“หนูขิมตกลงรับข้อเสนอของป้าแล้วใช่ไหม” ปณิตาถามย้ำอีกครั้งก่อนที่ญารินจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ค่ะคุณป้า”
“คนนี้เหรอครับที่แม่หามา” คนมาใหม่เอ่ยถามในขณะที่ปรายตามองหญิงสาวเพียงชั่วครู่
“คนนี้แหละ หนูขิมลูกสาวเพื่อนแม่”
“ฉันปุณณภัทรนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นชาจากสายตาคู่นั้นมันก็ทำให้ญารินถึงกับทำตัวไม่ถูก
“แม่บอกข้อเสนอไปคร่าว ๆ แล้วที่เหลือเราก็ลองพูดคุยทำความรู้จักกันสักนิดก็แล้วกัน เผื่อคุณย่าถามจะได้ไม่มีพิรุธ”
“ครับแม่” ชายหนุ่มรับปากอย่างว่าง่ายเป็นจังหวะเดียวกันที่พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟให้ ปณิตาจึงก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเพราะเธอมีนัดต้องไปต่อ
“ยังไงก็อยู่คุยกันไปก่อนนะ แม่คงต้องไปก่อน ถ้าไม่มีอะไรติดขัดอาทิตย์หน้าก็พาหนูขิมไปพบคุณย่าได้เลย” คนสูงวัยกว่ารวบรัดตัดบทก่อนจะหันไปตบไหล่เล็กเบา ๆ อย่างมีความหวัง “ฉันฝากด้วยนะหนูขิม”
“ค่ะคุณป้า”
ปณิตายิ้มให้อย่างอบอุ่น เธอเหลือบมองลูกชายครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดประตูห้องออกไป เมื่ออยู่กันตามลำพังสองคน ญารินกลับยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศมันน่าอึดอัดจนเธอทำตัวไม่ถูก
“เธอชื่อขิมเหรอ” ปุณณภัทรเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบ
“ค่ะ”
“อายุเท่าไหร่ล่ะ” เขาถามอีกครั้ง
“ยี่สิบสองค่ะ”
“อืม...เด็กกว่าฉันเป็นสิบปีเลยแฮะ ถ้าบอกคุณย่าว่าคบมาสามปีตอนนั้นเธอก็น่าจะแค่สิบเก้า งั้นบอกว่าคบมาสองปีก็พอ ตั้งแต่เธออายุยี่สิบก็แล้วกัน” ชายหนุ่มทำท่าคิดหนักก่อนจะเปลี่ยนคำถาม “แม่ฉันบอกว่าพ่อเธอป่วยหนัก ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ”
“พ่อเพิ่งเสียไปเมื่อสามวันก่อนค่ะ”
“งั้นเหรอ...ฉันเสียใจด้วยนะ แล้วตอนนี้เธออยู่กับใครล่ะ”
“อยู่กับแม่สองคนค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าตอบ รู้สึกเหมือนกำลังสอบสัมภาษณ์ไม่มีผิด
“งานล่ะ เธอทำงานที่ไหน”
“หนูทำงานในบริษัทส่งออกไวน์ในเครืออมรภิรมย์...”
“หนูเหรอ...เธอเรียกแทนตัวเองว่าหนูงั้นเหรอ” ปุณณภัทรยกยิ้มมุมปากพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา
“ค่ะ...คือ หนูชินกับการพูดกับคนที่โตกว่าแบบนี้น่ะค่ะ” ญารินก้มหน้าตอบอย่างเกรง ๆ “แต่ถ้าคุณปุณไม่ชอบหนู เอ่อ...ดิฉันเปลี่ยนก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร เธอสะดวกแบบไหนก็แล้วแต่เธอละกัน เพียงแต่...ฉันแค่รู้สึกว่าฉันดูแก่เวลาที่เธอเรียกแทนตัวเองว่าหนูน่ะ” อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ อีกครั้งก่อนจะตักอาหารให้ “ทานก่อนดีกว่าเดี๋ยวอาหารจะเย็นซะก่อน”
“ค่ะ” เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวต้องก้มหน้าหลุบตาต่ำ
ให้ตายเถอะ ยิ่งได้อยู่ใกล้ได้พูดคุย เธอกลับยิ่งรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์มากจนเธอประหม่าไม่กล้าจะสบตาเลยสักนิด
“ทำตัวตามสบายเถอะ อีกหน่อยเราก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน” เหมือนปุณณภัทรจะรู้ว่าญารินกำลังประหม่าเขาจึงเลื่อนตำแหน่งมานั่งใกล้ ๆ เพื่อให้หญิงสาวคุ้นชิน
“เอ่อ...นานแค่ไหนเหรอคะ”
“ไม่รู้สิ จนกว่าย่าฉันจะตายใจล่ะมั้ง ถ้าพาเธอไม่พบคุณย่าเสร็จก็อาจจะแต่งงานแล้วก็จดทะเบียนสมรสด้วย เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าฉันต้องให้เธอเปลี่ยนมาใช้นามสกุลฉันเป็นการชั่วคราว”
“ได้ค่ะ หนูไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” หญิงสาวตอบรับอย่างว่าง่าย
“พูดง่ายแบบนี้ฉันก็ดีใจ งั้นฉันขอบอกกฎอีกข้อนะ” พูดจบเขาก็นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจจนญารินต้องเงยหน้ามอง แต่แล้วเธอก็ต้องหลบสายตาคู่นั้นทันทีเมื่อเห็นว่าปุณณภัทรเองก็กำลังจ้องหน้าเธออยู่
“กฎอะไรเหรอคะ”
“ฉันให้เธอมาเป็นภรรยาแค่ในนามเท่านั้น เธอห้ามยุ่งวุ่นวายเรื่องของฉันและที่สำคัญ...เธอห้ามตกหลุมรักฉันเด็ดขาด”
“ระ...รักเหรอคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามกลับทันทีที่ได้ยินคำนั้น
“ใช่ เธอต้องตระหนักไว้เสมอว่าระหว่างเรามันไม่ได้เกิดจากความรัก ทุกอย่างคือการแสดงให้คุณย่าแล้วก็คนในไร่อมรภิรมย์ตายใจเท่านั้น”
“ค่ะ” ญารินจำเป็นต้องตกปากรับคำ ทั้งที่ความเป็นจริงเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะห้ามความรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเขาออกจะดูดีขนาดนี้
“เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ฉันไม่ได้ให้เธอมาทำฟรี ๆ ถ้าเราตกลงแต่งงานกันเมื่อไหร่ ฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้เธอเป็นรายเดือน เดือนละห้าหมื่น”
“ห้าหมื่นเลยเหรอคะ” นักศึกษาจบใหม่อย่างเธอตาลุกวาวขึ้นมาเมื่อได้ยินจำนวนเงิน
“ใช่ แต่ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจ ฉันก็จะให้โบนัสพิเศษด้วย”
“เอ่อ...ตกลงค่ะ” เป็นอีกครั้งที่เธอถูกสะกดด้วยสายตาให้ก้มหน้ารับคำสั่งนั้นแต่โดยดี ในใจส่วนลึกเองเธอก็ยังรู้สึกสับสนเพราะปณิตากับปุณณภัทรบอกไม่เหมือนกันเลยสักนิด
เขาบอกให้เธอแต่งงานแค่ในนาม ห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัว แต่ปณิตากลับบอกให้เธอหยุดความเจ้าชู้ของปุณณภัทรให้ได้ แล้วถ้าเป็นแบบนี้เธอต้องรับคำสั่งจากใครกันแน่
“ลองทานจานนี้ดูสิ ฉันชอบจานนี้ที่สุด อีกหน่อยถ้าย้ายเข้าไปอยู่บ้านฉันเธอจะได้ทำให้ฉันทานบ้าง” เขาว่าพลางเลื่อนจานสเต๊กและซีซาร์สลัดมาให้เธอทาน
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในการเดทครั้งแรกของเธอผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากที่พูดคุยทำความรู้จักกันอยู่นานเขาจึงออกปากอาสากลับไปส่งเธอที่บ้าน
“เธอจะรับอะไรอีกไหม”
“ไม่แล้วค่ะ” ญารินหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอีกครั้ง เขาจึงเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วจึงหันมาพูดกับเธอต่อ “ขอเบอร์ไว้หน่อยสิ”
“คะ!?” หญิงสาวสำลักน้ำรีบวางแก้วลงในทันที
“ฉันต้องมีเบอร์ติดต่อของเธอไม่ใช่หรือไง”
“ใช่ค่ะ” ญารินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะบอกเบอร์ไป
“เบอร์นี้ผูกพร้อมเพย์กับธนาคารหรือเปล่า”
“ผูกค่ะ” เป็นอีกครั้งที่เธอพยักหน้าตอบอย่างว่าง่ายเพียงไม่นานเสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้น เธอจึงหยิบมันขึ้นมาเปิดดูก่อนจะพบว่ามีเงินโอนเข้ามาในบัญชีสามหมื่นบาท “คุณโอนมาเหรอคะ”
“ใช่ ถือซะว่าเป็นน้ำใจที่เธอตอบรับข้อเสนอของฉัน แล้วก็เป็นค่าซื้อเสื้อผ้าใหม่ ดูแล้วเธอต้องแปลงโฉมตัวเองอีกเยอะก่อนจะไปพบคุณย่า” สายตาคมกริบปรายมองร่างบางระหงตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
ถึงใบหน้านั้นจะไม่ไร้ซึ่งเครื่องสำอางปกปิดแต่ก็ปฏิเสธไม่ลงว่าผู้หญิงคนนี้ก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดอย่างน่าประหลาด ถ้าลองเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวเสียใหม่ก็คงจะสวยไม่แพ้ผู้หญิงคนอื่นที่เคยผ่านมาในชีวิตเขา
“ปกติหนูแต่งตัวไม่เป็นหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณต้องการหนูจะพยายาม”
“ไม่ต้องหรอก เอาเป็นว่าเงินนั่นเธอเก็บไว้เถอะ” เขาทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปลี่ยนแผนใหม่ “เดี๋ยววันที่ไปพบคุณย่า ฉันจะมารับเธอแล้วค่อยพาเธอไปหาซื้อเสื้อผ้าเอง”
“ก็ได้ค่ะ”
“งั้นเรากลับกันเถอะ เดี๋ยวฉันไปส่ง จะได้ถือโอกาสนี้รู้จักบ้านเธอด้วย” พูดจบเขาก็ลุกเดินจากไป คนที่ขาสั้นกว่าจึงรีบสาวเท้าตามออกไปหน้าร้าน แต่แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรถที่เขาขับมา
“ไปคันนี้เหรอคะ”
“อืม...ถ้าธุระด่วน ฉันชอบใช้คันนี้แหละมันเร็วดี แม่บอกว่าเธอบาดเจ็บ แผลหายดีแล้วใช่ไหม” ปุณณภัทรถามย้ำอีกครั้ง เมื่อญารินพยักหน้าตอบเขาจึงส่งหมวกกันน็อคให้เธอใส่
“เอ่อ...มันจะไม่เป็นอะไรจริง ๆ เหรอคะ”
“มันไม่ตกหรอก เธอกอดฉันไว้ให้แน่นก็แล้วกัน ว่าแต่บ้านเธออยู่แถวไหนนะ” เขาหรี่ตามองท่าทีของญารินว่าเธอมีท่าทีรังเกียจรถที่เขาขับหรือไม่ แต่พอเห็นหญิงสาวพยายามจะสวมหวกกันน็อคที่เขาส่งให้เขาจึงหมุนตัวขึ้นไปนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ยักษ์เอาไว้
คนที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องบอกเส้นทางให้แล้วดันตัวเองขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายอย่างทุลักทุเลเพราะขนาดรถและขนาดตัวเธอมันต่างกันอย่างลิบลับ
“พร้อมหรือยัง” ปุณณภัทรหันมาถามอีกรอบ ญารินจึงพยักตอบกลับไปในขณะที่จับชายเสื้อเขาไว้แน่น
“เอ่อ...กรี๊ด!” ยังไม่ทันที่เธอจะอ้าปากตอบ อยู่ ๆ เขาก็เร่งเครื่องก่อนจะทะยานออกสู่ถนนใหญ่ด้วยความรวดเร็ว คนที่เพิ่งจะเคยนั่งรถแบบนี้จึงได้แต่หลับตาลงแน่น โอบตวัดรัดเอวสอบเขาไว้แน่นเพราะกลัวตก “พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกด้วย”
ญารินได้แต่ปิดตาลงสนิท รู้สึกได้ในทันทีว่าทุกอวัยวะด้านหน้ามันทามทับไปบนแผ่นหลังกว้างของเขาทุกส่วน แต่นี่มันไม่ใช่เวลามารักนวลสงวนตัว เธอจำเป็นต้องกอดเขาไว้ให้แน่นแล้วภาวนาขอให้ไปถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยก็พอ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่หญิงสาวกอดเอวสอบของปุณณภัทรไว้แน่นแบบนั้น รู้สึกตัวเองอีกทีก็ตอนที่เสียงครางกระหึ่มของรถเงียบลงพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มของเขาที่หันมาบอก
“ถึงแล้ว หลังนี้หรือเปล่า”
“คะ!?” ญารินเบิกตาโต พยายามตั้งสติมองไปรอบกายแล้วรีบถลาลงจากรถในทันทีเมื่อมาถึงบ้าน เธอพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วเอื้อมมือเพื่อถอดหมวกส่งคืนให้เขา รู้สึกขาอ่อนแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่จนชายหนุ่มต้องช่วยประคองไว้ วินาทีนั้นเองที่ปุณณภัทรเหลือบไปเห็นรถยนต์อีกคันที่กำลังจอดอยู่ห่าง ๆ เขาสังเกตว่ามันเป็นคันเดียวกับที่เขาเห็นในตอนที่ออกจากไร่
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าภัสสรคงจะสะกดรอยตามมาเพื่อจะดูให้แน่ใจว่าเขากับแม่ไม่ได้วางแผนเรื่องแต่งงานเอาไว้
“นี่คะ” หญิงสาวถอดหมวกส่งคืนให้ก่อนที่เธอจะหมุนตัวหลับเข้าไปในบ้าน คนเจ้าแผนการจึงเหลือบมองกระจกอีกครั้งแล้วรีบจับมือเรียวของญารินเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน...”
“มีอะไรเหรอคะ”
“ไม่คิดจะจัดผมก่อนหรือไง ดูสิยุ่งหมดแล้วเนี่ย” เขาว่าพลางยกมือถอดหมวกกันน็อคของตัวเองออกแล้วเอื้อมมือไปจัดผมให้หญิงสาว ใช้นิ้วเกลี่ยไรผมที่รกปรกหน้าออกอย่างเบามือจนญารินหัวใจเต้นระส่ำขึ้นมาอีกครั้ง ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว อยู่ ๆ เขาก็จับใบหน้าเธอไว้แล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากด้วยความรวดเร็วทั้ง ๆ ที่ตัวเขายังนั่งอยู่บนรถ
“อื้อ...” หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ปุณณภัทรจึงรีบถอนจูบแล้วกระซิบบอกบางอย่าง
“อาสะใภ้ฉันกำลังสะกดรอยตามมา ขอโทษด้วยที่ต้องทำแบบนี้”
“คะ!? ” ญารินพยายามข่มความรู้สึกประหม่าไว้ แม้ใบหน้าจะเห่อแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพราะถูกขโมยจูบแรกไปแบบไม่ทันตั้งตัว
“ถ้าจะให้ดี เธอช่วยจูบคืนฉันหน่อย”
“ตรงนี้เลยเหรอคะ”
“อืม...รถอาสรอยู่ข้างหลัง” เขาว่าพลางปรายตาไปยังด้านหลังอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ภัสสรรู้ตัว ญารินพยายามชั่งใจอยู่ชั่วครู่แล้วจึงจูบเขาเบา ๆ บนแก้มเนียนละเอียดนั่น
“ทีนี้ก็โบกมือลา ทำเหมือนคนรักกัน” เขายิ้มอย่างพอใจแล้วออกคำสั่งอีกครั้ง หญิงสาวจึงยกมือโบกลาเขาป้อย ๆ ด้วยรอยยิ้มและหัวใจที่เต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาก่อนที่เขาจะขับรถออกสู่ถนนใหญ่ เพียงไม่นานรถของภัสสรก็ขับตามออกไป ถึงตอนนั้นญารินจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ให้ตายเถอะ...เขาให้เธอทำถึงขนาดนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะห้ามไม่ให้เธอรักเขาขึ้นมาจริง ๆ