“พ่อ!” เสียงญารินดังขึ้นทันทีที่รู้สึกตัวทำให้คนที่นั่งเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ รีบถลาไปตรวจดูอาการ
“เป็นยังไงบ้างหนู อย่าเพิ่งขยับนะเดี๋ยวจะปวดแผล เดี๋ยวฉันไปเรียกหมอมาแป๊บนึงนะ”
พูดจบอีกฝ่ายก็เปิดผ้าม่านออกไป เพียงไม่นานหมอก็เข้ามาตรวจดูอาการ เมื่อไม่มีผลข้างเคียงจึงให้ทานยาแล้วออกไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านได้โดยที่เจ้าของกระเป๋าเองก็เป็นฝ่ายจ่ายค่ารักษาและดูแลเป็นอย่างดี
“ฉันต้องขอบคุณหนูมากนะ ถ้าไม่ได้หนูฉันต้องแย่แน่ ๆ ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่...กระเป๋าหนูอยู่ไหนเหรอคะ” หญิงสาวสอดสายตาหากระเป๋าสะพายของตัวเองทันทีที่ออกมาจากห้องพักฟื้น เมื่ออีกฝ่ายนำมาให้เธอจึงรีบหยิบสมาร์ตโฟนกดโทรหานวลจันทร์ด้วยความรีบร้อน
(ขิม อยู่ไหนแล้วลูก เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า แม่รอหนูตั้งแต่บ่ายแล้วทำไมยังมาไม่ถึง) เสียงปลายสายถามกลับมาด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะแม่ แม่อยู่ชั้นไหนคะเดี๋ยวหนูขึ้นไปหา”
(ห้องรวมชายชั้นสามจ่ะ เดี๋ยวแม่ออกไปรอข้างนอกนะ)
“ค่ะแม่” ญารินกดวางสายไปก่อนจะหันมาบอกลาอีกคน “หนูต้องไปแล้ว ขอบคุณคุณป้ามากนะคะที่จ่ายค่ารักษาให้หนู”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ หนูอุตส่าห์ช่วยฉันไว้” คนตรงหน้ายิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น “ฉันได้ยินว่าหนูจะขึ้นไปหาแม่ ไปไหวไหมเดี๋ยวฉันช่วยเข็นขึ้นไปให้นะ”
“เอ่อ...ไม่...” เสียงร้องห้ามของเธอเงียบหายไปเมื่ออีกฝ่ายออกแรงเข็นวีลแชร์ที่เธอกำลังนั่งอยู่ไปที่ลิฟต์โดยสาร
“ชั้นไหนจ๊ะ”
“ชั้นสามค่ะ จริง ๆ คุณป้าส่งหนูแค่นี้ก็ได้ค่ะ” ญารินตอบด้วยความเกรงใจ แต่คนสูงวัยกว่าก็ยังเข็นรถของเธอขึ้นไปยังชั้นสาม ก่อนจะพบกับนวลจันทร์ที่กำลังนั่งรออยู่ข้างนอก
“ขิม...เป็นไงมาไงถึงเป็นแบบนี้ล่ะลูก” นวลจันทร์ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพลูกสาวที่ยังสวมเสื้อเปื้อนเลือด
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะแม่ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ”
“เดี๋ยวนะ...” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยทักทำให้นวลจันทร์ละสายตาจากลูกสาวเงยหน้าขึ้นมอง
“หืม...ใช่นิดหรือเปล่าคะ”
“ว่าจะถามอยู่พอดี นี่นวลใช่ไหม” ทั้งสองคนคลี่ยิ้มออกมาด้วยความตกใจที่เห็นเพื่อนรักสมัยเรียนอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายสิบปี
“ตายจริง ไม่ได้เจอเสียตั้งนานสบายดีเหรอ”
“สบายดี เธอยังอยู่ที่นี่เหรอ ฉันคิดว่าเธอไปอยู่กรุงเทพฯ เสียอีก คิดถึงจังเลย” ปณิตาอ้าแขนออกเพื่อจะสวมกอดนวลจันทร์ให้หายคิดถึง แต่อีกฝ่ายกลับรีบขยับหนีเพราะดูจากการแต่งตัวแล้วปณิตาคงไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนแต่ก่อน
“อย่าเลย ฉันตัวเหม็นน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก จะตัวเหม็นตัวหอมเธอก็คือเพื่อนรักของฉันนะนวล คิดถึงที่สุดเลย” อีกฝ่ายคลี่ยิ้มพลางสวมกอดเพื่อนสนิทที่ห่างหายไปนานด้วยความคิดถึง ญารินจึงได้แต่นั่งมองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงง
“นี่ป้ารู้จักแม่หนูด้วยเหรอคะ”
“รู้จักสิจ๊ะ เมื่อก่อนบ้านแม่กับป้านิดอยู่ใกล้กัน เรียนมัธยมที่เดียวกัน แต่พอป้านิดบินไปเรียนต่อที่อังกฤษเราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย” นวลจันทร์ตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“นี่ลูกสาวเหรอนวล” ปณิตาเอ่ยถาม
“ใช่จ่ะ ชื่อขิม”
“เส้นผมบังภูเขาแท้ ๆ ฉันล่ะภูมิใจแทนเธอจริง ๆ ที่มีลูกสาวใจกล้าขนาดนี้ ถ้าไม่ได้หนูขิมล่ะก็ฉันต้องแย่ ๆ เลย” ปณิตาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายให้นวลจันทร์ฟังอย่างละเอียดจนอีกฝ่ายถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ รีบตรวจดูอาการลูกสาวอีกครั้ง
“จริงเหรอขิม แล้วนี่เจ็บมากหรือเปล่า แผลลึกไหม”
“แผลไม่ลึกหรอกค่ะ แค่มดกัดเองน่ะแม่” หญิงสาวยิ้มตอบเพื่อไม่ให้คนเป็นแม่รู้สึกเป็นห่วง
“ว่าแต่นวลมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอ”
“สามีฉันป่วยน่ะ เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย” ใบหน้านวลจันทร์ดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกถึงสามีที่นอนโคม่าอยู่ในห้องพักฟื้นทำเอาคนฟังต้องยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ
“จริงเหรอเนี่ย แล้วทำไมไม่ส่งตัวไปรักษาโรงพยาบาลใหญ่ล่ะ”
“แม่บอกว่าพ่อไม่ยอมไปค่ะ พ่อบอกว่ารักษาไปก็เปลืองเงินเปล่า ๆ ” ญารินก้มหน้าตอบเพื่อหลบซ่อนน้ำตาที่ไหลรื้นออกมา
“เปลืองเงินอะไรกัน เอาอย่างนี้เห็นแก่ที่หนูช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันจะออกค่ารักษาพยาบาลให้พ่อหนูเอง รีบทำเรื่องย้ายไปเดี๋ยวนี้เลย” ปณิตาเสนอ รู้สึกถูกชะตาเด็กดีอย่างญารินเพราะเธอไม่เคยได้สัมผัสมันกับลูกชายเลยสักครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกนิด ฉันกู้เงินมาก้อนหนึ่ง ยังพอมีเก็บอยู่บ้าง ขอบใจมากนะที่ไม่ลืมฉัน” นวลจันทร์ปฏิเสธ เมื่อเห็นเพื่อนสนิททั้งสองคนเริ่มพูดคุยกันถูกคอ ญารินจึงขอตัวเข้าไปเยี่ยมมาโนชด้านใน
“งั้นหนูขอเข้าไปหาพ่อก่อนนะคะ”
“ไปสิ ป่านนี้คงจะหลับไปแล้วมั้ง แล้วนี่เดินไหวเหรอ” คนสูงวัยกว่าเอ่ยถามเมื่อเห็นลูกสาวทำท่าจะลุกจากวีลแชร์
“ไหวค่ะแม่ บอกแล้วไงคะว่าแค่มดกัด” พูดจบ ญารินก็ลุกเดินจากไปพร้อมกับกระเป๋าสะพายคู่ใจของตัวเอง
ปณิตาได้แต่มองตามไปด้วยความชื่นชมแล้วจึงหันมาเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกับนวลจันทร์ต่อ
“แล้วนี่จะทำเรื่องส่งตัวไปโรงพยาบาลใหญ่ไหมล่ะ”
“เดี๋ยวคงต้องให้ขิมเขาลองคุยกับพ่อเขาดูก่อน ฉันพูดจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว เขาก็ยังไม่ยอมไป” นวลจันทร์เล่าต่อด้วยสีหน้าที่ยังทุกข์ใจพลางทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้อง ปณิตาเห็นดังนั้นจึงนั่งลงเคียงข้างแล้วหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งส่งให้
“นี่ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากฉันเห็นแก่ที่หนูขิมลูกสาวเธอช่วยชีวิตฉันไว้เมื่อตอนบ่าย”
“ไม่เป็นไรหรอก เธอเก็บไว้เถอะ” นวลจันทร์รีบปฏิเสธแต่อีกฝ่ายก็ยังยัดมันลงในมือด้วยความเต็มใจ
“เธอนั่นแหละเก็บไว้ สามีป่วยอย่างนี้เธอคงลำบากเก็บเอาไว้ยามฉุกเฉินก็ได้ รับไปเถอะนะ”
“ขอบใจเธอมากนะนิด ที่ไม่ลืมเพื่อนจน ๆ อย่างฉัน”
“พูดอะไรอย่างนั้น ฉันไม่ใช่คนที่จะมองใครที่ฐานะเสียหน่อยเมื่อก่อนฉันเองก็เคยลำบาก เธอยังเคยต้มไข่มาให้ฉันกินที่โรงเรียนอยู่เลย” ปณิตากลั้นขำในยามที่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีก่อน
ถึงแม่เธอจะมีสามีเป็นคนอังกฤษแต่พอคลอดกลับทิ้งเธอให้อยู่กับยายที่นี่ เพิ่งจะมารับไปอยู่ด้วยก็ตอนที่เรียนจบมัธยมต้น ด้วยเหตุนี้เธอเองก็มักจะถูกเพื่อนล้ออยู่บ่อยครั้งว่าเป็นลูกครึ่งตกอับ จนได้นวลจันทร์นี่แหละคอยปลอบใจอยู่บ่อยครั้ง
“แล้วนี่นิดมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอ”
“ฉันมาเยี่ยมคนงานในไร่น่ะ กำลังจะกลับก็ดันไปเจอโจรกระชากกระเป๋า ดีนะเนี่ยที่หนูขิมมาช่วยไว้ นึกแล้วก็ยังใจเสียไม่หาย” ปณิตาถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนประเด็นสนทนาไปที่เรื่องญารินแทน “ว่าแต่หนูขิมไม่ได้อยู่กับเธอที่นี่เหรอ เห็นพากระเป๋ามาใบใหญ่เหมือนเพิ่งเดินทางมาถึง”
“ขิมเขาทำงานใช้ทุนที่กรุงเทพฯ น่ะ นี่ก็คงจะลางานมา เห็นว่าต้นเดือนหน้าจะได้ย้ายมาทำงานที่นี่แล้ว”
“ทำงานอะไรล่ะ ลาออกแล้วไปทำงานกับฉันไหม เด็กดีอย่างหนูขิมฉันเองก็ยินดีสนับสนุนเต็มที่”
“ขิมเขาได้ทุนจากบริษัทอมรภิรมย์น่ะ ก็เลยต้องไปทำงานใช้ทุนที่บริษัทส่งออกไวน์ที่กรุงเทพฯ” นวลจันทร์ตอบด้วยรอยยิ้ม เธอเองก็รู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวไม่น้อยเหมือนกัน
“อมรภิรมย์...นั่นมันนามสกุลสามีฉันนี่ อย่าบอกนะว่าหนูขิมได้ทุนเรียนดีจากบริษัท” ปณิตาดีดนิ้วเปราะ ไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะบังเอิญได้ถึงขนาดนี้
“อ้าว...งั้นก็เป็นบริษัทเธอน่ะสิ”
“ตอนนี้ยังหรอก คุณแม่ยังไม่ยอมยกให้เสียที” อีกฝ่ายทำหน้าเหนื่อยหน่ายเมื่อนึกถึงลูกชายที่กำลังจะกลับมาอีกไม่กี่วัน “เป็นคนรวยก็ใช่ว่าจะมีความสุขนะนวล...”
พูดยังไม่ทันจบเสียงสมาร์ตโฟนในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ตายจริง ฉันลืมไปเสียสนิทเลยว่ามีงานต่อ” ปณิตาเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นเบอร์เลขาฯ ที่โทรเข้ามา เธอจึงเลี่ยงที่จะกดรับสายแล้วหยิบนามบัตรของตัวเองส่งให้นวลจันทร์ทันที “ฉันต้องไปก่อนแล้ว นี่นามบัตรฉัน มีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็โทรมาหาฉันได้ตลอดนะนวล ไม่ต้องเกรงใจ”
พูดจบปณิตาก็รีบขอตัวกลับไป นวลจันทร์จึงได้แต่ก้มลงมองนามบัตรและเงินจำนวนหนึ่งที่เพื่อนสนิทให้ไว้พร้อมกับรอยยิ้มที่ฉาบขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่เธอจะเก็บมันไว้แล้วเดินตามญารินเข้าไปในห้องผู้ป่วยรวม เห็นมาโนชกำลังนอนหลับสนิทจึงกระซิบบอกลูกสาวให้กลับไปพัก
“ขิมกลับไปพักที่บ้านเถอะลูก เดี๋ยวทางนี้แม่อยู่เฝ้าพ่อเอง”
“แม่คะ...” อยู่ ๆ ญารินก็ร้องไห้โฮออกมาแล้วสวมกอดร่างเธอไว้แน่น
“เป็นอะไร”
“เมื่อกี้หมอเข้ามาตรวจ หมอบอกว่าเชื้อมันลุกลามไปทั้งปอดแล้ว ต่อให้เราส่งตัวพ่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลใหญ่ก็คงไม่ทัน...หมอบอกให้เราทำใจแล้วค่ะแม่ ฮือ...” หญิงสาวซบหน้าลงบนอกของนวลจันทร์แล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา พยายามข่มเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้รบกวนคนไข้และมาโนชที่กำลังนอนหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา
“ไม่เป็นไรหรอกขิม ไม่ต้องคิดมาก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คิดเสียว่าพ่อกำลังจะไปสบาย ไม่ต้องมาเป็นทุกข์เพราะอาการป่วยไข้แบบนี้อีกแล้วไง”
นวลจันทร์กัดฟันแน่นเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา แม้จะรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกันเลยก็ตาม