“ที่ดินแค่ไร่เดียวมีผักสารพัดชนิดขนาดนี้เชียวหรือคะ” เธอเอ่ยถามอย่างตื่นตาตื่นใจ นึกเมนูอาหารมากมายที่อยากทำกินแล้วถึงกับน้ำลายสอ
เธอเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว เพราะบิดามารดาบุญธรรมชอบทำอาหาร นั่นทำให้เธอได้รับการถ่ายทอดการทำอาหารมาจากพวกท่าน
“ใช่ครับ ไม่ใช่ห้าสิบชนิดนะครับ พี่ไปได้พันธุ์ผัก ซึ่งเป็นพันธุ์แท้มาอีกหลายชนิด ก็จะนำมาปลูกเอาไว้ การปลูกผักหลากหลายเช่นนี้มีข้อดีตรงที่เราไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง แต่กลิ่นและสารในผักบางชนิดก็จะฆ่าแมลงบางชนิดได้ เราใช้ความหลากหลายกำจัดแมลง แต่ถ้าเราปลูกผักชนิดเดียวทั้งไร่ เช่นคะน้าทั้งไร่ พวกแมลงหรือหนอนที่ชอบผักคะน้าก็จะลงยกแปลงทำให้ผักเสียหาย ชาวสวนชาวไร่ส่วนใหญ่จึงต้องฉีดยาฆ่าแมลงน่ะครับ ไม่อย่างนั้น ผักก็จะไม่ได้กิน”
“น่ากลัวจังเลยนะคะ”
“อะไรน่ากลัวครับ หนอน แมลงหรือยาฆ่าแมลง”
“ยาฆ่าแมลงน่ะสิคะ เพราะผักที่มีหนอนหรือแมลงกัดกิน อย่างน้อยก็ยังพอเอามาล้างทำความสะอาดและนำไปปรุงอาหารได้ แต่ถ้าฉีดยาฆ่าแมลง กินเข้าไปก็ทำให้ป่วยเป็นมะเร็งและโรคอื่น ๆ ก็จะตามมาอีก อันตรายจริงๆ กับสารพิษตกค้าง ซึ่งคนปัจจุบันนี้ป่วยด้วยโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคกันเยอะนะคะ”
คนในยุคโบราณ จะป่วยเพราะโรคที่เกิดจากเชื้อโรค แต่คนในยุคปัจจุบันป่วยเพราะโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ยาฆ่าแมลงจึงเป็นภัยเงียบที่มองไม่เห็น เพราะคนใช้ยาฆ่าแมลงไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลง และไม่เห็นขั้นตอนการปลูกว่าเป็นอย่างไร คนที่หันมาสนใจต่อสุขภาพและพอจะมีที่ดินอยู่บ้าง จึงหันมาปลูกผักผลไม้ปลอดสารพิษรับประทานเองกันเป็นจำนวนมาก ส่วนคนที่ไม่มีที่ดิน ถ้ามีฐานะหน่อยก็ซื้อผักผลไม้ออร์แกนิก แต่คนรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ มีอะไรก็กิน ๆ ไป ไม่ได้พิถีพิถัน เพราะชีวิตเร่งรีบและไม่ได้มีเงินทองมากมายหาซื้ออาหารออร์แกนิกที่ค่อนข้างมีราคาแพงพอสมควร
สองหนุ่มเดินดูแปลงผักปลอดสารพิษที่มีสารพัดผักกันอย่างเพลิดเพลิน แต่ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ ทำให้ทั้งสองต้องวิ่งไปหลบฝนที่บ้านหลังน้อยด้านหลังของสวนผัก
“เปียกหมดเลยค่ะ จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมา” เธอลูบเสื้อผ้าตัวเองไปมา มองสภาพเปียกปอนของตัวเองแล้วถอนใจเบา ๆ
“หลบฝนที่นี่ก่อนครับ ฝนหยุดแล้วค่อยว่ากัน”
“นี่บ้านของพี่ดินเหรอคะ”
“ครับ เป็นบ้านหลังเล็กที่พี่สร้างเองครับ” เขาเอ่ยบอกเธออย่างภาคภูมิใจ ทำให้เธอต้องหันไปสำรวจรอบบ้านของเขา
“บ้านดินเหรอคะนี่”
“ใช่ครับ พี่ว่านิลเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าครับ” เขามองเนื้อตัวเปียกปอนของเธอ เพราะจู่ ๆ ฝนตกหนัก ทำให้เขากับเธอเปียกปอนกันไปหมด
“พี่ดินมีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนเหรอคะ” เธอเอ่ยถามอย่างเกรงใจ
“มีครับ แต่เป็นเสื้อผ้าของพี่ เราน่าจะใส่ได้นะ อาจจะตัวโตไปนิดเท่านั้นเอง” เขาพูดอย่างสุภาพ พสุธาไม่ได้มีท่าทีอยากจะล่วงเกินเธอเลย แม้จะอยู่กันสองต่อสอง ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาเองก็เป็นคนดีเหมือนกัน
เขาอาจจะได้ความดีมาจากพันธุ์กรรมของธร บิดาบุญธรรมของเธอนั่นเอง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอรู้สึกหนาว และกลัวจะไม่สบายด้วย ถ้าได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าน่าจะดี
เขานำเสื้อผ้ามาให้เธอ เสื้อนั้นตัวใหญ่จริง แต่กางเกงเป็นกางเกงผ้าผูกเอว ทำให้เธอไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการสวมใส่
“พี่นำเสื้อผ้าของนิลไปลงเครื่องซักแล้วนะครับ อบสักพักก็แห้งแล้วครับ”
“พี่ดินนี่นอกจากใช้ชีวิตสมถะติดดินแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้จักใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยเหมือนกันนะคะ”
“พี่ไม่ได้ปฏิเสธเงินครับ มีเงินก็อำนวยความสะดวกและทุ่นแรงได้หลายอย่างครับ แต่เรื่องอาหารการกิน พี่ต้องการความสะอาด ปลอดภัย เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราก็คือสุขภาพครับ”
“พี่ดินมีแนวคิดการใช้ชีวิตเหมือนนิลเลยค่ะ ในชีวิตของคนเรา นิลคิดว่าสุขภาพสำคัญที่สุดค่ะ คนมักให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่าสุขภาพ ทั้ง ๆ ที่ตัวของเราอยู่กับเราตลอดเวลา แต่สิ่งอื่นเป็นแค่ของภายนอก ที่ไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา นานมาแล้วค่ะ นิลไปงานศพกับคุณแม่ เคยมีพระท่านนึงเทศน์ให้ฟังค่ะ”
“ท่านว่าอย่างไรครับ”
“มีพระราชาองค์หนึ่งมีภรรยาสี่คนค่ะ แล้ววันหนึ่งก็เกิดป่วยหนักกำลังจะตาย พระราชาจึงถามภรรยาทั้งสี่ว่าหากเขาตาย จะไปกับเขาไหม ภรรยาคนที่สี่ ที่เศรษฐีรักและตอนมีชีวิตอยู่ ได้ซื้อเครื่องเพชรเครื่องทอง และเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามให้สวมใส่ตอบว่า ขอโทษด้วยข้าทำแบบนั้นไม่ได้ แล้วเดินจากไป ภรรยาคนที่สาม เขาภูมิใจในตัวเธอมาก และมักพาเธอออกงานไปพบปะผู้คนเสมอ ตอบพระราชาว่า ฉันรักชีวิตของฉันเกินกว่าจะทำแบบนั้น ขอโทษที่ฉันไม่สามารถไปกับท่านได้ และเมื่อท่านตาย เธอก็จะแต่งงานใหม่ ส่วนภรรยาคนที่สองมักจะอยู่กับเขาเสมอ ในวันที่เขาต้องการ ตอบพระราชาว่า ขอโทษนะที่ฉันไม่สามารถไปกับท่านได้ แต่หล่อนจะจัดงานศพให้เขาหลังจากที่เขาตาย ส่วนภรรยาคนที่หนึ่งบอกกับพระราชาว่าหล่อนจะตามติดท่านไปทุกที่ แม้ว่าท่านจะตายก็ตามที นั่นทำให้พระราชาละอายใจเพราะภรรยาคนที่หนึ่ง ก็คือคนที่เขาดูแลเอาใจใส่น้อยที่สุดตอนมีชีวิตอยู่ พระราชาได้ยินดังนั้นก็คิดว่าเขาควรจะใส่ใจภรรยาคนที่หนึ่งให้มากกว่านี้” เธอเล่ามาถึงตรงนี้ก็ยิ้มให้เขา
“ภรรยาคนที่สี่คือร่างกาย เครื่องประดับและเสื้อผ้าสวยๆ ไม่สามารถติดตามเราไปได้เมื่อวันตาย ภรรยาคนที่สามคือทรัพย์สมบัติที่เราเก็บสะสมมาในชีวิต แต่สุดท้ายเมื่อเราตายก็ต้องตกไปเป็นของคนอื่น และไม่สามารถติดตัวเราไปตอนตายได้ ภรรยาคนที่สองคือเพื่อนและครอบครัว เขาจะอยู่กับเราเสมอยามที่เราต้องการ แต่สุดท้ายเขาก็จะส่งเราได้แค่งานศพเท่านั้น ภรรยาคนแรกคือจิตวิญญาณของเราเอง ส่วนมากเราจะละเลยจิตวิญญาณของเราเอง ให้ความสนใจต่อสิ่งอื่นมากกว่า” คนที่เป็นคนต่อประโยคของเธอคือพสุธา
หลังจากที่เขาพูดจบ เขากับเธอก็มองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา
น่าทึ่งที่พสุธาเป็นคนดีและน่าคบหา ในขณะที่มารดาบุญธรรมเล่าให้ฟังว่านราผู้เป็นย่าของพสุธานั้นใจร้ายนัก นางขโมยพสุธามาเลี้ยงก็น่าจะเสี้ยมสอนให้เป็นคนไม่ดี แต่แปลกที่เลี้ยงให้เป็นคนดีเช่นนี้
“เป็นปรัชญาธรรมค่ะ หมายถึงร่างกาย ทรัพย์สิน ครอบครัวคนรักกับเพื่อน และจิตวิญญาณ”
“พี่เคยได้ฟังพระเทศน์ตอนเด็กๆ ตอนไปช่วยงานศพแม่ของเพื่อนเหมือนกันครับ”
“แล้วพ่อแม่ของพี่ดินล่ะคะ ไม่เห็นพี่พูดถึงเลย พูดถึงแต่ย่า” ประโยคคำถามนี้ทำให้พสุธาดูมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาตัวแข็ง เม้มปาก ขมวดคิ้วเข้าหากัน ถอนใจ หงุดหงิดและใบหน้าบึ้งตึงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ขอโทษนะคะ นิลไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่ไม่พอใจแบบนี้”
“เขาทิ้งพี่ไปตั้งแต่เด็ก”
“ใครทิ้งคะ”
“แม่ครับ ส่วนพ่อพี่ตายแล้ว พี่มีแคย่าที่ดูแลมาตลอด”
“พี่รู้ได้ยังไงคะว่าแม่ของพี่ทิ้งพี่”
“พี่ไม่เคยเจอเขาเลย มีแต่ย่า ไม่เรียกทิ้งแล้วเรียกอะไรครับ”
“เขาอาจจะมีความจำเป็นหรือเปล่าคะ”
“จำเป็นขนาดไหนถึงกับทิ้งลูกตัวเอง” ประโยคที่โต้ตอบกลับมาทำให้นิลรัตน์ถึงกับอึ้งไป เขากำลังอารมณ์ไม่ดี และเธอควรพูดคุยกับเขาอย่างระมัดระวัง