เดย์
ผมเปิดประตูห้องให้ไนล์เดินนำเข้าไปก่อน คนตัวเล็กแสดงสีหน้าอิดโรยออกมาอย่างชัดเจนตั้งแต่ผมไปรับที่หน้าโรงเรียน ดวงหน้าละมุนตาหลุบตามองพื้นเดินก้มหน้าตลอดเวลา ผมอยากรู้นะว่าวันนี้น้องไปเจออะไรทำไมเขาถึงดูเหนื่อยล้าขนาดนี้
สิ้นเสียงประตูปิดคนที่เดินนำหน้าก็หมุนกลับมาหาผมทันที แขนเรียวสองข้างพุ่งสวมกอดผมแนบแน่น รูปหน้าเหนื่อยล้าซบลงบริเวณกลางอก ตรงจุดที่หัวใจกำลังเต้นพอดี หากเด็กที่สวมกอดผมอยู่ในอารมณ์ปกติผมคงจะรีบกอดรัดเรือนกายนุ่มนิ่มให้จมอก หรืออาจะคิดไปไกลว่าน้องกำลังทอดสะพานให้ผมทำอะไรเขาให้มากกว่าการนอนเบียดกันอย่างทุกวันนี้
ผมไม่ได้กอดตอบแค่เอามือลูบปลอบโยนไปตามแผ่นหลังที่เริ่มสั่นๆ ส่วนอีกมือก็ลูบไปตามเส้นผมสีอ่อน ไนล์ก็เลยฝั่งใบหน้าและกระชับอ้อมแขนแทบจะแทรกเข้ามาเป็นร่างเดียวกับผม
“น้องไม่อยากไปเรียนแล้ว พี่เดย์ช่วยน้องได้ไหม” ไนล์ถามผม เสียงเขาอู้อี้จนเกือบจับใจความไม่ได้เพราะเอาแต่ซุกหน้าแนบผมเสียจนไม่มีช่องว่าง
“หนูไม่อยากเรียนหรือใครมาทำอะไรให้ไปสบายใจ” ไนล์ส่ายศรีษะไปมา ทั้งจมูกทั้งปากบางถูไถไปกับแผ่นอกผมจนผมสัมผัสได้ชัดเจน
คนตัวเล็กทำผมใจแทบหยุดเต้นตอนที่เงยใบหน้าขึ้นมาสบตา รูปหน้าที่ผมเคยมองแล้วหลงไหลตั้งแต่ครั้งแรกเจอตอนนี้มันเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ริมฝีปากสีอ่อนสั่นเล็กน้อยตอนเผยอปากเตรียมพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นหนัก
“น้องไม่อยากเจอพวกเขาอีกแล้ว พี่เดย์พาน้องออกไปให้พ้นพวกเขาทีได้ไหม ฮึก! ได้ไหม อึก! น้องไม่อยากกลับที่นั่นอีกแล้ว พี่เดย์ช่วยน้องได้ไหม ฮึก! ช่วยน้องด้วยนะ” ไนล์พูดทั้งน้ำตา นิ้วมือทั้งสิบกำขย้ำเสื้อชอปผมแน่นยับยู่ยี่ ตัวผมสั่นไหวไปตามแรงเขย่าที่เต็มไปด้วยอาการร้อนใจของไนล์
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรต้องทำยังไง ให้คนตัวเล็กสงบลงนอกจากรวบเอาเรือนร่างเพรียวลมมากอดไว้แนบกาย ใช้เรี่ยวแรงบังคับให้ไนล์อยู่ในอ้อมแขนนิ่งๆ ไม่ฟูมฟายดูทรมานเหมือนเมื่อครู่อีก พอถูกผมรวบไปกอดแรงๆไนล์ก็ยอมสงบลงทันทีไม่ดื้อดึงพยายามต่อต้าน
“หยุดร้องนะเด็กดี ขอแค่หนูบอกพี่มาว่าหนูไม่ชอบอะไร พี่สัญญาว่าจะพาหนูออกมาจากสิ่งไหนให้ไกลที่สุด ขอแค่หนูบอกพี่มาเท่านั้น” คนถูกถามนิ่งเงียบไปฉับพลัน เสียงที่หลุดมาจากคนในอ้อมแขนมีเพียงเสียงสะอื้นอันน้อยนิด เพราะริมฝีปากบอบบางนั้นกักเก็บเสียงทั้งหมดไว้แล้ว
ผมถอนหายใจยาวเมื่อเริ่มเดาสถานการณ์ต่อไปได้ว่าไนล์คงให้คำตอบผมมาแล้ว นั่นคือความเงียบที่เป็นอยู่ตอนนี้ เพราะไนล์รู้ว่าผมไม่มีทางบังคับให้เขาพูดถ้าเขาไม่อยากพูด แล้วเขาก็คิดถูก
“ถ้าหนุเงียบไม่บอกพี่ พี่จะจัดการให้หนูยังไง” ไนล์นิ่งคิดอยู่ในอ้อมกอดผมหลายนาทีกว่าจะขยับตัวออกห่าง ก้านนิ้วสวยยกขึ้นปาดน้ำตาทิ้งอย่างลวกๆให้มันแห้งออกไปจากแก้มตัวเอง โดยไม่สนว่าจะปาดด้วยแรงแค่ไหน ผมทนดูแก้มขาวๆขึ้นรอยริ้วสีแดงจากการเช็ดน้ำตาทิ้งต่อไปไม่ไหว ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเกลี่ยหยดน้ำตาใสๆออกจากแก้มอย่างเบามือ ไนล์ที่เห็นว่าผมอยากเช็ดน้ำตาให้เขาน้องก็ยินยอมให้ทำแต่โดยดี
ดวงตาที่ยังขึ้นสีแดงจากการร้องไห้และแพขนตาที่ยังเปียกชุ่มหลุบตาหนีผมเมื่อจะตอบคำถาม ริมฝีปากไนล์เม้มแน่นเป็นเส้นตรง นิ้วมือสองข้างกำเข้าหากันแล้วบีบเป็นจังหวะ เพราะกำลังคิดและลังเลว่าควรจะตอบผมตามที่เขาคิดไว้ดีไหม ผมไม่คาดคั้นเอาคำตอบ ถ้าน้องยังคิดไม่ตกผมก็ยินดีจะยืนรอ ต่อให้ต้องยืนรอจนเช้าผมก็คิดว่าผมรอได้โดยไม่ปริปากบ่นน้องสักคำ
“ถ้างั้นพี่เดย์อยู่เฝ้าน้องจนกว่าน้องจะเข้าโรงเรียนได้ไหม มารับน้องก่อนจะเลิกเรียนด้วยได้หรือเปล่า ถ้าน้องขอแค่นี้พี่เดย์ให้น้องได้ไหม” ไนล์ช้อนสายตาขึ้นมองหลังเขาพูดคำขอจบลง ผมระบายยิ้มอ่อนให้กับเขาก่อนจะยื่นมือเข้าไปลูบแก้มใสเบาๆ แล้วเอ่ยน้ำเสียงยอมจำนนคนตรงหน้าทุกทางออกไป
“ต่อให้หนูไนล์ขอมากกว่านี้พี่ก็ให้ได้ พี่เคยบอกไปแล้วไง”
“ถ้าพี่เดย์ทำตามที่น้องขอได้ก็คงไม่ต้องจัดการอะไรให้น้องแล้วแหละ” ไนล์ตอบพลางก้มหน้าหลบสายตาอีกครั้ง
“พี่จะไม่บังคับให้น้องบอกนะ แต่ให้รู้ไว้ว่าทุกเรื่องที่น้องไม่พูดออกมาพี่รอฟังอยู่ตลอด วันนี้พี่มีซ้อมบอลหนูอยากไปดูไหม”
“ถ้าพี่เดย์อยากให้น้องไปดู น้องก็จะไป” คำตอบกึ่งคนตกเบื้องล่างของไนล์ทำให้ผมต้องสาวเท้าเข้าไปหาเขาโดยเร็ว
ไนล์ผงะเล็กน้อยตอนที่ผมเอื้อมมือเข้าไปดึงเขาเข้ามากอดหลวมๆ แต่ก็ยอมให้กอดไม่ขัดขืน แล้วยิ่งคำตอบถัดมาที่ผมได้ยินมันยิ่งทำให้ผมหลงเด็กตรงหน้าจนโงหน้าไม่ขึ้นแล้ว ไนล์พูดเหมือนผมอยู่เหนือเขาทุกอย่าง เป็นคนที่ควบคุมเขาได้ แต่ความเป็นจริงคือผมต่างหากที่ถูกเขาควบคุม จะชี้ไปทางไหนหรือสั่งให้ทำอะไรผมก็ยอมไปหมด นาทีต่อให้ทางที่ไนล์ชี้เป็นหุบเหวลึกผมก็คงกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล
“เพราะตอนนี้ทุกอย่างในชีวิตน้องมันก็อยู่ที่พี่หมดแล้ว จะตัดสินใจแทนน้องหน่อยคงไม่เป็นไร”
“รับรองค่ะว่าพี่จะคัดสรรแต่สิ่งดีๆให้หนูแน่นอน”
ผมพาไนล์มาซ้อมเตะบอลสำหรับงานกีฬาสัมพันธ์ที่จัดขึ้นทุกปีของมหา'ลัยในเครือเดียวกัน ทั้งที่ขึ้นชื่อว่ากีฬาสัมพันธ์แต่ทุกครั้งที่ลงแข่งก็มีแต่คนอยากได้ชัยชนะ ผมให้ไนล์นั่งรอริมสนามใกล้จุดบริการนักกีฬา ผมอยากให้คนตัวเล็กในชุดนักเรียนปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงอยู่ในสายตาทุกครั้งที่หันไปมอง
ถึงไนล์จะยังเด็กมากแต่ความน่ารักและเสน่ห์ของเขามันไม่ได้เด็กตามอายุเลย มันดึงดูดให้นักศึกษาบริเวณนี้มองเขาเป็นตาเดียว และยิ่งในสนามวันนี้รวบรวมแต่คนขึ้นชื่อของแต่ละคณะไว้ด้วยกันคนที่มาคอยดูก็พลอยหนาตาไปด้วย แค่พี่โชว์อดีตเดือนมหา'ลัยคนเดียวก็มีคนมาดูครึ่งรอบสนามได้แล้ว นี่ยังจะมีพี่สายฟ้าเฮดว้ากคณะนิติศาสตร์ เฮียดีเจ้าของตำแหน่งพระเอกละครประจำปีอีก คนเลยหลั่งไหลเข้ามาเกือบเต็มอัฒจันทร์ ส่วนผมน่ะเหรอนอกจากไนล์ก็ไม่มีใครมาเชียร์หรอก เพราะที่ผ่านมาเวลาผมชอบใครผมทุ้มให้แค่เขาคนเดียว ส่วนคนที่แค่คิดจะหลับนอนเล่นๆแค่ก้าวขาลงเตียงเราก็เป็นแค่คนแปลกหน้ากันแล้ว
“เย้!!!” เสียงตะโกนดีใจดังลั่นสนามเมื่อผมรับบอลจากพี่โชว์แล้วเตะเข้าประตูได้สำเร็จ คนตัวบางข้างสนามยกนิ้วโป้งขึ้นชมพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ทำให้ผมต้องรีบวิ่งออกไปหา
ผมแวะหยิบขวดน้ำจากจุดพักนักกีฬาติดมือมาด้วยก่อนจะเปิดฝา เสียบหลอด แล้วยื่นมันให้กับกำลังใจสำคัญ ไนล์รับไปแต่ยังไม่ยอมดื่มทันที แต่พอเห็นว่าผมยืนกดดันอยู่เด็กน้อยก็รีบดูดหลอดทันที น้องจิบไปเพียงเล็กน้อยแล้วส่งคืนมาให้ ผมรับมันมาแล้วใช้ริมฝีปากงับไปที่หลอดน้ำที่ยังคงเปียกน้ำลายอันเดียวกับที่ไนล์เพิ่งสัมผัส
เด็กตัวน้อยมองมายังหลอดน้ำพร้อมกับแก้มใสที่ริเริ่มขึ้นสีทีละนิด ใบหูขาวสะอาดตากำลังกลายเป็นสีแดงคล้ายลูกสตรอเบอร์รี่ใกล้สุก น่าใช้ปากเข้ากัดชิม
“เป็นอะไรคะ เขินพี่เหรอ นี่แค่จูบทางอ้อมเองนะ” ผมมองไปที่ไนล์สลับกับหลอดน้ำที่ยังเปียกจากน้ำลายของผมสผมกับเขา
“จูบอะไรล่ะครับ แค่กินน้ำขวดเดียวกันเฉยๆ”
“แล้วแบบไหนที่หนูเรียกว่าจูบ แบบนี้หรือเปล่า” ผมถามคนที่เอาแต่ก้มหน้าหลบ ใช้มือข้างที่วางจากขวดน้ำช้อนปลายคางมนขึ้นมาสำรวจใบหน้าแดงซ่านจากความเขินอาย
ไนล์ออกแรงเกร็งลำคอให้ก้มลงมองพื้นเช่นเคย ทว่าครั้งนี้ผมไม่ยอมให้เขาหลบได้ง่ายๆ ผมยื้อปลายคางให้เชิดไว้ได้สำเร็จ ใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยบนริมฝีปากชุ้มชื้นจากน้ำที่เพิ่งดื่ม แล้วกดปลายนิ้วคาไว้แบบนั้นก่อนจะก้มหน้าแนบริมฝีปากลงบนหลังนิ้วของตัวเอง
ความเอิบอิ่มนุ่มนิ่มของริมฝีปากไนล์ทำให้ผมยับยั้งใจที่อยากจะสัมผัสไว้ไม่ได้ ยิ่งได้เห็นใบหน้าแดงจากการเขินที่เกิดจากผมมันยิ่งทวีคูณให้ผมอยากสัมผัส อยากใช้ปากแนบปากไม่ใช่แค่จูบผ่านนิ้วมือแบบนี้ แต่ก็กลัวว่าถ้าได้สัมผัสตรงๆผมจะห้ามใจไว้ไม่อยู่ และถลำลึกไปร่างกายชวนเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางตรงหน้า
“รู้สึกมีแรงเตะบอลขึ้นมาอีกหลายรอบเลย” ผมพูดยิ้มๆหลังจากผละริมฝีปากออกมาแล้ว แต่ยังคงค้างใบหน้าไว้ในระยะที่ใกล้เหมือนเดิม
คนตัวเล็กค่อยๆก้มหน้าหนีผมอีกครั้ง แล้วยกฝ่ามือขาวสะอาดสองข้างขึ้นปิดใบหน้าริ้วแดงของตัวเอง ช่างหน้าเอ็นดูจนผมอยากจะอุ้มกลับห้องแล้วทำเรื่องที่พาตัวเองนอนคุกซะตอนนี้เลย
เพราะความน่ารักจากการเขินหนักของไนล์ทำให้ผมไม่สามารถซ้อมบอลต่อไปได้ น้องทำให้ผมหิว หิวไส้จะขาดเลยละ แต่ก็ทำได้แค่มองอาหารตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายประทังความหิวไปก่อน ผมไม่อยากจะหมกหมุ่นกับเรือนร่างใต้เสื้อผ้าของไนล์เลยไม่อยากพาน้องกลับห้องในตอนนี้ และเลือกจะพาเขามาเดินเล่นที่ตลาดหลังมหา'ลัยแทน
“เป็นแฟนคลับเขาเหรอหยุดมองดูตั้งนาน ทีกับพี่ไม่เห็นหนูมองแบบนี้บ้างเลย” ผมแซวคนตัวบางที่หยุดมองดูแผ่นโปสเตอร์โฆษณาภาพยนตร์เรื่องใหม่ จะไม่ให้ผมแซวได้ยังไงในเมื่อไนล์หยุดมองมันอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบนาที แล้วยังจะยิ้มกว้างแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนอีก
“เขาสวยจัง” เสียงแหบพูดโดยไม่ละสายตาไปจากภาพตรงหน้า
“ดาราเขาก็สวยหล่อกันหมดแหละ แต่สำหรับพี่หนูสวยที่สุด”
“เลอะเทอะแล้วพี่เดย์”
“อยากไปดูหนังเรื่องนี้ไหมล่ะ พี่พาไปได้นะ” ผมเสนอสิ่งที่คิดว่าน่าจะถูกใจเขามากที่สุด แสดงออกว่าชอบดาราคนนี้มากขนาดนี้ผมจะไม่อยากสปอยในสิ่งที่เขามีความสุขได้ยังไง ให้เหมาทั้งโรงเพื่อให้เขานั่งดูสิบรอบผมยังทำให้น้องได้เลย หรือถ้าเขาอยากเจอผมก็จะพาไปเจอได้ไม่ยาก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ไม่ไปแน่นะ พี่มีบัตรเชิญรอบเปิดตัวสื่อเลยนะ คุณน้าแพงก็มาด้วย รับรองว่าหนูจะได้เจอตัวจริง” ไนล์ตาลุกวาวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แล้วหันกลับไปมองรูป ‘น้าแพง’ อีกครั้ง
“คุณน้าเหรอครับ พี่เดย์มีญาติเป็นดาราด้วยเหรอครับ”
“ครับ ก็อีกไม่นานนี้เขากำลังจะแต่งงานกับน้าของพี่”
“ดีจัง มีคุณน้าสวยขนาดนี้”
หลายวันต่อมา…
นับตั้งแต่วันที่ไนล์ขอให้ผมอยู่กับเขาจนกว่าจะเข้าเขตรั้วโรงเรียนและมารับก่อนเขาเลิกเรียนผมทำทุกอย่างตามที่ไนล์ขอไม่มีคลาดเคลื่อนสักนิดเดียว ทุกครั้งที่รถจอดหน้ารั้วโรงเรียนไนล์มักจะสอดสายตามองรอบตัวว่ามีใครอยู่แถวนี้บ้าง แต่พอผมถามเขาก็เอาแต่ตอบว่าเปล่า ไม่มีอะไร คนตัวเล็กเดินลงจากรถกำสายสะพายกระเป๋าแน่น ดวงตาสีอ่อนเหลือบมองบุคคลที่ยืนพิงกำแพงอยู่ไม่ไกลแล้วหลบตาหนีไปอีกทาง ส่วนอีกฝ่ายก็จ้องมองไนล์อย่างเห็นได้ชัด แต่พอรู้ว่าผมกำลังมองไปที่เขาเหมือนกันเขาก็เป็นฝ่ายก้มหน้าหลบตาผมแทน
“เดี๋ยวพี่ไปส่งค่ะ” ผมเดินโอบไหล่บางของไนล์มาส่งเขาถึงหน้าประตูโรงเรียน
“พี่เดย์มาส่งถึงหน้าประตูแบบนี้มีแต่คนมองเต็มไปหมดเลย”
“ทำไมคะ หวงพี่เหรอ” ผมถามคนใต้อ้อมแขนก่อนจะเคลื่อนฝ่ามือขึ้นไปเกลี่ยเส้นผมสีอ่อน “แต่หนูไนล์ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะพี่มีแค่หนูคนเดียว”
“นะ..น้องเข้าโรงเรียนก่อนนะ” ไนล์พูดเสียงอุบก่อนจะก้มหน้ารีบเดินเข้าโรงเรียน ผมยิ้มให้กับท่าทีเขินอายนิดๆของเขา ถึงจะอยู่ด้วยกันมาแล้วเป็นเดือนแต่ไนล์ก็ไม่มีทีท่าจะเลิกเขินกับการกระทำของผมหรือผมจะชินกับความน่ารักของเขาเลย
ผมเดินล้วงกระเป๋าออกมาจากหน้าประตู คนที่หลบสายตาผมและจ้องมองไนล์กำลังเดินมาทางผม เขาเป็นผู้ชายผิวเข้มเล็กน้อย ริ้วรอยบนใบหน้าบ่งบอกถึงอายุเข้าวัยกลางคน ส่วนด้านหลังมีหญิงวัยไล่เลี่ยกันเดินตามมาด้วย ใบหน้าของคนสองคนบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่ได้มาดีสักเท่าไร พวกเขาเดินมาหยุดตรงหน้าผม
“คุณมาส่งมันเหรอ” ชายวัยกลางคนถามผมเสียงผม ถึงจะไม่รู้จักคนตรงหน้ามาก่อนแต่ผมก็เดาได้ว่าเขาสองคนคงเป็นพ่อกับแม่ไนล์ ถ้าดูจากอายุและปฏิกิริยาตอนไนล์เจอพวกเขา แต่จะเป็นพ่อแม่ที่ดูแลลูกแบบไหนอันนี้ผมไม่รู้
“คุณคงเป็นพ่แม่ของไนล์ใช่ไหมครับ” ผมถามก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ ถ้าเป็นพ่อแม่ของไนล์จริงๆจะดีจะร้ายผมก็ต้องนอบน้อมใส่
คนที่พยักหน้ารับว่าเป็นพ่อกับแม่ของไนล์มสำรวจผมตั้งแต่ศรีษะจนถึงปลายรองเท้า สายตาของคนเป็นพ่อดูไม่ค่อยพอใจกับผมสักเท่าไร ความขุ่นเคืองในแววตาของเขามันแสดงออกมาชัดเจนมากก่อนจะถามผมเสียงดุปนโมโห
“มันไปอยู่กับคุณเหรอ”
“ครับ น้องโทร.มาให้ไปรับ ผมต้องขอโทษคุณพ่อด้วยที่พาน้องมาอยู่ด้วยโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน” ผมยกมือขอโทษพวกเขาตามความจริงที่ผมผิด ถ้าหากพวกเขาจะไม่ชอบผมในข้อนี้ผมไม่โต้แย้งเลย เพราะผมผิดจริงๆที่ใจร้อนและค่อนข้างเห็นแก่ได้ อยากให้ไนล์มาอยู่ข้างกาย
“การที่คุณเอาลูกของเราไปกินอยู่ด้วยตั้งเป็นเดือนๆแบบนี้มันก็ไม่ถูกนะคะ มันข้ามขั้นตอนไปหรือเปล่า” แม่ไนล์ถามขึ้นหลังจากที่ยืนฟังมาตลอด จากที่ยืนมองดูอยู่ด้านหลังตอนนี้กลับยืน
มองสำรวจผมอยู่ตรงหน้า “แล้วนี่เป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน”
“ผมชื่อเดย์ครับ เดชา เดชดำรงค์ ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับที่ไม่ได้เข้าไปทำให้มันถูกต้อง ไว้ผมจะพาไนล์เข้าไปที่บ้านทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง” ผมยกมือขอโทษพวกเขาเป็นครั้งที่สอง และลองถามหยั่งเชิงว่าพวกเขากำลังอยากได้อะไรจากผม ในวันที่น้องร้องไห้ฟูมฟายไม่อยากเรียนที่นี่แล้ววันนั้นเงินค่าขนมที่ผมใส่กระเป๋าให้น้องไปหายหมดเกลี้ยง ไม่เลี้ยงสักแบงค์จากเงินหมื่นกว่าบาท
แล้วถ้าผู้ใหญ่สองคนตรงหน้าอยากจะได้แค่เงินพวกนั้นผมก็พร้อมจะให้ เพื่อให้พวกเขาจบจากคนตัวเล็กของผมสักที มันไม่ได้รู้สึกดีสักนิดที่ต้องเห็นคนบอบบางแบบไนล์ต้องมานั่งระแวงทุกเช้าเย็นเวลามาโรงเรียน
“นามสกุล เดชดำรงค์ เหรอ เธอเกี่ยวข้องกับคนที่ิอยู่ในคณะรัฐมนตรีเหรอเดย์”
“ผมเป็นลูกชายของท่านอคิน เดชดำรงค์ครับ” คนที่ได้ยินว่าผมเป็นลูกใครแสดงอาการตื่นตกใจออกมาอย่างปิดไม่มิด แววตาที่ขุ่นเคืองของคนเป็นแปลเปลี่ยนเป็นประกายวาววับทันที ส่วนพ่อของไนล์ยังคงแสดงใบหน้าไม่พอใจเหมือนเดิม
หญิงวัยกลางคนกระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา พร้อมทั้งปรับน้ำเสียงให้ละมุนหูมากยิ่งขึ้น การกระทำของเขาทำให้ผมอดจะเหยียดยิ้มขบขันออกมาไม่ได้ “ตามจริงไม่ต้องยุ่งยากก็ได้นะ แม่กับพ่อน่ะเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย ขอแค่เดย์มีค่าตอบแทนที่แม่กับพ่อเลี้ยงดูไนล์ให้บ้างก็พอ จะเลี้ยงเด็กแต่ละให้โตมามันไม่ง่ายนะ แล้วไนล์น่ะค่าใช้จ่ายเยอะสุดในบ้านแล้วด้วย”
ผมก้มหน้าล้วงกระเป๋าหลบหลีกไม่ให้พวกเขาเห็นรอยยิ้มแสยะมุมปาก ดูจากการแต่งตัวและบ้านที่อาศัยอยู่พวกเขาไม่น่าจะเดือนร้อนเรื่องเงินเลยสักนิด และถ้าจะเห็นไนล์เป็นแค่ตัวทำเงินให้พวกเขาสบายผมว่าการหนีออกมาแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว ดีกว่าอยู่กับครอบครัวที่กัดกินสภาพจิตใจให้ย่ำแย่ลงทุกวันเลย
“แล้วคุณแม่กับคุณพ่อจะเรียกเท่าไรละครับ” ผมถามกลับอย่างไม่อ้อมค้อม ในเมื่ออีกฝ่ายเปรยถึงเรื่องเงินมาขนาดนี้แล้วเป็นไงผมจะสนองให้พวกเขาไม่ได้
“ถ้าสักหลักล้านเดย์สู้ไหมละ” ผมเลิกคิ้วมองคนที่เสนอจำนวนมากออกมา พอเขาเห็นผมดูเฉยชากับจำนวนเงินหลักล้านที่ขอมาก็เริ่มลนลานกลัวผมไม่สู้ หั่นราคาค่าตัวให้ถูกลงกว่าเดิม “ถ้าเดย์คิดว่าแพงไปแค่หลักแสนก็ได้ ไนล์ลูกแม่มันก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร”
ผมระบายยิ้มไม่สะทกสะท้านกับจำนวนที่ถูกขอออกมาก่อนจะตอบน้ำเสียงเรียบ และข้อเสนอชี้ขาดให้พวกเขา “ได้ครับ หลักสิบล้านผมก็ให้คุณแม่ได้ แต่ถ้าผมให้แล้วไนล์ถือว่าเป็นคนของผม คุณพ่อคุณแม่ห้ามรบกวนไนล์อีกจะได้ไหมครับ ถ้าได้ผมเซ็นเช็คให้ตอนนี้ได้เลย”
คนที่ขึ้นชื่อว่าแม่ของไนล์แสดงท่าทีลังเลเล็กน้อย ผมปล่อยให้พวกเขาใช้เวลาคิด ถ่วงน้ำหนักกันเอาเองว่าระหว่างลูกชายไร้ที่ติกับเงินหลักสิบล้านพวกเขาจะเลือกอะไร และดูเหมือนฝ่ายแม่ไนล์จะยอมรับข้อเสนอของผม ทว่าพ่อไนล์กลับไม่ยินยอม
“ไม่ได้!” พ่อไนล์ตะโกนขัดการตอบตกลงของแม่ไนล์ “ต่อให้หลักสิบล้านก็ไม่คุ้ม ไนล์มันควรต้องชดใช้ให้พวกฉันไปตลอดชีวิตที่มันมีลมหายใจด้วยซ้ำไป เพราะถ้าไม่มีพวกฉันมันไม่มีลมหายใจวิ่งไปหาหรอก!”
เสียงตะโกนดังลั่นของพ่อไนล์ทำให้เด็กนักเรียนและผู้คนที่ผ่านไปมาหันมาสนใจพวกเราเป็นจำนวนมาก ผมยืนล้วงกระเป๋าไม่แสดงอาการออกมาปล่อยให้ผู้หญิงสองคนเขาตกลงกันเอง ส่วนผมจะคอยตอบสนองสิ่งที่พวกเขาเลือก แม่ไนล์ตีแขนสามีตัวเองเสียงดังที่ขัดออกมาแบบนั้น ก่อนจะลากแขนขอตัวกลับไปก่อน
“ไว้วันหลังเราค่อยมาคุยกันก็แล้วกันนะเดย์ กลับกันเถอะคุณ”
“เอาตีนกูไปช่วยก่ายไหมวะ อะไรมันจะเครียดขนาดนั้น” ผมเหลือบตามองไอ้ไฟป่าที่เพิ่งเดินมาถึงลานเกียร์หน้าตึกคณะ ถ้ามันไม่เข้ามาทักผมก็คงนอนเอามือก่ายหน้าผากแบบนี้ไปอีกนาน
ตั้งแต่ได้พูดคุยกับพ่อแม่ไนล์ไปเมื่อตอนเช้าผมก็หยุดครุ่นคิดเรื่องของน้องไม่ได้เลยสักนาทีเดียว ยิ่งรู้จักไนล์มากเท่าไรผมก็ยิ่งถลำความรู้สึกให้เขาไปมากเท่านั้น ทุกวันผมหลงน้องยิ่งกว่าคำว่าหลงซะอีก แต่ยิ่งรู้จักมากเท่าไรไนล์ก็มีหลายสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสงสัยในตัวเขาไม่ได้ อย่างที่บอกไว้ ไนล์ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวหรือเรื่องส่วนตัวให้ผมฟังแม้แต่ครั้งเดียว เรื่องราวเบื้องหลังของไนล์เหมือนกับควันที่ฟุ้งกระจาย จะมองให้ชัดก็เหมือนชัด แต่พอนานไปก็พล่ามัวจนมองไม่เห็น แล้วผมเป็นพวกไม่ชอบถามไม่เซ้าซี้มันยิ่งพาลให้น้องปกปิดเรื่องของตัวเองมากขึ้นไปอีก
“วันนี้กูไปเจอพ่อแม่ไนล์มาว่ะ” ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งมาเผชิญหน้ากับไฟป่า
“เขาเอาเรื่องเหรอวะที่มึงเอาลูกเขามากกตั้งนานแบบนี้” ไอ้ไฟป่าตอบโดยไม่มองสีหน้ากังวลใจของผมแม้แต่น้อย มันนั่งจิ้มลูกชิ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย จนผมพูดประโยคถัดมามันถึงเหลือบตาขึ้นมามองพร้อมกับหยุดเขี้ยวลูกชิ้นในปาก
“เขาเรียกเงิน”
“ค่าสินสอด” คนตรงหน้าถามทั้งที่ลูกชิ้นยังอยู่คาปาก ผมส่ายหน้าตอบมันพลางมือก็หยิบแก้วน้ำส่งให้มันด้วย ก่อนที่ลูกชิ้นจะไหลเข้าคอจนมันสำลักตาย
“เหมือนต้องการแค่เงินเฉยๆ แต่พ่อเขาไม่ยอมขนาดเงินหลักล้านเขายังบอกเลยว่าไม่คุ้ม” ผมเล่าเรื่องที่ตัวเองได้คุยกับพ่อแม่ไนล์ให้มันฟังทุกคำพูดที่จำได้
ถ้าหากพวกเขาต้องการแค่เงินแล้วจบไปผมยังพอเข้าใจได้ สมัยนี่การที่คนเราเห็นแก่เงินจนลืมคนสำคัญในชีวิตมีให้เห็นตั้งเยอะแยะ แค่เรียกค่าสินสอดลูกแพงไปหน่อยมันจะผิดอะไร แต่นี่พ่อไนล์ไม่ยอมหัวชนฝา หนำซ้ำคำพูดของพ่อไนล์มันตีความไปในทางที่ดีไม่ได้เลยด้วย ไม่คุ้ม ชดใช้ไปตลอดชีวิต ไม่มีพวกเขาไนล์ไม่มีลมหายใจ คำพูดพวกนี้มันไม่ควรเป็นคำพูดที่พ่อแท้ๆ จะพูดถึงลูกด้วยซ้ำไป
“เชี่ย!” คำอุทานเสียงดังของคนที่กำลังเคี้ยวลูกชิ้นทำผมสะดุ้งตกใจ มันเบิกตาโตมองมาที่ผมพร้อมด้วยสีหน้าท่าทีตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่มันคิดขึ้นมาได้ “คิดดีไม่ได้เลยว่ะมึง หรือเขาจะเป็นแค่พ่อเลี้ยงน้องไนล์แล้วอยากจะงาบลูกตัวเลี้ยงวะ น้องไนล์ก็ดูน่างาบใช่ย่อย ทั้งขาวทั้งนุ่มนิ่ม สมัยนี้พ่อเลี้ยงข่มขืนลูกเลี้ยงมีให้เห็นเยอะแยะไป แม่ที่เห็นดีเห็นงามหรือเชื่อผัวใหม่ก็มีให้เห็นตามข่าว กูนั่งดูกับแม่บ่อย”
คำสันนิษฐานของไอ้ไฟป่าทำผมอดคิดภาพตามไม่ได้ แล้วความเป็นไปได้มันก็ค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับคำพูด และลักษณะใบหน้าของเขาที่ไม่เหมือนกับไนล์เลยสักนิด แล้วถ้าหากมันเป็นจริงอย่างที่ไอ้ไฟป่าคิดผมคงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ ถ้าไนล์เจอเรื่องแบบนี้มาจริงๆ ผมก็จะปกป้องเขาจากคนๆ นั้นแล้วถีบหัวส่งเข้าตารางไปให้สิ้นเรื่อง และมันไม่แปลกเลยที่น้องจะวิ่งเข้ามาหาผมทั้ลที่เพิ่งคุยกันแค่ไม่กี่คำ
“กูไม่รู้ว่ะ ไนล์ไม่ยอมบอกอะไรกูสักอย่าง”
“งั้นมึงก็ถาม”
“มึงเห็นกูเป็นคนชอบกดดันคนอื่นเหรอไง แค่ไนล์กะพริบตาอ้อนกูก็จนมุมจะบังคับแล้วไหม”
“มึงก็นอนรอไปจนกว่าน้องไนล์จะบอกก็แล้วกัน เผลอๆ อาจจะถูกไอ้คนนั้นเอาไปชิมแล้วก็ได้ใครจะรู้ มึงยังไม่ได้พิสูจน์เลยหนิว่ายังสดใหม่หรือเปล่า” ไอ้ไฟป่าพูดแล้วหยักไหล่ใส่ผม ท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของผมเริ่มทำผมร้อนรนใจขึ้นทุกทีด้วยคำพูดที่มีความเป็นไปได้สูงของมัน เพราะความที่เป็นเพื่อนกันมานานมันเลยรู้จุดอ่อนผมเป็นอย่างดี รู้ว่าต้องพูดแบบไหนให้ผมทนไม่ไหวต้องระเบิดออกมา หรือต้องพูดยุยงยังไงให้ผมเคลิ้มตามไปง่ายๆ อย่างประโยคเมื่อกี้นี้มันก็ชักจูงผมไปได้เยอะพอสมควร
“ไนล์ยังเด็ก เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ” ผมตอบกลับด้วยเสียงที่หนักแน่นน้อยลงกับคำว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ
คนตรงหน้าวางถุงลูกชิ้นในมือลง มันเท้าคางมองหน้าผมก่อนจะปล่อยคำพูดหักล้างคำว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะให้สิ้นซาก “แล้วไง ถ้าเด็กมันสมยอมทุกอย่างก็จบปะ แล้วอีกอย่างนะนอนเบียดๆ ชิดๆ เนื้อแนบเนื้อกันทุกคืนไม่มีอารมณ์เหรอวะ”
บึ๊มม!!
คำพูดของไฟป่ามันโคตรจะจี้จุดอ่อนของผมจนทำความคิดผมระเบิดเป็นจุน เป็นไงมันจะไม่มีล่ะ! นอนกับคนที่ชอบมากๆ เนื้อตัวแนบกันทุกคืน กลิ่นหอมจากเนื้อผิวขาวลอยฟุ้งรอบตัว ยิ่งสูดลมหายใจเข้าเท่าไรก็ยิ่งทำให้ลุ่มหลง คลุ้มคลั่ง จนผมต้องแอบลุกเข้าไประบายในห้องน้ำเกือบทุกคืน!
“มึงก็ไปคิดเอาเองแล้วกันว่าจะเอาไง กูไปหาไอ้เจี่ยที่โรงอาหารก่อนก็แล้วกัน” ไอ้เพื่อนตัวดีมาโยนความคิดเสี่ยงตารางใส่ผมแล้วมันก็เดินหนีไป ปล่อยให้ผมนั่งตกผนึกความคิดที่มันเสนอให้อยู่คนเดียว
จากตอนแรกที่คิดจะรอให้ไนล์พร้อม ให้บรรลุนิติภาวะเสียก่อนค่อยทำอะไรตอนนั้นคงไม่เสีย แต่พอได้มานั่งคิดตามที่ไอ้ไฟป่ามันเสนอไว้ทผมก็ชักไม่แน่ใจว่าควรรอต่อไปดีไหม ถ้าหากคนตัวเล็กของผมเขาสมยอมมันก็คงไม่ผิกกฎหมายมั้ง!?