวละครลับหรอก"
"หูย ทำไมรู้ดีขนาดนี้" หมี่ขาวกึ่งชมกึ่งประชด แต่แฟรงค์ไม่สนใจแถมยังยืดอกอีกด้วย
"แฟนฉันเป็นแฟนคลับพี่อี้นี่หว่า ไปหาทีไรก็ถามหาแต่พี่อี้ ดีนะที่ฉันหล่อกว่า ไม่งั้นแล้วคงเอาไม่อยู่หรอก" พูดจบก็เอามือเสยผมที่เปียกชื้น ทำท่าเหมือนพระเอกละครหลังข่าว
เพื่อนที่เหลือต่างก็เอือมระอา พากันมองไปคนละทิศละทาง
"ไอ้หมี่!" เสียงแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ของตะวันฉายทำเอาหมี่ขาวกับสี่ยอดกุมารสะดุ้งโหยง
"มาแล้วเหรอ นึกว่าลืมเพื่อนซะละ"
เตกึ่งแซวกึ่งประชดพลางเขม่นตาไปยังเมฆที่เดินตามหลังตะวันฉายมา
เดือนแคมท์ปีสามหล่อสมชื่อ เขาสวมเสื้อเชิ้ตของคณะ ขายาวๆ ของเขาก้าวไม่กี่ครั้งก็ทันฉายแล้ว ที่คอยังมีผ้าคาดโซตัสสีขาวซึ่งน่าจะเป็นของที่ฉายมอบให้อีกฝ่าย
"ไอ้หมี่ แกไปเป็นแฟนพี่อี้ตอนไหน" ตะวันฉายตื่นเต้นยิ่งกว่าเจ้าของเรื่องเสียอีก "รูปนั้นนะแก๊ อย่างกับในซีรีส์อะ คนบ้าอะไรแค่มองแบบนั้นก็ทำฉันเขินจนตัวบิด นี่ลองมโนว่าถ้าฉันเป็นแกในรูปนะ อ๊ายยยย ต้องเขินจนตัวแดงเป็นกุ้งแน่เลย"
"แหวะ!"
"แพ้ท้องแทนเมียหรือไงวะ" ตะวันฉายถามจิก "ทำไม เห็นเพื่อนได้แฟนหล่อกว่าตัวเองหน่อยไม่ได้หรือไง"
หมี่ขาวยิ้มแห้ง คิดไม่ถึงว่าตะวันฉายจะมองข้ามเรื่องจริงหรือไม่จริงไปนานแล้ว นอกจากจะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ยังเห็นดีเห็นงามที่เธอถ่ายรูปพร้อมแฮชแท็กนั้นซะด้วย
เมฆเห็นว่าฉายกำลังอินกับเรื่องของเพื่อนอยู่จึงกระซิบข้างหูเธอแล้วผละจากไป
หมี่ขาวลดเสียงลง ก่อนจะถามเพื่อนเพื่อความแน่ใจ
"เอ่อ...แกไม่คิดหน่อยเหรอว่ามันแปลกๆ อะ ฉันติดแท็กพาแฟนขึ้นดอยนะ"
ฉายส่ายหน้าหวือ "ไม่ว่าหรอก ได้เจอกันครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป อีกอย่างเราตัวติดกันขนาดนี้ ไม่รู้เรื่องน่ะสิแปลก ดังนั้นคิดว่าพี่อี้ต้องชอบแกแน่ๆ เลยขอถ่ายรูปกับแกแล้วติดแท็กนั้น"
"เดี๋ยว!!! หยุด หยุดก่อน หยุดมโนก่อน เราแค่มีข้อแลกเปลี่ยนกันนิดหน่อย ไม่ได้มีเรื่องอะไรอย่างที่แกมโน"
ฉายใช้สองมือดึงแก้มทั้งสองข้างของหมี่ขาวจนเธอน้ำตาเล็ด
"โถ! เจ้าหมี่น้อยของฉัน ไม่ต้องเขินหรอกน่า พี่อี้แทบไม่เคยถ่ายรูปสาวอัปลงเฟซบุ๊กส่วนตัว แกเป็นคนแรกเลยนะที่ได้ถ่ายรูปขึ้นดอยกับพี่อี้แล้วเขาอัปลงเฟซน่ะ ปกติมีแต่คนเขาขอถ่ายกับพี่อี้แล้วอัปลงเฟซตัวเอง"
"แกพูดเหมือนรู้จักพี่อี้ดี"
ฉายชะงักไปเล็กน้อย หันไปสบตากับสี่ยอดกุมาร "พวกแกก็รู้จักไม่ใช่เหรอ"
พวกนั้นพยักหน้าพร้อมกัน
"อะไรวะเนี่ย มีฉันคนเดียวไม่รู้ว่าพี่อี้คือคนไหน"
"ก็แกสนใจเรื่องชาวบ้านตอนไหนอะ จำไม่ได้เหรอเมื่อปีก่อนที่มีคนสร้างเพจช้างเผือกน่ะ รูปพี่อี้เป็นรูปแรกที่ขึ้นเพจเลยนะเว้ย ตอนนั้นมีคนไลก์เป็นแสน คนแชร์เป็นหมื่น จนมีเอเจนซี่มาทาบทามพี่อี้ให้ไปถ่ายเอ็มวี กับถ่ายแบบน่ะ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นนั่งค้นรูปจนลืมทำการบ้านเลยนะ"
"อ้อ…" หมี่ขาวเหมือนคิดอะไรออก
"แบ่งความบ้าผู้ชายมาให้หมี่มันนิดนึงก็ดี จะได้บาลานซ์" เตแขวะ
ฉายลอยหน้าลอยตา หันไปถามบาส "ได้ข่าวว่าจะเป็นลม ดีขึ้นยัง"
บาสพยักหน้า "เดี๋ยวต้องวิ่งโค้งสปิริตแล้ว ไปร่ำลาว่าที่สามีหน่อยไหม"
ฉายส่ายหน้า "ไม่ จะรอสบตากับพี่อี้"
"บ้าผู้ชาย" สี่ยอดกุมารพูดพร้อมกัน
"หนักหัวใครไหม"
คณะวิศวะหยุดพักที่โค้งสปิริตหรือที่เรียกชื่อทางการว่าโค้งขุนกัณฑ์[3]ราวชั่วโมงครึ่ง เมื่อเริ่มมีคณะอื่นทยอยขึ้นมากันแล้วประธานเชียร์ก็เรียกตั้งแถว โดยมีเสลี่ยงช้างแก้วอยู่ด้านหน้า ตามด้วยผู้ถือธง บรรดาปีแก่ปิดหัวปิดท้ายและขนาบข้างน้องปีหนึ่ง สุดท้ายของแถวจะเป็นห้องมืดและบรรดาพี่ๆ นายช่างที่กลับมาร่วมกิจกรรมขึ้นดอยในปีนี้
เมื่อทุกคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ก็เริ่มบูมคณะครั้งใหญ่อีกครั้งโดยมีประธานผู้นำเชียร์เดินออกมาด้านหน้า หลังจากที่เขาให้สัญญาณด้วยการประสานมือเหนือศีรษะ ทุกคนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ รวมไปถึงบรรดาศิษย์เก่าก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมสำหรับการบูม หมี่ขาวเองก็เตรียมพร้อม มือก้มหน้าลง ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงรัวชัตเตอร์ของผู้ที่มาร่วมชมการโชว์สปิริตกับสื่อทั้งภายในภายนอกมหาวิทยาลัยที่ดังขึ้น
หลังจากเสียงกำปั้นกระทบฝ่ามือของผู้นำเชียร์ดังครบสามครั้ง เสียงบูมก็ดังกระหึ่มอย่างพร้อมเพรียง ก้องกังวานเหลี่ยมเขาราวกับกำลังประกาศให้โลกรู้ว่าวิศวะมช.กำลังเตรียมวิ่งผ่านโค้งขุนกัณฑ์
สิ้นเสียงพยางค์สุดท้ายของการบูม จู่ๆ เธอก็รู้สึกตื้อในอก นี่เป็นความภาคภูมิใจของหมี่ขาว ไม่ว่าในสายตาของคนจากภายนอกมหาวิทยาลัยจะมองคณะเธออย่างไร แต่ทุกครั้งที่ได้บูมกับรุ่นพี่รุ่นน้องในวันขึ้นดอย การร่วมใจกันแสดงสปิริตนี้ออกมา ก็เหมือนกำลังประกาศให้โลกรู้ถึงความภาคภูมิใจของพวกเขา
เมื่อบูมเสร็จแล้วหมี่ขาวจึงมองหาเพื่อน บรรดาสี่ยอดกุมารไม่ได้ถือเสลี่ยงวิ่งอีกแล้ว แต่พวกเขาคอยซัพพอร์ตอยู่ด้านข้าง เสลี่ยงช้างแก้วทุกปีเป็นความรับผิดชอบของปีสาม ดังนั้นแล้วหมี่ขาวจึงไปรวมตัวกับเพื่อนปีสามเพื่อวิ่งตามเสลี่ยงขึ้นสู่ยอดดอย ทุกคนจัดแถว แต่ละคนในแถวล้วนกอดคอกัน ราวกับว่าหามีใครสักคนล้มขึ้นมาคนที่เหลือก็สามารถพยุงให้ลุกขึ้นได้โดยเร็ว ทุกคนสบตากันพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ เมื่อเสียง E ตัวแรกดังขึ้น การบูมสั้นก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงในวินาทีถนัดมา เสลี่ยงช้างแก้วเคลื่อนตัวขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพ ทุกคนทิ้งเรื่องที่คิดทั้งหมดในหัวไป เหลือเพียงความคิดเป็นหนึ่งเดียว นั่นคือกอดคอเพื่อนไว้ ก้าวขึ้นไปให้ถึงจุดหมายด้านบน...
[1] คลาสเรียนชดเชยนอกเวลา
[2] Research Conferences การประชุมหรือนำเสนองานวิจัย
[3] มาจากชื่อของ ขุนกัณฑ์ ชนะนนท์ ที่รู้จักกันดีในนามของผู้ที่ใช้ทรัพย์สินส่วนตัวสร้างสนามบินเชียงใหม่ เนื่องจากท่านได้รับมอบหมายให้สร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ ด้วยความศรัทธาที่มีต่อครูบาเจ้ากาวีละ จึงทำให้ท่านออกทุนทรัพย์ส่วนตัวทั้งหมดในการสร้างถนนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนขึ้นถึงดอยสุเทพ ตั้งแต่นั้นมาจึงเรียกโค้งสปิริตว่าโค้งขุนกัณฑ์