คนที่แทบน้ำตาเล็ดรีบเดินขึ้นฝั่ง รีบเปิดซิบกระเป๋าแล้วล้วงหาโทรศัทพ์ ก็พบว่ามันเปียกน้ำหมดแล้ว หาอะไรเช็ดก็ไม่ได้ เพราะเสื้อผ้าบนตัวเธอก็เปียกชุ่มไปหมด
ร่างเล็กที่เปียกปอนไปทั้งตัว เริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า เมื่อมองไปทางกระเป๋าเดินทางที่จมหายลอยไปกับสายนที
มันไม่ได้ลึกมากหรอกแค่เอวเท่านั้น แต่น้ำค่อนข้างไหลแรง มันจึงพัดเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่แต่ไม่ได้หนักมากของเธอลอยจมหายไปในพริบตา
แล้วจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนมาเปลี่ยน เครื่องสำอางอีกล่ะ จะเอาที่ไหนมาใช้ ไหนจะขนมแก้หิวอีก
‘กรรมของมินตรา’
“มันเป็นกรรมของฉันจริงๆ หรือนี่”
หญิงสาวหน้าเศร้าเดินไปตามทางเดินเล็กๆ เข้าไปภายในบริเวณบ้านสองชั้นหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ดูค่อนข้างเก่า น่าจะสร้างมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว
“สวัสดีค่า มีใครอยู่บ้านไหมคะ”
เธอเรียกหาเจ้าของบ้านอยู่สองสามที แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ออกมาจากบ้านไม้ตรงหน้านั้นเลย จะมีก็แต่เสียงสุนัขเห่าที่ทำให้มินตรากลัวจนหัวหด รีบตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่นด้วยความหวาดกลัว ว่าสุนัขสองสามตัวที่กรูกันดราหน้าเข้ามาหาเธอจะกัดเอา
โฮ่งๆ ! ...
“ช่วยด้วยค่า มีใครอยู่ในบ้านไหมคะ มาช่วยจับหมาให้ทีค่ะ ฉันกลัว”
โฮ่งๆ ! ...
สุนัขยังคงเห่าถี่ไม่หยุด จนคนที่กำลังกลัวสุนัขจนปัสสาวะแทบราดเอามือปิดหน้าร้องไห้โฮออกมา อยากจะวิ่งหนีก็ไม่กล้าเพราะกลัวมันไล่กัด เคยมีคนบอกเธอเหมือนกันว่าถ้าเห็นสุนัขเห่าอย่าวิ่งหนี เพราะถ้ามันวิ่งตาม ไม่รอดแน่ เธอจึงยืนนิ่งยกมือปิดหน้าร้องไห้อย่างไม่อายใคร
“ฮือๆ อย่ากัดฉันนะ ฉันกลัวแล้ว”
สักพักเสียงสุนัขเห่าก็ซาลงและเงียบลงในที่สุด
หญิงสาวจึงค่อยๆ เอามือที่ปิดตาออก แล้วก็พบมนุษย์ผู้ชายตัวสูงใหญ่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า มองเธอด้วยแววตาสงสัย
“คุณมาหาใคร”
เป็นคำทักทายแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมา
มินตรามัวแต่ตะลึงมองชายหนุ่มตรงหน้าตาค้าง
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมาเจอหนุ่มลูกครึ่งรูปงามอยู่ตามบ้านนอกแบบนี้
‘อืม... แต่เธอเคยได้ยิน ว่าสาวๆ ทางนี้มีสามีฝรั่งกันเยอะมาก ผู้ชายคนนี้ก็คงจะเป็นสามีใครสักคน’
หญิงสาวเริ่มคลี่ยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร
“ที่นี่ใช่บ้านของคุณยายคำใช่ไหมคะ”
“ใช่ คุณมีธุระอะไรกับยายของผม” เขาถามพร้อมกับพิจารณาเธอไปด้วย
“ทำไมคุณร้องไห้ล่ะ”
“คือ คือฉันกลัวหมากัดน่ะ”
“อ่อ แต่คุณไม่เคยได้ยินเขาพูดเหรอ ว่าหมาที่เห่า มันไม่กัดหรอก”
“แต่ยังไงฉันก็ยังกลัว”
ชายหนุ่มมองสำรวจหญิงสาวตรงๆ มองแบบพินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็มาหยุดสายตาที่ระดับทรวงอกของเธอ
เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปียกปอน มันมองเห็นทะลุไปถึงไหนๆ จนเธอต้องรีบเอากระเป๋าเพียงใบเดียวที่ติดตัวมาบังไว้ข้างหน้า เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกเขามอง ด้วยสายตาที่เหมือนจะเปลื้องผ้าเธออยู่แล้ว
เหมือนชายหนุ่มจะยิ้ม แต่ก็พยายามเก๊กหน้าดุเอาไว้
“ตกสะพานล่ะสิ เปียกแบบนี้”
‘รู้แล้วยังจะมาถามอีก’
“ค่ะ”
เธอพยักหน้ารับ
“คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะ ว่าคุณมีธุระอะไรกับยายของผม”
“อ๋อ คือฉันมาหาคุณยายคำ เพื่อ.... เพื่อ...”
จะตอบเขาไปว่ายังไงดีล่ะ เธอไม่ใช่ญาติโกโหติกาของคุณยายคำเสียหน่อย ไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่ที่ต้องมาที่นี่ก็เพราะ มีผู้ปรารถนาดีบอกให้เธอมาปรนนิบัติหญิงชราคนนี้ เพื่อแก้อาถรรพ์บางอย่าง
“คือ มีหมอดูทักฉันมาว่า ฉันมีเคราะห์ ท่านบอกให้ฉันมาเป็นคนรับใช้เจ้าของบ้านหลังนี้อย่างต่ำหนึ่งปีค่ะ หรือจนกว่าท่านจะอโหสิกรรมให้ ถึงจะพ้นเคราะห์”
“ไร้สาระ ผมว่าคุณมาด้วยประสงค์อื่นมากกว่ามั้ง”
แล้วสายตาที่เสมือนเรด้าของชายหนุ่มก็พุ่งมองตรงมาที่เธออีกครั้ง แล้วมาหยุดอยู่แถวเนินอกที่มองเห็นถึงสายบราสีดำอยู่ข้างในที่เดิม ก็หน้าอกหน้าใจของเธอมัน...
คนถูกจ้องมองหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะสอดส่ายสายตามองหาหญิงชราตามคำบอกเล่าของหมอดู
“ได้โปรดเถอะค่ะ ชีวิตที่ผ่านมาของฉัน เจอแต่ฝันร้ายซ้ำๆ ซากๆ มาโดยตลอด หากมีวิธีใดที่จะทำให้ฉันหลุดพ้นจากฝันร้ายนั้น ฉันก็ยินดีที่จะทำ ฉันตั้งใจมาที่นี่เพื่อแก้กรรมตามคำทำนายจริงๆ ค่ะ”
“ผมจะเชื่อได้อย่างไร ว่าคุณกำลังพูดเรื่องจริง”
“ไม่มีเหตุผลใดที่ฉันจะต้องโกหกนี่คะ ฉันเดินทางมาตั้งไกล มาตัวคนเดียวอีกต่างหาก แล้วฉันจะเสี่ยงอันตรายมาเพื่ออะไรกัน แล้วทำไมฉันถึงกล้าเดินทางมาคนเดียว ก็เพราะสิ่งที่ฉันเจอมามันเลวร้ายกว่าน่ะสิ”
“แต่คุณกลับกลัวหมา”
“ก็ฉัน...”
“พอ ไม่ต้องอธิบายเรื่องหมาแล้ว แต่ผมไม่เชื่อเรื่องคำทำนายทายทักของหมอดูหรอกนะ”
“แต่ว่าฉัน...”
ป๊อกแป๊กๆ
ฝนเริ่มลงเม็ด ชายหนุ่มจึงจำต้องเชิญเธอเข้าไปหลบฝนในบ้านก่อน
“เข้าร่มก่อนเถอะคุณ ฝนตกแล้ว”
แล้วฟ้าก็มืดมัวมาทันที สายฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว