[DAY] EP4

4776 คำ
“ไม่ต้องย้ำกูก็รู้ว่าของมึง” ไอ้ไฟป่าพูดกระแนะกระแหนใส่ผม สายตาดุจสัตว์นักล่าของมันมองที่ผมอย่างคนรู้ทันว่ามึงเอาอีกแล้ว จะหลงเขาจะหัวปรักหัวปรำอีกแล้วใช่ไหม!? “ไหว้เด็กกูดิ” ผมเมินเฉยสายตาของมันแล้วเปลี่ยนมาผายมือให้ไอ้พวกเพื่อนทั้งหลายทำความเคารพเด็กน้อยที่ตามมาด้วย แล้วพวกมันก็ดันเล่นตามจนไนล์ตกใจ รีบยกมือขึ้นรับไหว้พวกมันแทบไม่ทัน “พะ..พี่ไหว้ผมทำไมครับ” “พี่รอน้องไหว้พี่นานแล้วไม่ไหว้สักที พี่ขี้เกียจรอเลยรับไหว้ไว้ก่อนเลย” ไอ้เจี่ยพูดติดตลกตามสไตล์ของมัน ก่อนจะค่อยๆ แยกย้ายกันไปทำรายงานกลางห้องทีละคน “ให้น้องไนล์ไปนั่งเล่นรอฝั่งนู้นก็ได้ ที่กว้างขวางดี” ไอ้ไฟป่าพยักเพยิดหน้าไปทางมุมห้องอีกฝั่งที่ค่อนข้างสะอาดตาไม่เหมือนจุดที่พวกเรากำลังยืนอยู่เจี่ยบอก ซึ่งผมก็ไม่ต้องออกแรงบอกไนล์ให้เหนื่อย แค่ได้ยินที่ไอ้ไฟป่าบอกไนล์ก็เดินไปนั่งรอฝั่งนั้นอย่างว่าง่าย ผมถูกดึงตัวให้มานั่งกลางวงล้อมของเพื่อนทั้งสาม มีฝ่ามือหนักๆ ของไอ้เจี่ยคอยกดบ่าไม่ให้ขยับไปไหน สายตาสอดรู้สอดเห็นปนความเป็นห่วงจ้องมาที่ผมทั้งสามคู่ เพราะเคยเห็นช่วงที่ผมทรมานหนักหนาสาหัสมาก่อนเลยทำให้พวกมันกระวนกระวายทุกครั้งที่ผมแสดงท่าทีสนใจใครขึ้นมา “ใช่น้องพาสไทม์ที่ร้านนั้นไหมวะ กูว่ากูคุ้นหน้า” ไอ้ไฟป่าเปิดคำถามเป็นคนแรก และมันก็เป็นเพื่อนคนแรกที่รู้เห็นด้วยว่าผมชอบไนล์ตั้งแต่เห็นครั้งแรก “ไปแดกทุกวันจนเตาะน้องเขาได้งี้เหรอ” ไอ้เจี่ยตั้งคำถามเป็นคนถัดมา ผมส่ายหน้าก่อนจะอธิบายรายละเอียดให้ฟังแบบคราวๆ “น้องเขาขอมาอยู่กับกูเมื่อคืนนี้” ไอ้ฟ้าประทานรีบยกมือขึ้นห้ามไอ้ไฟป่าที่กำลังอ้าปากถามผมให้หุบปากลง มันใช้สายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกและใบหน้าเบื่อโลกจ้องมาที่ผมยังกับผมไปทำความผิดอะไรไว้ ถ้าพูดถึงเรื่องความโหด เด็ดขาด จริงจัง คนแรกที่ผมนึกถึงนอกจาก ‘พี่แทน’ ก็คือมันนี่แหละ ไอ้ฟ้าประทาน โดยเฉพาะตอนที่มันชี้นิ้วไปหาใครสักคน คนๆ นั้นก็จะรู้สึกเหมือนถูกปลายกระบอกปืนเล็งตรงขั้วหัวใจเลยแหละ ดีที่มันไม่เล็งนิ้วมาที่ผม “เดี๋ยวนะ กูขอทำความเข้าใจก่อนนะ คือมึงคุยกับน้องเขาจนน้องขอมาอยู่กับมึงเอง กูเข้าใจถูกไหมเดย์” “เปล่าาา..” ผมตอบมันเสียงอ่อย “เพิ่งคุยกันเมื่อวานน้องเขาก็ขอมาอยู่กับกูเลย” “น้องเขาชอบมึงมาก” “….” คำตอบที่เงียบเสียงของผมทำให้ไอ้ฟ้าประทานจิ๊ปากขึ้นมาทันที แล้วมันก็ชี้นิ้วมาที่หน้าผากผมอย่างที่คาดการณ์ไว้ไม่ผิด แต่เห็นปลายนิ้วมันผมก็รู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัด แต่พอเห็นผมมองนิ้วมันแล้วกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก มันก็ยอมเก็บนิ้วเข้าไปไว้ที่เดิม “นั่นเด็กมัธยมนะ แล้วมึงก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาชอบมึงไหมแต่มึงพาเขามาอยู่ด้วยแล้ว” “ถ้าน้องเขาไม่ชอบน้องเขาจะขอมาอยู่กับไอ้เดย์ทำไม มึงลองคิดสิ” ไอ้เจี่ยแย้งความคิดด้านลบของฟ้าประทานด้วยคำพูดดูมีหลักการของมัน “แสดงว่าน้องมันก็ต้องมีใจให้มึง ถูกไหมเดย์” ไอ้ไฟป่าหันกลับมาถามผม สายตาที่มันมองผมสื่อให้รู้ว่า เออกูอยู่ข้างมึงนะ น้องเขาชอบมึงแหละ กูสนับสนุน แต่ผมก็ทำมันผิดหวังด้วยความจริงที่ว่า…น้องเขาหนีออกจากบ้านมา “เปล่า ไนล์หนีออกจากบ้านมาแล้วมาขออยู่กับกู” “นี่มึงกำลังเข้าข่ายลักพาตัวนะไอ้เดย์ คุกอยู่ตรงหน้านะถ้าพ่อแม่น้องเขาเอาเรื่อง” พอรู้ความจริงทั้งหมดแล้วสายตาที่เข้าข้างความคิดผมของไฟป่าและเจี่ยก็เปลี่ยนเป็นคัดค้านการกระทำของผมทั้งหมด ผมได้แต่นั่งเงียบหาคำพูดโต้แย้งไม่ได้ในเมื่อผมก็ทำไม่ถูกจริงๆ ถึงผมจะมีชื่อเสียงและอำนาจมากมาย ทว่าหน้าตาทางสังคมที่ครอบครัวผมมีอยู่มันก็ชี้หน้าสั่งว่าลูกหัวหน้าคณะรัฐมนตรีอย่างผมห้ามทำอะไรที่ผิดกฎหมายให้พ่อแม่ต้องขายหน้าเด็ดขาด แค่เวย์ก่อเรื่องเมื่อสามเดือนก่อนมันก็เกินพอจะรับไหวแล้ว ผมมองกลับไปหาคนตัวเล็กนั่งหัดเล่นมือถืออยู่อีกทาง พลางคิดไปด้วยว่าผมจะโดนข้อหาอะไรจากน้องบ้างหรือรอดพ้นข้อหาไหนบ้าง คิดๆ ดูแล้วข้อหาหนักสุดที่หนีรอดยากเหลือเกินคงเป็นการพรากผู้เยาว์นี่แหละ! “ข้อหาลักพาตัวกูรอดแน่ แต่ข้อหาพรากผู้เยาว์น่ะคงไม่น่ารอด” ไนล์กับผมใช้ชีวิตหลับนอนด้วยกันมาจนถึงวันจันทร์ที่อีกฝ่ายต้องไปโรงเรียน ทุกคืนที่ล้มตัวนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันมันคือช่วงเวลาทรมานที่สุดของผม แทนที่มันจะเป็นเวลาของการพักผ่อนอย่างที่ผ่านมา มันกลับเป็นช่วงเวลาทดสอบจิตใจว่าผมจะเผลอตัวทำอะไรกับคนที่นอนร่วมเตียงหรือไม่ หรือคืนไหนผมต้องลุกไปบริหารข้อมือกลางดึก เพราะไนล์พลิกเอาร่างกายมาเสียดสีซะความคิดผมเตลิด ร้อนรุ่มไปทั้งตัว ผมเงยหน้ามองเด็กน้อยในชุดนักเรียนคุ้นตาที่ออกมาจากห้องน้ำ ส่วนผมก็นั่งร้อยเชือกรองเท้าอยู่ที่เก้าอี้หน้าตู้เสื้อผ้า ผมไล่สายตามองไนล์ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายนิ้วเท้าสีอมชมพู เขาตกผมครั้งแรกด้วยชุดนักเรียนเหมือนกับวันนี้ และวันนี้ผมก็ยังโดนน้องตกจนหาทางขึ้นไม่เจอ ไนล์ที่รู้ตัวว่ากำลังถูกผมมองก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เหมือนที่เคยทำทุกที แขนเรียวเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบถุงเท้าสีขาวสะอาดออกมา แต่ก็ยังไม่วายแอบส่งสายตามองผมเป็นระยะ ว่าผมยังมองเขาอยู่หรือเปล่า เรือนร่างเพรียวบางทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงเพื่อสวมถุงเท้าที่หยิบมา ผมไม่ได้พูดอะไรมากมายแค่ลุกเดินเข้าไปหา ย่อตัวลงนั่งกับพื้นตรงหน้าเขาแล้วแย่งถุงเท้าในมือมาสวมบนหลังเท้าขาว ฝ่าเท้าสีเรื่อของไนล์นุ่มนิ่มไม่จากผิวทั่วเรือนร่างของเขาเลยสักนิด คนตัวเล็กตกใจถึงขั้นจะยกเท้าหนีที่ผมทำแบบนี้ให้ แต่เพราะถูกผมคว้าข้อเท้าเล็กกว่ากำมือไว้และยื้อให้กลับมาอยู่ที่เดิมเลยทำให้ไนล์หลบหลีกการกระทำของผมไม่ได้ ผมบรรจงใส่ถุงเท้าทั้งสองข้างให้ไนล์เบามือที่สุด แก้มใสของไนล์ขึ้นสีเล็กน้อยตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังจากสวมถุงเท้าให้เขาเสร็จ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไรคนตัวบางก็ชิ่งเดินมาใส่รองเท้าเสียก่อน คงกลัวว่าผมจะไปเอามันมาสวมให้เขานั่นแหละ “หนูยังไม่เคยบอกพี่เลยนะว่าหนูเรียนอยู่ไหน” “น้องเรียนอยู่ที่ สาธิตมหา'ลัยY” “มหา'ลัยY” ผมทวนชื่อโรงเรียนของไนล์ซ้ำ เพราะไม่คิดว่าโลกมันจะกลมจนผมต้องกลับไปวนเวียนแถวนั้นอีกครั้ง “ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง จะได้แวะหาของกินกับหนูด้วย” ผมจบท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มเช่นทุกที แล้วมันก็มักจะทำให้ไนล์เสียอาการทางสายตาได้ทุกครั้งที่ผมยิ้ม เด็กตัวน้อยละสายตาจากผมเปลี่ยนเป้าหมายไปที่กระเป๋านักเรียนของตัวเอง แต่ผมก็ทำให้น้องต้องคว้าลมเข้าอุ้งมือน้อยอีกครั้ง เมื่อกระเป๋าใบนั้นถูกผมคว้ามาถือก่อนหน้าไม่กี่วิ ไนล์เลยแก้อาการเก้อเขินด้วยการเดินก้มหน้าชิดอกออกไปจากห้อง “พี่เดย์รู้ได้ไงว่าแถวนี้มีร้านอาหารเยอะ” ตุ๊กตาตัวเล็กข้างกายถามเมื่อผมจอดรถในซอยติดโรงเรียนของเขา ผมยิ้มนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่ผ่านมาเมื่อหลายเดือนก่อนนู้น ตอนนั้นผมใช้ชีวิตอยู่แถวนี้มากกว่าแถวมหา'ลัยตัวเองซะด้วยซ้ำ เพราะคนที่ผมชอบอย่างซาเขาเรียนอยู่ที่มหา'ลัยนี้ หรือถ้าจะกลับไปที่หอก็คงเป็นตอนที่ซาเที่ยวแถวนั้นจนเมาและผมก็เมาจนพากลับมาที่หอแถวนี้ไม่ไหวเลยต้องค้างคืนกันที่นั่น ร้านอาหารแถวนี้ผมเคยนั่งกินกับซามาแล้วเกือบจะทุกร้าน รวมถึงการสารภาพรักกับซาผมก็บอกเขาที่นี้ด้วยเช่นกัน “พี่มีเพื่อนเรียนอยู่ที่นี้น่ะ เมื่อก่อนก็แวะมากินแถวนี้บ่อยๆ มันชอบไปเที่ยวแล้วแวะค้างที่ห้องพี่บ่อยๆ” ผมเลือกที่จะพูดถึงซาในแง่มุมหนึ่งของเพื่อนเท่านั้นให้น้องฟัง เรื่องของผมกับเขามันจบไปตั้งแต่ซาเลือกคิงส์แล้ว เพราะฉนั้นเรื่องราวความลึกซึ้งระหว่างผมกับซามันไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีกแล้ว “แล้วน้องมาอยู่แบบนี้ พี่เขาจะกล้าแวะมาค้างไหม” “เขาไม่มาค้างนานแล้วค่ะ หลายเดือนแล้ว และก็คงจะไม่มาอีกแล้วด้วย” อย่าว่าแต่การมาหาผมที่หอเลย แม้แต่ข้อความหลังจากวันที่ผมต่อยกับไอ้คิงส์ซายังไม่ส่งมาถามไถ่ผมสักคำ และที่น่าตลกคือผมก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆว่าซาจะติดต่อกลับมา แต่แล้วก็ว่างเปล่า.. ตอนนั้นผมเหมือนคนหมดแรงเดินไร้แรงจูงใจในการใช้ชีวิตไปเลย แต่แล้วเวย์ก็ทำให้ผมต้องกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งด้วยอาการคุ้มดีคุ้มร้ายเพราะ ‘พี่โชว์’ ควง ‘น้องดรีม’ เด็กปีหนึ่งไปด้วยทุกๆที่ การแสดงออกทุกๆอย่างก็ไม่ต่างจากแฟน ในตอนนั้นผมถูกเวย์ไหว้วานให้เขาไปตีสนิทกับน้องดรีมเพราะอยากแยกพี่โชว์กับน้องดรีมออกจากกัน เพราะเพิ่งเสียใจแถมแผลยังไม่แห้งสนิทเท่าไร พอได้เจอน้องดรีมบ่อยๆเข้าผมก็เริ่มรู้สึกชอบน้องเขาขึ้นมานิดๆ แต่ก็เป็นแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้นเพราะรู้ว่ายังไงน้องก็ชอบพี่โชว์ ผมเลยรู้สึกกึ่งๆจะอกหักบ้างตอนนั้นก่อนจะเจอไนล์ ไนล์เหมือนศูนย์รวมสิ่งที่เขาขาดแคลนมาตั้งแต่เด็ก ความอบอุ่นที่แผ่กระจายจากร่างกายนุ่มนิ่ม ใบหน้าละมุนตาที่ไม่ว่ามองกี่ครั้งก็รู้สึกสบายใจ ยิ่งพอน้องมาอยู่ด้วยมันยิ่งตอกย้ำว่าไนล์นี่แหละ คือคนที่ผมต้องการมาตลอด มาทดแทนความอบอุ่นความรักที่ขาดหายไปผมเลยถลำใจไปลึกมากกว่าที่เคย แม้ว่าผมแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับน้องเลยก็ตาม “ปกติหนูไนล์ทานร้านไหนคะ” ผมเดินตีคู่เสมอคนตัวเล็ก ในมือก็ถือกระเป๋านักเรียนของไนล์ติดตัวไปด้วยตลอดทาง ไนล์กวาดตามองผู้คนรอบกายที่เดินผ่านไปมา มือเรียวกระตุกเสื้อชอปผมสองสามทีให้ผมก้มตัวลงไปหา แล้วยกมือป้องปากกระซิบบอกผมเสียงเบา ท่าทางหวาดกลัวผสมความระแวงมันน่าปกป้องเสียจนผมอยากตามเข้าไปนั่งเรียนด้วยเลย “น้องจะโดนรุมตบไหม ดูพวกเขาสนใจพี่เดย์มากเลย” เสียงแหบนิดๆบอกออกมาเบาจนแทบฟังไม่เข้าใจ แต่ดีที่ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้มากพอที่ริมฝีปากบางจะโดนใบหูอยู่รอมร่อเลยได้ยินชัดทุกคำ ผมเหลือบตามองรอบบริเวณที่เรากำลังยืนอยู่ ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่ไนล์บอกไม่มีผิด ทั้งนักศึกษา นักเรียนชายหญิงล้วนแต่มองเราทั้งคู่จนสุดสายตา บางคนก็จ้องมองจนตาไม่กะพริบก็มี ถ้าหมายถึงพวกผู้หญิงผมคงไม่เถียงว่าพวกเขาสนใจผม แต่ถ้าเป็นพวกผู้ชายผมว่าเขามองคนตัวเล็กตรงหน้าต่างหาก ไนล์ดูบอบบาง นุ่มนิ่ม น่าทะนุถนอมดูแลขนาดนี้มีใครบ้างไม่อยากจะมอง ขนาดผมที่มองมาแล้วตั้งหลายวันยังไม่เบื่อเลย “แต่พี่เดย์สนใจแค่หนูนะคะ” ผมยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวอีกครั้งให้ไนล์ ต่อให้มีคนแก้ผ้าให้ดูตรงหน้าผมก็ยังยืนยันว่าจะมองแค่ไนล์คนเดียวเท่านั้น ไม่ต้องแก้ผ้า แค่ยืนหายใจเฉยๆก็สะกดทั้งใจทั้งตาผมไม่ให้ไปมองใครได้แล้ว ริมฝีปากบางที่โคตรจะเชื้อเชิญให้ผมสัมผัสกำลังจะคลี่รอยยิ้มหวานกลับมาให้ ทว่าทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักไปเมื่อมรเสียงของใครบางคนดังเข้ามาแทรกกลางระหว่างเรา ไนล์หันกลับไปมองที่มาของเสียงก่อนตัวผมที่เป็นคนถูกเรียกเสียอีก “เดย์!” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงที่ผมคุ้นเคยมาหลายปี เรือนร่างเพรียวบางกำลังโบกมือทักทายมาที่ผม ซามากับความสดใสเหมือนเดิมที่ผมเคยสัมผัส ถ้าจะเปลี่ยนก็คงเป็นสีผมที่โดดเด่นสะดุดตาในตอนนี้ เมื่อก่อน ‘ซา’ ไว้ผมยาวละต้นคอสีดำสนิทมันคือภาพจำสุดท้ายที่ผมเจอเขา แต่ตอนนี้อีกฝ่ายปรากฎตัวให้ผมเห็นในทรงผมที่ยาวกว่าเดิมสีควันบุหรี่ แขนขาเรียวยาวและรูปร่างบอบบางอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงผ้าร่มธรรมดากับกระเป๋าผ้าใหญ่ตามสไตล์เด็กศิลป์เหมือนเคย ผมรู้ตัวอีกทีคนที่เพิ่งเรียกผมเมื่อครู่ก็มายืนเกาะแขนผมแล้ว พร้อมกับรอยยิ้มสะกดตาผู้คนรอบกายเช่นเคย “ไม่เห็นบอกเลยจะมาแถวนี้จะได้กินข้าวเช้าด้วยกัน” ผมนิ่งไปกับคำถามนั่นอยู่เกือบนาที เพราะไม่รู้ว่าควรตอบกลับยังไง จะให้พูดตรงๆว่ามึงยังไม่ทักกูกูจะทักมึงได้ยังไงก็ไม่ได้ ผมหลุบตามองไนล์ที่ยืนอยู่ข้างๆอีกฝั่ง น้องมองมายังแขนของผมที่ซากำลังจับอยู่ ดวงตาสีอ่อนมองมันและแสดงถึงความสงสัย ต้องการคำตอบ “พอดีกูไม่ได้มาคนเดียวน่ะเลยไม่ได้ทักไปบอก” ผมพยายามเลือกคำพูดที่ถนอมน้ำใจคนฟังมากที่สุด และถนอมน้ำใจไนล์ด้วย ก่อนจะเอื้อมแขนไปคว้าคนตัวบางเข้ามาเกี่ยวเอวแสดงความเป็นเจ้าของ พอเห็นแบบนั้นซาก็ค่อยๆปล่อยมือออกห่างจากผมไปเอง แล้วพุ่งความสนใจมายังคนในอ้อมแขน “แล้วมึงมากับใครอะ” “น้องไนล์ เด็กกู” ผมแนะนำไนล์ในฐานะ ‘เด็ก’ ของผม หรืออีกความหมายหนึ่งที่พวกผมรู้กันคือคนที่กำลังคบหาดูใจกันอยู่ เป็นคนของผม ซึ่งความจริงแล้วผมอยากใช้คำว่า ‘แฟน’ ที่แสดงถึงสถานะที่ชัดเจนมากกว่า แต่ติดตรงที่ผมยังไม่เคยขอไนล์ และมันคงเร็วเกินไปสำหรับไนล์และผมกับคำว่าแฟน หรือคนรัก แค่คำว่าชอบจากปากไนล์ผมยังไม่เคยได้ยิน “สวัสดีครับพี่ชื่อซา ซาอิ” ซายิ้มกว้างทักทายไนล์ คนตัวเล็กของผมก็ก้มหัวทักทายกลับ “กูกำลังจะไปกินข้าวพอดี มึงกับน้องเขากินอะไรมารึยัง ไปกินกับกูไหม กูโคตรคิดถึงมึงเลยไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงปล่อยแขนทิ้งใครต่อใครเพื่อไปกินข้าวกับเขาด้วยเสียงบอกคิดถึงของอีกฝ่ายแล้ว แต่พอมาย้อนคิดดูแล้วผมกลับสงสารตัวเองมากกว่าในตอนนั้นที่หลงระเริงไปกับคำนั้น ทั้งๆที่ซาก็ใช้มันพูดกับคนทั่วไป เป็นคนที่ใช้คำว่าคิดถึงและให้ความหวังคนได้สิ้นเปลืองมากคนหนึ่ง “ไอ้คิงส์มันไม่ให้มึงมาเจอกูนี่ เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก” ผมตอบกลับและกำลังจะพาไนล์เดินไปอีกทาง แต่มันก็ไม่ทันเพราะแขนไนล์ถูกซาดึงรั้งไว้แล้ว “ไอ้คิงส์มันประสาทไง ป่านนี้มันยังไม่ตื่นหรอก ไปหาไรกินกันพี่รู้จักร้านอร่อยๆเยอะนะ” ผมถอนหายใจหนักเมื่อเห็นภาพที่ไนล์ยอมให้ซาจูบมือเดินไปยังร้านในความทรงจำของผมกับเขา ผมชอบที่ไนล์เป็นเด็กดีว่าง่าย แต่เขาควรจะให้สิ่งนั้นกับผมคนเดียวสิไม่ใช่ใครจูงไปทางไหนก็ไปแบบนี้ ขนาดเจอกันเป็นครั้งแรกยังปล่อยให้เขาถูกเนื้อต้องตัวได้ง่ายๆ “ลุงครับ ผมเอาข้าวต้มกุ้งไม่ใส่กระเทียมเจียว แล้วก็ข้าวผัดหมูไข่ดาวไม่สุกครับ น้องไนล์เอาอะไรดีครับ” “ผมเอาผัดกะเพราหมูสับ พี่เดย์เอาอะไร” “ของเดย์พี่สั่งให้ไปเมื่อกี้แล้วไง มาร้านนี้มันสั่งข้าวผัดหมูไข่ดาวไม่สุกตลอดแหละ ไม่รู้อร่อยตรงไหน เหม็นคาวจะตาย” ซาทิ้งคำพูดชวนสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับเขาให้ไนล์คลางแคลงใจแล้วหันไปสนใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ปล่อยให้คนตัวเล็กนั่งเงียบก้มหน้ามองโต๊ะ ในความขุ่นมัวของความรู้สึกยังมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นระหว่างผมกับไนล์ ถ้าหากน้องไม่คิดอะไรกับผมเลยคงไม่แสดงอาการออกมาแบบนี้ แล้วยิ่งก้มหน้าหลบตาด้วยแสดงว่าคงคิดมากไม่น้อยถึงกลัวว่าผมจะอ่านความรู้สึกของตัวเองผ่านสายตาได้ มือเรียวที่ผสานกันบนหน้าขาถูกผมดึงขึ้นมากุมและวางผสานกันบนโต๊ะท่ามกลางสายตาของซาที่มองมา รอไม่นานเท่าไรอาหารที่สั่งไปทั้งหมดก็ยกมาเสิร์ฟ ไนล์รับจานข้าวผัดของผมมาเป็นจานแรกและกำลังจะเลื่อนมันมาให้ผม แต่ผมกลับดันมันกลับไปให้เขาและรับจานผัดกะเพรามาแทน “พี่อยากให้หนูลองทานสิ่งที่พี่ชอบดูไง เผื่อหนูจะชอบ หรือหนูไม่กินไข่ดาวไม่สุก” ผมถามไว้เผื่อไนล์จะไม่ชอบกลิ่นคาวของไข่ดาวแบบซา แล้วคำตอบที่ได้ก็เป็นส่ายหน้าและรอยยิ้มอ่อนๆจากริมฝีปากบาง “น้องกินอะไรก็ได้” “น่ารักจัง เลี้ยงง่ายแบบนี้พี่เลี้ยงหมดกระเป๋าแน่ๆ” ผมเอ่ยปากชมคำหวานให้เด็กดีข้างกายพร้อมทั้งใช้ฝ่ามือลูบไปตามแนวเส้นผมสีอ่อนด้วยความเอ็นดูจับใจ “เกรงใจคนที่แฟนไม่สนใจบ้างดิ เดี๋ยวนี้มีใหม่แล้วลืมกูเลยนะ ทีเมื่อก่อนเอะอะอะไรก็กู ตอนนี้อะไรก็น้องไนล์ น้องไนล์ กูน้อยใจแล้วนะ” ผมเหลือบตามองซาที่นั่งตรงข้าม เลื่อนฝ่ามือลงจากเส้นผมมาพักทิ้งไว้ที่ไหล่เล็ก ไนล์ก็ไม่ได้ปปฏิเสธการกระทำของผมแม้แต่น้อย “ก็มึงมีแฟนแล้วจะให้กูสนใจได้ไง แฟนมึงยิ่งนิสัยแบบนั้นอยู่” ผมพูดตัดบทแค่นั้นแล้วลงมือกินข้าวตรงหน้า บนโต๊ะไร้เสียงพูดคุยไปโดยปริยาย ซึ่งปกติแล้วเวลาผมทานข้าวกับไนล์น้องก็เงียบอยู่แล้ว นั่งเคี้ยวปิดปาก ตักข้าวคำเล็ก ไม่พูดไม่คุย ไม่มีเสียงอะไรออกมาแม้กระทั่งเสียงเคี้ยวยังแทบจะไม่ค่อยได้ยิน ถึงไนล์จะทำอะไรหลายอย่างช้า นุ่มนิ่มไปหมด ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ไนล์ทำมันเร็วจนผมตกใจ คือการทานข้าว เผลอแป๊บๆ ข้าวผัดก็พร่องไปแล้วครึ่งจาน แต่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีเด็กน้อยข้างๆ ก็สำลักขึ้นมาจนผมต้องรีบคว้าเช็ดชู่กับแก้วน้ำส่งให้ ไนล์รับน้ำเข้าไปดื่มอย่างเร่งรีบไม่สนด้วยซ้ำว่าฝ่ามือผมกำลังลูบปลอบประโลมเขาอยู่หรือน้ำเสียงเป็นห่วงของผม “รีบอะไรขนาดนี้หนูไนล์” ไนล์ไม่ได้สนใจฟังผมสักนิด เขาจ้องมองไปยังเด็กน้อยในชุดนักเรียนเหมือนกันที่เดินวนเวียนอยู่หน้าร้าน ก่อนจะเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง “พัก!” คนถูกเรียกชื่อรีบพุ่งมาที่โต๊ะอย่างไวก่อนจะหยุดชะงักไปเมื่อเดินเข้ามาใกล้ ถ้าให้ผมเดาน้องที่ไนล์เรียกว่าพักคงเป็นเพื่อนสนิทของเขา พักยกมือไหว้ผมกับซาแล้วหลุบตามองพื้นเหมือนกับไนล์ไม่มีผิด แถมรูปร่างภายนอกก็ดูคล้ายคลึงกันไปหมด ยันส่วนสูง ลูกแมวน้อยของผมก็ช่างเลือกเพื่อนได้สมตัวจริงๆ “ถ้างั้นน้องเข้าโรงเรียนก่อนนะ” ไนล์หันมาบอกผมด้วยท่าทีรีบร้อน ผมส่งกระเป๋านักเรียนให้คนตัวเล็กก่อนจะส่งกระเป๋าตังค์ใบใหม่ราคาหลักหมื่นปลายๆ พร้อมเงินสดใส่มือนุ่มนิ่ม ถึงแม้ไนล์จะสงสัยอยู่บ้างแต่เพราะเห็นเพื่อนยืนรอน้องเลยรับไปโดยไม่ถามอะไรมาก “เอาไว้กินขนมค่ะ ตั้งใจเรียนนะ เลิกเรียนแล้วโทรมาเดี๋ยวพี่จะมารับ” ผมนั่งเท้าคางมองดูแผ่นหลังบางค่อยๆ เดินลับตาไปกับเพื่อน ทันทีที่ไนล์กับพักหายไปจากสายตาซาก็ดึงใบหน้าของผมให้หันมาเขาและตรึงมันไว้ด้วยสองมือตัวเองแบบที่เขาชอบทำจนผมหลงคิดว่าเขามีใจให้แบบที่ผ่านมา ผมจับมือซาให้กลับมาวางบนโต๊ะเหมือนเดิม ซาเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าผมไม่โอเคกับสิ่งที่เขาทำ “มึงไปรู้จักกับน้องเขาได้ไงเหรอเดย์” “เจอกันที่ร้านอาหาร น้องมาทำพาสไทม์ มึงมีอะไรเหรอ” ซาเสสายตามองไปทางอื่นตอนที่ผมถามกลับไปก่อนจะเริ่มพูดโดยที่ไม่มองหน้าผม “น้องเขาดูท่าทางเป็นเด็กดี ซื่อๆ ไม่น่าจะคบคนอย่างพักพิงเป็นเพื่อนได้ เด็กนั่นรับงานหลังเวลาเรียนจนนักศึกษาแถวนี้เขารู้จักเรียกใช้งานกันหมดแหละ” “ไนล์ไม่ใช่เด็กแบบนั้น เขาอยู่กับกูตลอดเวลา แล้วอีกอย่างน้องไม่มีมือถือจะรับงานแบบนั้นได้ไง” ผมเริ่มใช้เสียงดุกับคนตรงหน้า ซามองผมด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ถ้าซาจะรู้สึกไม่พอใจก็ไม่แปลกเพราะผมไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเขา นี่เป็นครั้งแรก “จริงจังไปได้ กูก็แค่เตือนเองนะ มึงน่ะเป็นพวกชอบใครแล้วชอบทุ้มสุดตัว ไม่ฟังเวลาใครเตือนสักคน” ผมหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น บางทีการที่ให้ความหวังใครต่อใครไปเรื่อยมันคงทำให้ซาลืมไปว่าผมก็เคยเป็นแบบนั้นเพราะเขามาก่อน “อืม กับมึงกูก็เคยทุ้ม ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น มึงลืมไปแล้วเหรอ” พูดจบผมก็ลุกเดินออกไปจ่ายเงินค่าข้าวทั้งหมดก่อนจะออกมาโดยไม่ร่ำลาอะไรอีกคนเลย ถึงตอนนี้จะไม่รู้สึกอยากกลับไปหาแล้วก็เถอะ แต่จะให้ลืมสิ่งที่ผ่านมาผมทำไม่ได้ ซาทำผมเจ็บเกินไป -ไนล์- “เขาได้ไปตามหากูที่บ้านมึงไหม” ผมถาม ‘พักพิง’ เมื่อเราเดินมาไกลจากพี่เดย์และพี่ซาแล้ว ‘พักพิง’ เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมยอมเล่าเรื่องทุกเรื่องให้ฟัง นอกจาก ‘พี่ฟ่าน’ ที่ผมเรียกว่าคนในครอบครัวจริงๆ พักพิงก็เป็นอีกคนที่ผมมองว่าเขาคือครอบครัวอีกคน เราโตมาจากที่เดียวกันผ่านอะไรหลายอย่างคล้ายกันเลยทำให้เข้าใจกันเป็นพิเศษ ผมเป็นคนชอบเก็บความรู้สึกไม่แสดงออก แต่พักพิงจะเป็นคนที่กล้าแสดงออกทุกอย่าง กล้าทำหลายอย่างที่ผมไม่กล้า “ก็ตามนั่นแหละ แต่กูก็ตอบว่าไม่รู้นะ พวกเขาไม่ได้เป็นห่วงอะไรมึงหรอก พวกเขาแค่กลัวว่ามึงจะแจ้งตำรวจไปจับเขาเท่านั้นแหละ” คำพูดของพักพิงมันแทงใจดำผมที่สุด เพราะสิ่งที่มันพูดคือเรื่องจริงทั้งหมดไง “ถ้าเขาไม่มีบุญคุณกับกู กูคงแจ้งไปนานแล้ว ถ้าเขาไม่ช่วยไว้ป่านนี้กูคงตายไปแล้ว” พอคิดถึงพวกเขาทีไรช่วงลำตัวด้านล่างก็รู้สึกเจ็บทุกที ทั้งๆ ที่มันก็ผ่านมานานแล้วทำไมผมยังรู้สึกเจ็บกับมันไม่เลิก ถ้ามันยังเจ็บอยู่แบบนี้ผมจะเลิกรู้สึกติดค้างพวกเขาตอนไหน ผมอยากจะวิ่งออกจากบ้านหลังนั้น ถ้าเผามันให้มอดไหม้สูญสิ้นไปเลยได้ยิ่งดี แต่ตรงสิ่งที่พวกเขามอบให้ผมมันมหาศาลเกินกว่าผมจะทำลายพวกเขาได้ ผมเลือกออกมาหางานพาสไทม์ทำเพราะหวังว่าสักวันเงินส่วนนี้จะพาผมออกไปใช้ชีวิตแบบที่อยากใช้ จนผมได้เจอพี่เดย์เมื่อสองเดือนก่อน พี่เดย์โดดเด่นกว่าใครที่เดินเข้ามาในร้าน แวบแรกที่เห็นใบหน้าหมดจดไม่มีแม้แต่รอยสิวของเขาทำผมใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก แต่ใครจะคิดว่าเขาจะมาให้ความสนใจเด็กนักเรียนธรรมดาแบบผม เขามักจะมานั่งมองผมทุกวัน แอบฝากเงินพิเศษให้ผมผ่านรุ่นพี่ในร้านตลอด เขาดีกับผมมาก บางอย่างในตัวของพี่เดย์ทำให้ผมมั่นใจว่าเขาจะพาผมออกจากบ้านหลังนั้นได้ เขาสามารถให้ในสิ่งที่ผมต้องการและใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตได้ คืนนั้นผมเลยไม่ลังเลเลยที่จะโทรให้เขามารับและขอไปอยู่ด้วยอย่างหน้าไม่อาย “นั่นกระเป๋าตังค์พี่เขาให้เหรอ” พักพิงชี้มาที่กระเป๋าตังค์ในมือ ผมจำได้ว่าของพี่เดย์ไม่ใช่ใบนี้ มันเป็นหนังสีดำด้าน แต่ใบนี้เป็นสีน้ำตาลอ่อนขนาดไม่ใหญ่มาก ดูจากความหนาของกระเป๋าผมก็พอรู้ว่าเขาต้องใส่เงินมาให้ผมเป็นจำนวนมากแน่ ซึ่งเปิดดูแล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด มองคราวๆ ก็หมื่นต้นๆ มั้ง “อืม” “เขายกมันให้มึง” “คงงั้น” “งั้นมึงก็เลือกคนถูกแล้วแหละ พี่เขาให้มึงได้ขนาดนี้ก็คงชอบมึงอยู่ไม่น้อย นะ..ไนล์” พักพิงตบบ่าให้กำลังใจ ทั้งยังสนับสนุนให้ผมอยู่กับพี่เดย์ต่อไป ผมเดินฟังสิ่งที่พักพิงออกความคิดเห็นโดยไม่แย้งสักคำ แต่จู่ๆ เพื่อนข้างกายก็แผ่วเสียงลง ทั้งยังสะกิดให้ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังยืนรอเราทั้งคู่ ไม่สิ พวกเขายืนรอผมคนเดียวต่างหาก แค่สายตาที่พวกเขาใช้มองมาที่ผมมันก็แทบจะปลิดชีวิตผมได้ในพริบตา ร่างกายผมสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ อยากจะก้าวขาหนีมันก็ไม่ยอมขยับ ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้พวกเขาย่างกรายเข้ามาใกล้ ตอนที่ผมได้สบตากับคนตรงหน้าผมอยากให้พี่เดย์อยู่ตนี้เหลือเกิน ในความคิดลึกของก้นบึ้งสมองมันบอกให้ผมยอมพี่เดย์ไปซะ ยอมเป็นของเขาแล้วให้เขาจัดการพวกคนเหล่านี้ออกไปจากชีวิตผมสักที!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม