ตอนที่2ความบังเอิญ (1)

1820 คำ
“พ่อ!” เสียงญารินดังขึ้นทันทีที่รู้สึกตัวทำให้คนที่นั่งเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ รีบถลาไปตรวจดูอาการ “เป็นยังไงบ้างหนู อย่าเพิ่งขยับนะเดี๋ยวจะปวดแผล เดี๋ยวฉันไปเรียกหมอมาแป๊บนึงนะ” พูดจบอีกฝ่ายก็เปิดผ้าม่านออกไป เพียงไม่นานหมอก็เข้ามาตรวจดูอาการ เมื่อไม่มีผลข้างเคียงจึงให้ทานยาแล้วออกไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านได้โดยที่เจ้าของกระเป๋าเองก็เป็นฝ่ายจ่ายค่ารักษาและดูแลเป็นอย่างดี “ฉันต้องขอบคุณหนูมากนะ ถ้าไม่ได้หนูฉันต้องแย่แน่ ๆ ” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่...กระเป๋าหนูอยู่ไหนเหรอคะ” หญิงสาวสอดสายตาหากระเป๋าสะพายของตัวเองทันทีที่ออกมาจากห้องพักฟื้น เมื่ออีกฝ่ายนำมาให้เธอจึงรีบหยิบสมาร์ตโฟนกดโทรหานวลจันทร์ด้วยความรีบร้อน (ขิม อยู่ไหนแล้วลูก เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า แม่รอหนูตั้งแต่บ่ายแล้วทำไมยังมาไม่ถึง) เสียงปลายสายถามกลับมาด้วยความเป็นห่วง “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะแม่ แม่อยู่ชั้นไหนคะเดี๋ยวหนูขึ้นไปหา” (ห้องรวมชายชั้นสามจ่ะ เดี๋ยวแม่ออกไปรอข้างนอกนะ) “ค่ะแม่” ญารินกดวางสายไปก่อนจะหันมาบอกลาอีกคน “หนูต้องไปแล้ว ขอบคุณคุณป้ามากนะคะที่จ่ายค่ารักษาให้หนู” “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ หนูอุตส่าห์ช่วยฉันไว้” คนตรงหน้ายิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น “ฉันได้ยินว่าหนูจะขึ้นไปหาแม่ ไปไหวไหมเดี๋ยวฉันช่วยเข็นขึ้นไปให้นะ” “เอ่อ...ไม่...” เสียงร้องห้ามของเธอเงียบหายไปเมื่ออีกฝ่ายออกแรงเข็นวีลแชร์ที่เธอกำลังนั่งอยู่ไปที่ลิฟต์โดยสาร “ชั้นไหนจ๊ะ” “ชั้นสามค่ะ จริง ๆ คุณป้าส่งหนูแค่นี้ก็ได้ค่ะ” ญารินตอบด้วยความเกรงใจ แต่คนสูงวัยกว่าก็ยังเข็นรถของเธอขึ้นไปยังชั้นสาม ก่อนจะพบกับนวลจันทร์ที่กำลังนั่งรออยู่ข้างนอก “ขิม...เป็นไงมาไงถึงเป็นแบบนี้ล่ะลูก” นวลจันทร์ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพลูกสาวที่ยังสวมเสื้อเปื้อนเลือด “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะแม่ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ” “เดี๋ยวนะ...” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยทักทำให้นวลจันทร์ละสายตาจากลูกสาวเงยหน้าขึ้นมอง “หืม...ใช่นิดหรือเปล่าคะ” “ว่าจะถามอยู่พอดี นี่นวลใช่ไหม” ทั้งสองคนคลี่ยิ้มออกมาด้วยความตกใจที่เห็นเพื่อนรักสมัยเรียนอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายสิบปี “ตายจริง ไม่ได้เจอเสียตั้งนานสบายดีเหรอ” “สบายดี เธอยังอยู่ที่นี่เหรอ ฉันคิดว่าเธอไปอยู่กรุงเทพฯ เสียอีก คิดถึงจังเลย” ปณิตาอ้าแขนออกเพื่อจะสวมกอดนวลจันทร์ให้หายคิดถึง แต่อีกฝ่ายกลับรีบขยับหนีเพราะดูจากการแต่งตัวแล้วปณิตาคงไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนแต่ก่อน “อย่าเลย ฉันตัวเหม็นน่ะ” “ไม่เป็นไรหรอก จะตัวเหม็นตัวหอมเธอก็คือเพื่อนรักของฉันนะนวล คิดถึงที่สุดเลย” อีกฝ่ายคลี่ยิ้มพลางสวมกอดเพื่อนสนิทที่ห่างหายไปนานด้วยความคิดถึง ญารินจึงได้แต่นั่งมองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงง “นี่ป้ารู้จักแม่หนูด้วยเหรอคะ” “รู้จักสิจ๊ะ เมื่อก่อนบ้านแม่กับป้านิดอยู่ใกล้กัน เรียนมัธยมที่เดียวกัน แต่พอป้านิดบินไปเรียนต่อที่อังกฤษเราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย” นวลจันทร์ตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “นี่ลูกสาวเหรอนวล” ปณิตาเอ่ยถาม “ใช่จ่ะ ชื่อขิม” “เส้นผมบังภูเขาแท้ ๆ ฉันล่ะภูมิใจแทนเธอจริง ๆ ที่มีลูกสาวใจกล้าขนาดนี้ ถ้าไม่ได้หนูขิมล่ะก็ฉันต้องแย่ ๆ เลย” ปณิตาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายให้นวลจันทร์ฟังอย่างละเอียดจนอีกฝ่ายถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ รีบตรวจดูอาการลูกสาวอีกครั้ง “จริงเหรอขิม แล้วนี่เจ็บมากหรือเปล่า แผลลึกไหม” “แผลไม่ลึกหรอกค่ะ แค่มดกัดเองน่ะแม่” หญิงสาวยิ้มตอบเพื่อไม่ให้คนเป็นแม่รู้สึกเป็นห่วง “ว่าแต่นวลมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอ” “สามีฉันป่วยน่ะ เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย” ใบหน้านวลจันทร์ดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกถึงสามีที่นอนโคม่าอยู่ในห้องพักฟื้นทำเอาคนฟังต้องยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ “จริงเหรอเนี่ย แล้วทำไมไม่ส่งตัวไปรักษาโรงพยาบาลใหญ่ล่ะ” “แม่บอกว่าพ่อไม่ยอมไปค่ะ พ่อบอกว่ารักษาไปก็เปลืองเงินเปล่า ๆ ” ญารินก้มหน้าตอบเพื่อหลบซ่อนน้ำตาที่ไหลรื้นออกมา “เปลืองเงินอะไรกัน เอาอย่างนี้เห็นแก่ที่หนูช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันจะออกค่ารักษาพยาบาลให้พ่อหนูเอง รีบทำเรื่องย้ายไปเดี๋ยวนี้เลย” ปณิตาเสนอ รู้สึกถูกชะตาเด็กดีอย่างญารินเพราะเธอไม่เคยได้สัมผัสมันกับลูกชายเลยสักครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกนิด ฉันกู้เงินมาก้อนหนึ่ง ยังพอมีเก็บอยู่บ้าง ขอบใจมากนะที่ไม่ลืมฉัน” นวลจันทร์ปฏิเสธ เมื่อเห็นเพื่อนสนิททั้งสองคนเริ่มพูดคุยกันถูกคอ ญารินจึงขอตัวเข้าไปเยี่ยมมาโนชด้านใน “งั้นหนูขอเข้าไปหาพ่อก่อนนะคะ” “ไปสิ ป่านนี้คงจะหลับไปแล้วมั้ง แล้วนี่เดินไหวเหรอ” คนสูงวัยกว่าเอ่ยถามเมื่อเห็นลูกสาวทำท่าจะลุกจากวีลแชร์ “ไหวค่ะแม่ บอกแล้วไงคะว่าแค่มดกัด” พูดจบ ญารินก็ลุกเดินจากไปพร้อมกับกระเป๋าสะพายคู่ใจของตัวเอง ปณิตาได้แต่มองตามไปด้วยความชื่นชมแล้วจึงหันมาเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกับนวลจันทร์ต่อ “แล้วนี่จะทำเรื่องส่งตัวไปโรงพยาบาลใหญ่ไหมล่ะ” “เดี๋ยวคงต้องให้ขิมเขาลองคุยกับพ่อเขาดูก่อน ฉันพูดจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว เขาก็ยังไม่ยอมไป” นวลจันทร์เล่าต่อด้วยสีหน้าที่ยังทุกข์ใจพลางทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้อง ปณิตาเห็นดังนั้นจึงนั่งลงเคียงข้างแล้วหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งส่งให้ “นี่ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากฉันเห็นแก่ที่หนูขิมลูกสาวเธอช่วยชีวิตฉันไว้เมื่อตอนบ่าย” “ไม่เป็นไรหรอก เธอเก็บไว้เถอะ” นวลจันทร์รีบปฏิเสธแต่อีกฝ่ายก็ยังยัดมันลงในมือด้วยความเต็มใจ “เธอนั่นแหละเก็บไว้ สามีป่วยอย่างนี้เธอคงลำบากเก็บเอาไว้ยามฉุกเฉินก็ได้ รับไปเถอะนะ” “ขอบใจเธอมากนะนิด ที่ไม่ลืมเพื่อนจน ๆ อย่างฉัน” “พูดอะไรอย่างนั้น ฉันไม่ใช่คนที่จะมองใครที่ฐานะเสียหน่อยเมื่อก่อนฉันเองก็เคยลำบาก เธอยังเคยต้มไข่มาให้ฉันกินที่โรงเรียนอยู่เลย” ปณิตากลั้นขำในยามที่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีก่อน ถึงแม่เธอจะมีสามีเป็นคนอังกฤษแต่พอคลอดกลับทิ้งเธอให้อยู่กับยายที่นี่ เพิ่งจะมารับไปอยู่ด้วยก็ตอนที่เรียนจบมัธยมต้น ด้วยเหตุนี้เธอเองก็มักจะถูกเพื่อนล้ออยู่บ่อยครั้งว่าเป็นลูกครึ่งตกอับ จนได้นวลจันทร์นี่แหละคอยปลอบใจอยู่บ่อยครั้ง “แล้วนี่นิดมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอ” “ฉันมาเยี่ยมคนงานในไร่น่ะ กำลังจะกลับก็ดันไปเจอโจรกระชากกระเป๋า ดีนะเนี่ยที่หนูขิมมาช่วยไว้ นึกแล้วก็ยังใจเสียไม่หาย” ปณิตาถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนประเด็นสนทนาไปที่เรื่องญารินแทน “ว่าแต่หนูขิมไม่ได้อยู่กับเธอที่นี่เหรอ เห็นพากระเป๋ามาใบใหญ่เหมือนเพิ่งเดินทางมาถึง” “ขิมเขาทำงานใช้ทุนที่กรุงเทพฯ น่ะ นี่ก็คงจะลางานมา เห็นว่าต้นเดือนหน้าจะได้ย้ายมาทำงานที่นี่แล้ว” “ทำงานอะไรล่ะ ลาออกแล้วไปทำงานกับฉันไหม เด็กดีอย่างหนูขิมฉันเองก็ยินดีสนับสนุนเต็มที่” “ขิมเขาได้ทุนจากบริษัทอมรภิรมย์น่ะ ก็เลยต้องไปทำงานใช้ทุนที่บริษัทส่งออกไวน์ที่กรุงเทพฯ” นวลจันทร์ตอบด้วยรอยยิ้ม เธอเองก็รู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวไม่น้อยเหมือนกัน “อมรภิรมย์...นั่นมันนามสกุลสามีฉันนี่ อย่าบอกนะว่าหนูขิมได้ทุนเรียนดีจากบริษัท” ปณิตาดีดนิ้วเปราะ ไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะบังเอิญได้ถึงขนาดนี้ “อ้าว...งั้นก็เป็นบริษัทเธอน่ะสิ” “ตอนนี้ยังหรอก คุณแม่ยังไม่ยอมยกให้เสียที” อีกฝ่ายทำหน้าเหนื่อยหน่ายเมื่อนึกถึงลูกชายที่กำลังจะกลับมาอีกไม่กี่วัน “เป็นคนรวยก็ใช่ว่าจะมีความสุขนะนวล...” พูดยังไม่ทันจบเสียงสมาร์ตโฟนในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นเสียก่อน “ตายจริง ฉันลืมไปเสียสนิทเลยว่ามีงานต่อ” ปณิตาเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นเบอร์เลขาฯ ที่โทรเข้ามา เธอจึงเลี่ยงที่จะกดรับสายแล้วหยิบนามบัตรของตัวเองส่งให้นวลจันทร์ทันที “ฉันต้องไปก่อนแล้ว นี่นามบัตรฉัน มีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็โทรมาหาฉันได้ตลอดนะนวล ไม่ต้องเกรงใจ” พูดจบปณิตาก็รีบขอตัวกลับไป นวลจันทร์จึงได้แต่ก้มลงมองนามบัตรและเงินจำนวนหนึ่งที่เพื่อนสนิทให้ไว้พร้อมกับรอยยิ้มที่ฉาบขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่เธอจะเก็บมันไว้แล้วเดินตามญารินเข้าไปในห้องผู้ป่วยรวม เห็นมาโนชกำลังนอนหลับสนิทจึงกระซิบบอกลูกสาวให้กลับไปพัก “ขิมกลับไปพักที่บ้านเถอะลูก เดี๋ยวทางนี้แม่อยู่เฝ้าพ่อเอง” “แม่คะ...” อยู่ ๆ ญารินก็ร้องไห้โฮออกมาแล้วสวมกอดร่างเธอไว้แน่น “เป็นอะไร” “เมื่อกี้หมอเข้ามาตรวจ หมอบอกว่าเชื้อมันลุกลามไปทั้งปอดแล้ว ต่อให้เราส่งตัวพ่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลใหญ่ก็คงไม่ทัน...หมอบอกให้เราทำใจแล้วค่ะแม่ ฮือ...” หญิงสาวซบหน้าลงบนอกของนวลจันทร์แล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา พยายามข่มเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้รบกวนคนไข้และมาโนชที่กำลังนอนหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา “ไม่เป็นไรหรอกขิม ไม่ต้องคิดมาก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คิดเสียว่าพ่อกำลังจะไปสบาย ไม่ต้องมาเป็นทุกข์เพราะอาการป่วยไข้แบบนี้อีกแล้วไง” นวลจันทร์กัดฟันแน่นเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา แม้จะรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกันเลยก็ตาม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม