มีนา: รู้สึกตัวขึ้นในตอนเช้า เริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคย เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น และทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงแขนแข็งแรงที่กอดรัดรอบตัวเธอ
มีนา: หัวใจเต้นแรง ตกใจสุดขีด เมื่อพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของพรายรพี
แสงอ่อนๆ ของยามเช้าส่องเข้ามาในกระท่อม เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความหนักของอ้อมกอดที่กอดเธอไว้แน่น ใบหน้าของเธอซุกอยู่บนแผงอกแกร่ง และเมื่อเธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นรูปร่างของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อพรายรพีอย่างชัดเจน
ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ชัดเจน ใบหน้าคมคายดุดัน แฝงไปด้วยความเข้มแข็งที่ไม่เหมือนใคร ผิวแทนเข้มขับให้เขาดูสง่าและทรงอำนาจ ราวกับชายผู้นี้เกิดมาเพื่อควบคุม
มีนา: พยายามขยับตัวออกมา แต่แขนของพรายรพีกลับกอดเธอไว้แน่นขึ้น
พรายรพี: ค่อยๆ ตื่นขึ้นจากการขยับของมีนา มองลงไปที่เธอและยิ้มเล็กน้อย "ตื่นแล้วเหรอ?"
มีนา: ตกใจและอึดอัด "คะ...คุณ... ทำไมฉันถึงอยู่ในอ้อมกอดคุณ?"
พรายรพี: (เสียงดุดันและเนือย ๆ พร้อมกับสายตาที่คม) "ก็แค่กอด... เมื่อคืนฉันทำมากกว่านั้นอีกจำไม่ได้เหรอ
มีนา: รู้สึกอายและขยับตัวออกมาทันที "ไม่! ปล่อยฉัน!"
มีนา: ยิ่งรู้สึกอึดอัดและสับสน แต่ไม่กล้าพูดอะไรต่อ รีบลุกขึ้นจากที่นอน
สายตาของมีนาจับจ้องไปที่แผงอกกว้างของเขา ซึ่งประดับด้วยรอยสักรูปอักขระยันต์อันน่าเกรงขาม รอยสักนั้นดูเหมือนจะเพิ่มความอำนาจและบารมีให้กับพรายรพี ความรู้สึกสับสนและหวาดกลัวเริ่มเข้ามากัดกร่อนจิตใจของเธอ แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้จักก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอเช่นกัน
พรายรพี: จับแขนมีนาแน่น ดึงเธอเข้ามาใกล้ สายตาแข็งกร้าวและน้ำเสียงเข้ม "ฟังนะ อยู่ที่นี่เธอต้องทำงาน หุงข้าว ซักผ้า ทุกอย่างที่ฉันสั่ง ถ้าคิดจะอยู่เฉยๆ แล้วให้ฉันเลี้ยงดู เธอคิดผิดแล้ว!"
มีนา: ตัวสั่นเล็กน้อยจากความกลัว มองพรายรพีด้วยความตกใจ "ฉะ... ฉัน..."
พรายรพี: ขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น เสียงต่ำและน่ากลัว "อย่าคิดว่าฉันซื้อเธอมาเพื่อให้เธอนอนสบายๆ โดยไม่ทำอะไร เธอจะต้องทำงานให้คุ้มกับเงินที่ฉันจ่ายไปทุกบาท ถ้าไม่อยากให้ฉันใช้วิธีอื่นกับเธอ"
มีนา: พยักหน้ารวดเร็ว น้ำตาคลอเบ้า พยายามกลั้นความกลัว "ค่ะ... ฉันจะทำงานค่ะ"
พรายรพี: ปล่อยแขนมีนาอย่างไม่สนใจ "ดี งั้นก็เริ่มจากการทำอาหารก่อน ฉันหิวแล้ว"
ในห้องครัว มีนาหยิบของที่ใช้ทำอาหารออกมาเพื่อพยายามปลอบใจตัวเอง ร่างกายสั่นระริกไปหมด ขณะที่เธอทำงานอย่างรีบเร่ง ลมเย็นจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ทำให้เธอรู้สึกเย็นสบายบ้าง แต่ความรู้สึกตกใจยังคงไม่หายไป
มีนานั่งลงที่โต๊ะในครัว มือสั่นอยู่บนเครื่องมือทำอาหาร โดยพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อสงบจิตใจให้ได้ แต่ความคิดถึงภาพของพรายรพีที่อยู่ข้างๆ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ ทำให้เธอรู้สึกถึงความเครียดและความวิตกกังวลอย่างหนัก
อาหารที่ถูกปรุงจากวัตถุดิบง่ายๆที่มีอยู่ในครัวของกระท่อม พริกเกลือและผักพื้นบ้านบางชนิด กลายเป็นอาหารที่มีกลิ่นหอมฉุย ลอยขึ้นมาแตะจมูก ความหอมของมันทำให้พรายรพีอดไม่ได้ที่จะหยุดมองอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า
สายตาของเขาเลื่อนไปที่มีนา หญิงสาวผู้ดูบอบบางและดูเหมือนจะไม่เคยทำงานอะไรที่หนักมาก่อน แต่กลับสามารถก่อไฟและทำอาหารได้อย่างคล่องแคล่วในสภาพป่าที่ไม่เอื้ออำนวย เขาสงสัยในใจว่าผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานและเปราะบางเช่นเธอ ทำไมถึงมีทักษะที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้
“เธอทำได้ยังไง?” พรายรพีถามเสียงแผ่วเบา สายตาของเขาจับจ้องที่มีนา ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เต็มไปด้วยความอยากรู้และความประหลาดใจที่แฝงอยู่ในใจ
มีนา: (ปากคอสั่น ขณะยืนอยู่) "ฉันเรียนเชฟมาค่ะ...
หลังจากที่พรายรพีทานอาหารเสร็จ เขาลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบและเดินออกไปจากกระท่อม มีนาที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดและความหวาดหวั่นที่ลอยวนอยู่ในอากาศ สายตาของเธอเฝ้ามองตามแผ่นหลังกว้างของพรายรพีจนเขาหายไปในเงามืดของป่าภายนอก
หัวใจของมีนาสั่นระรัว เธอรู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะหนีจากความโหดร้ายนี้ ความตื่นเต้นและความหวาดกลัวผสมผสานกันจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ออก
มีนาลุกขึ้นยืนอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาที่ฝ่ามือ เธอสอดสายตาสำรวจรอบกระท่อม สังเกตประตูที่เปิดแง้มไว้ และหน้าต่างเล็กๆ ที่มองเห็นเงาไม้ไหวเบาๆ ในลมยามค่ำคืน
ทุกเส้นประสาทของเธอตื่นตัว ร่างกายของเธอพร้อมที่จะกระโจนออกไปหาความหวังสุดท้ายที่จะหลุดพ้นจากที่นี่ หัวใจของเธอเต้นระทึก เธอรู้ว่าถ้าผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เธออาจถูกจับได้และเผชิญกับสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้
“ต้องไปเดี๋ยวนี้” เธอกระซิบกับตัวเอง ความกล้าหาญที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ภายในก่อตัวขึ้น มีนาข่มความหวาดกลัวและเริ่มก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบไปยังประตู กระท่อมดูเงียบสงัดเกินไป ราวกับว่าทุกสิ่งรอบตัวกำลังรอคอยให้เธอพลาดเพียงครั้งเดียว
แต่เธอไม่มีทางเลือก หัวใจของเธอกระชับในความมุ่งมั่น เธอจะไม่ยอมแพ้ จะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นเหยื่อของชะตากรรมนี้เด็ดขาด
มีนาตัดสินใจหนี เธอเปิดประตูออกจากกระท่อมและก้าวเท้าเข้าสู่ความมืดของป่าที่ยิ่งใหญ่ ลมเย็นปะทะใบหน้า ขณะที่เธอเริ่มวิ่งไปตามทางเดินเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้และเถาวัลย์ ความมืดรอบตัวทำให้ทุกอย่างดูคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก
หัวใจของมีนากระหน่ำเต้นในอก ความหวาดกลัวและความเร่งรีบทำให้เธอเร่งฝีเท้าโดยไม่สนใจทิศทาง เสียงใบไม้แห้งที่เธอเหยียบย่ำลงไปส่งเสียงกรอบแกรบในความเงียบงันของป่า ราวกับประกาศให้ทุกสิ่งรู้ว่ามีคนกำลังหลบหนี
เสียงหัวใจของเธอดังก้องในหู ความตื่นตระหนกทำให้เธอวิ่งไปตามเส้นทางที่ดูเหมือนจะเป็นทางออก แต่ยิ่งลึกเข้าไป เธอกลับพบว่าทุกสิ่งรอบตัวเป็นสิ่งที่คุ้นเคยเหมือนเดิม เสียงฝีเท้าของเธอที่วิ่งไปอย่างรวดเร็วทำให้ความเงียบของป่ามีเสียงอื้ออึง
ต้นไม้สูงใหญ่ยืนเรียงรายรอบๆ เธอเหมือนกำแพงอันหนาแน่น เธอหันซ้ายหันขวาแต่ไม่มีเส้นทางที่ชัดเจน ความมืดของป่าและความกลัวที่จับต้องได้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกปิดล้อมอย่างสมบูรณ์
ความเหนื่อยล้าเริ่มสะสม มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกหมดหนทาง เธอหยุดพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และพยายามหายใจให้ลึก แต่มือของเธอสั่นเทาไปหมด มีนาเริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกของการถูกจับอยู่ในวงล้อมของป่า ความหวาดกลัวและความสับสนแฝงอยู่ในทุกการเคลื่อนไหวของเธอ
เสียงของสัตว์ป่าเริ่มเข้ามาใกล้ ชวนให้เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเฝ้าดูเธออยู่ ขณะที่เธอพยายามปรับสภาพตัวเองเพื่อหาทางออก เสียงใบไม้กรอบแกรบที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้เธอหันไปมองด้วยความตกใจ หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้นด้วยความกลัว
มีนาพยายามก้าวต่อไป แต่ละก้าวของเธอเต็มไปด้วยความเครียดและความตื่นตระหนก เธอรู้ว่าการหลบหนีจากที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และเธอไม่สามารถยอมแพ้ได้ ตอนนี้เธอต้องการความมุ่งมั่นและความกล้าหาญเพื่อหาทางออกจากป่าอันมืดมิดนี้และหนีจากเงื้อมมือของพรายรพี
แสงจันทร์ที่ลอดผ่านพุ่มไม้ทำให้เธอเห็นเงาของตัวเองเป็นบางครั้ง แต่เธอไม่สามารถหยุดได้ พรายรพีอาจจะยังไม่กลับมาที่กระท่อม แต่เธอรู้ดีว่าถ้าพลาดแม้แต่ครั้งเดียว เธออาจจะตกอยู่ในอันตรายที่ยิ่งกว่าที่เธอเผชิญอยู่ตอนนี้
ในที่สุด ความมืดของป่าที่ล้อมรอบเธอเริ่มบดบังสติสัมปชัญญะของเธอไป เธอหมดแรงและล้มลงบนพื้น ดวงตาของเธอเริ่มปิดลงอย่างช้าๆ หายใจเฮือกสุดท้ายในความมืด
ในความเงียบสงัดของป่าลึก เสียงลมหายใจของเธอเริ่มเบาลง ความรู้สึกของการหลุดลอยและการตัดขาดจากโลกภายนอกทำให้เธอสลบไปอย่างสิ้นหวัง หัวใจของเธอเต้นช้าลงจนเกือบจะหยุด และทุกสิ่งรอบตัวเธอก็กลายเป็นความมืดมิดที่แผ่ขยายออกไปจนไม่มีที่สิ้นสุด
มีนา: ตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ มองไปรอบๆ และพบว่าตัวเองกลับมานอนในกระท่อมอีกครั้ง "นี่มันยังไง? ฉันหนีไปแล้ว ทำไมกลับมาที่นี่ได้?"
พรายรพี: ยืนอยู่ที่มุมห้องด้วยท่าทีเย็นชา มองมีนาด้วยสายตาเคร่งเครียด "หนีไปไหน? คืนที่แล้วเธอคิดว่าจะไปไหนไกลกว่าการเดินออกไปจากกระท่อม? ฉันบอกแล้วว่าไม่มีทางที่เธอจะหนีออกไปจากที่นี่ได้"
มีนา: ลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจและกลัว "คุณ... คุณจับฉันกลับมาที่นี่ได้ยังไง?"
พรายรพี: หัวเราะเบาๆ แต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน "ตลกดีนะ เธอคิดว่าจะหลบหนีไปได้ง่ายๆ หรือไง? ฉันมีคนดูแลเธออยู่ตลอดเวลา ไม่มีทางที่เธอจะหนีออกไปได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก"
มีนา: รู้สึกถึงความกดดันและความกลัว "คุณ... คุณจะทำกับฉันยังไง?"
พรายรพี: เดินเข้ามาใกล้ มีท่าทีเข้มงวด "ฉันบอกแล้วว่าที่นี่ไม่มีที่ให้เธอหนีไป พอเถอะ อย่าคิดว่าจะสามารถหนีไปจากฉันได้ เธออยู่ที่นี่เพื่อทำงาน หุงข้าว ซักผ้า ทำทุกอย่างที่ฉันสั่ง และถ้าเธอยังคิดจะหนีอีก ฉันจะให้เธอรู้จักความหมายของการอยู่ในที่ที่ไม่มีวันหลบหนี"
มีนา: ขยับถอยออกไปด้วยความกลัว
เมื่อมีนาได้สติกลับคืนมาในช่วงบ่ายแก่ของวันใหม่ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยที่ต่างออกไปจากความมืดมิดของป่า เธอลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นกระท่อม
กระท่อมที่ตอนนี้ดูเป็นระเบียบมากขึ้น มีผ้าห่มเก่าๆ ปูอยู่บนพื้นไม้และของใช้พื้นฐานถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย พื้นกระท่อมทำจากไม้ที่ไม่เรียบเสมอ แต่อย่างน้อยก็สะอาดขึ้น กลิ่นของอาหารพื้นบ้านลอยมาเตะจมูก
เมื่อมีนาได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ เธอจึงมองไปที่ประตู ซึ่งตอนนี้เปิดอ้าออกเล็กน้อย หญิงคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นชาวบ้านท้องถิ่นเดินเข้ามาในห้อง
หญิงสาวคนนี้มีรูปร่างเล็กและท่าทางธรรมดา แต่ดูอบอุ่นและมีเมตตา เธอสวมชุดพื้นเมืองที่เป็นผ้าทอมือสีเรียบง่ายและมีผมดำที่มัดเป็นมวยอย่างเรียบร้อย
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและสบาย “ฉันชื่อพิศค่ะ ฉันมาที่นี่เพื่อดูแลคุณ”
มีนาใช้เวลาสักครู่ในการปรับตัว เธอรู้สึกงงงวยจากความมึนงงและอ่อนเพลียจากการหลบหนีและการล้มลงในป่า
“ฉัน... ฉันล้มในป่า...” มีนาอธิบายด้วยเสียงที่เบาหวิว
พิศยิ้มอ่อนโยนและเดินเข้ามาใกล้ “ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันเจอคุณในป่าและพาคุณกลับมาที่นี่ กระท่อมนี้เป็นเป็นของพ่อพรายรพี
มีนาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “พรายรพี... เขาคือใคร?”
พิศนั่งลงข้างๆ มีนาและพูดด้วยความสงบ “พ่อพรายรพีเป็นผู้มีอิทธิพลในแถบนี้ เขาเป็นคนที่มีความเข้มงวด แต่ก็ใจดีในบางครั้ง เขาให้ฉันดูแลคุณเพราะคุณบาดเจ็บที่ข้อเท้า”
มีนาเริ่มรู้สึกตกใจและมึนงงจากข้อมูลที่ได้รับ
พิศเตรียมอาหารที่ดูเรียบง่ายแต่ทำจากวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ข้าวโพดต้มและผักพื้นบ้าน อาหารที่เสิร์ฟนั้นมีกลิ่นหอมและอร่อย พิศพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พักผ่อนเถอะค่ะ ฉันจะเตรียมอาหารให้คุณ และถ้าคุณมีคำถามอะไร ฉันจะพยายามตอบให้ดีที่สุด”
ป้าพิศ: เดินเข้ามาในกระท่อมตอนบ่ายแก่ๆ เห็นมีนานั่งอยู่ "เอ้า! เจ็บข้อเท้าขนาดนี้ ดูสิมา ขอโทษที่ให้รอนานนะ เดี๋ยวฉันจะดูให้"
มีนา: มองป้าพิศด้วยความรู้สึกขอบคุณ "ค่ะ... ขอบคุณมากค่ะ"
ป้าพิศ: นั่งลงข้างๆ มีนาและเริ่มตรวจดูข้อเท้า "ข้อเท้าเธอบวมใหญ่เลย สงสัยจะเจ็บมาก อย่าคิดหนีไปไหนนะ"
มีนา: ยิ้มอย่างรู้สึกผิด "แต่ว่า... ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี"
ป้าพิศ: ห่อผ้าพันแผลและพันรอบข้อเท้าของมีนา "ที่นี่มันป่ากว้างและเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าหนีไปก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย สัตว์ร้ายเยอะแยะ เธอคงไม่อยากเจออะไรที่น่ากลัวพวกนั้นหรอก"
มีนา: พยักหน้าอย่างเข้าใจ "ค่ะ... "
ป้าพิศ: ยิ้มให้มีนา "ดีแล้ว อย่าลืมนะว่าเธอต้องฟังพ่อพรายรพีด้วย ถ้าไม่อยากให้มีปัญหาเพิ่มอีก"
มีนา: พยักหน้าและรู้สึกโล่งใจ "ค่ะ ฉันจะทำตามที่ป้าบอก"
หลายวันต่อมา มีนาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียการติดตามเวลาจริงๆ เพราะในกระท่อมนี้ไม่มีเครื่องมือที่สามารถบอกเวลาได้เลย เธอพยายามสังเกตการเปลี่ยนแปลงของแสงจากภายนอก แต่ก็พบว่ามันยากที่จะคำนวณวันและเวลาได้อย่างแม่นยำ
ทุกวันในกระท่อมนี้เป็นเหมือนวันที่ต่อเนื่องและคล้ายกัน ไม่มีนาฬิกาหรือปฏิทินให้เธอใช้ในการวัดเวลา ทุกอย่างที่เธอมีคือความรู้สึกและความสังเกตการณ์จากสิ่งรอบตัว
กำแพงระหว่างมีนาและพรายรพีเริ่มบางลงเรื่อยๆ เธอรู้สึกวางใจและเริ่มรู้สึกปลอดภัยในที่ที่เธออยู่มากขึ้น การอยู่ร่วมกันกับพรายรพีไม่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน
ทุกวันเธอเริ่มเปิดใจมากขึ้นและค่อยๆ คุ้นเคยกับตัวตนของพรายรพี ความเงียบขรึมและความเข้มงวดของเขาเริ่มถูกแทนที่ด้วยความอ่อนโยนและการดูแลที่เธอไม่เคยคาดคิด
มีนาเริ่มเข้าใจว่าแม้พรายรพีจะเป็นคนที่มีอิทธิพลและน่าเกรงขาม แต่เขาก็มีความเห็นใจและความใส่ใจในความเป็นอยู่ของเธอ ความรู้สึกปลอดภัยนี้ทำให้มีนารู้สึกว่าการอยู่ร่วมกันกับเขานั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เธอเคยคิด
เมื่อพรายรพีเห็นว่ามีนาไม่คิดหนีอีกแล้ว เขาก็เริ่มผ่อนปรนมากขึ้น และอนุญาตให้ป้าพิศพามีนาไปเดินตลาดกลางหุบเขาเป็นครั้งคราว
ตลาดที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาเป็นสถานที่ที่คึกคักและเต็มไปด้วยสีสัน มีทั้งพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อของและแลกเปลี่ยนสินค้าในบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง
ป้าพิศพามีนาเดินชมตลาดที่มีทั้งผลไม้สด ผักสด และสินค้าท้องถิ่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ มีนาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายและเริ่มเพลิดเพลินกับการเดินชมตลาด เธอพบว่าการได้ออกจากกระท่อมและเห็นโลกภายนอกนั้นช่วยให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวาและเติมเต็มความรู้สึกที่หายไป
กลางตลาดที่เต็มไปด้วยความคึกคักในป่าเขา สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่มีนา ความงามของเธอสะดุดตาแม้จะอยู่ในชุดเสื้อสาวชาวบ้านที่เรียบง่าย เมื่อมีนาก้าวเข้ามาในตลาด ทุกสายตาทั้งของชายและหญิงต่างตื่นตะลึงไปกับความงามของเธอ ผิวขาวผุดผาดที่มีแสงแดดสะท้อนออกมาทำให้เธอดูเหมือนดอกไม้ที่บานสะพรั่งในท่ามกลางป่าเขา เส้นผมเงางามที่ยาวสยายไหลลงบ่าของเธอเผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามผุดผาด
เสียงแซวของกลุ่มชายฉกรรจ์ดังขึ้น ดังกว่าความครึกครื้นของตลาด เสียงของพวกมันก้องกังวานไปทั่วทุกมุม ทำให้ทุกคนในตลาดต้องหันมามอง
“โอ้โห! สาวสวยมาเยือนป่าของเราแล้ว!” หนึ่งในพวกเขาเปล่งเสียงด้วยความท้าทาย ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวและรอยยิ้มที่ดุร้าย “ไม่เคยเห็นสาวสวยแบบนี้มาก่อนเลย!”
“วันนี้เรามีโชคดีจริงๆ!” อีกคนหนึ่งพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะ “มากับพวกเราไหมน้องสาว!”
เสียงหัวเราะและการแซวอย่างป่าเถื่อนของพวกมันทำให้ตลาดดูเหมือนจะหยุดชะงัก ผู้คนรอบข้างต่างหันมามอง
มีนาเองรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาและเสียงหัวเราะของชายฉกรรจ์ที่เป็นการแสดงออกถึงความหยาบคายและไม่เป็นมิตร มือของเธอสั่นระริก
ป้าพิศ: (จับแขนของมีนาอย่างมั่นคง) "อย่าตกใจไปเลยนะ มีนา ฉันจะพาเธอออกไปจากที่นี่เอง"
ชายฉกรรจ์: (ส่งเสียงดัง สแยะยิ้ม) "จะไปไหนเล่า? มาสนุกด้วยกันก่อนสิ๊!
ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดถึงจุดสูงสุด หนึ่งในชายฉกรรจ์โผล่ออกมาจากกลุ่ม ชายคนนั้นเดินตรงไปที่มีนา เขาทำท่าทางเป็นการยั่วยุและทำหน้าตาอวดดี
“มานี่สิ!” เขากล่าวเสียงดังพร้อมกับยิ้มเยาะและเริ่มยื้อมือไปที่แขนของมีนา
มีนาแสดงอาการตกใจอย่างชัดเจน เธอพยายามถอยหนี แต่ชายฉกรรจ์จับแขนของเธอไว้แน่น ความกลัวเริ่มทำให้เธอสั่นสะท้าน มือของเธอพยายามดึงกลับ แต่ความพยายามของเธอกลับไม่ได้ผล
มีนา: (เสียงดังลั่น ขณะพยายามดึงแขนออก) "ปล่อยฉันนะ!
ชายฉกรรจ์คนนั้นยังคงจับแขนของมีนาไว้แน่น เขาดูเหมือนจะสนุกกับการเล่นกับความกลัวของเธอ ขณะที่เพื่อนของเขายืนอยู่ข้างๆ และหัวเราะคิกคัก บรรยากาศรอบตัวมีนาเต็มไปด้วยความท้าทายและความป่าเถื่อน
ทันใดนั้น เสียง “ฉับ!” ดังขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงแปลบปราบวาววับสะท้อนแสงยามบ่าย ชายฉกรรจ์ที่พยายามจับตัวมีนาอยู่ถึงกับร้องลั่นเมื่อแขนของเขาถูกฟันขาดวิ่นลงมาด้วยดาบคมกริบ
เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากบาดแผลที่สดๆ และเสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังกึกก้องไปทั่วตลาด ชายที่ถูกบาดเจ็บทรุดตัวลงกับพื้น มือของเขากำลังพยายามจับแขนที่ขาด ส่วนกลุ่มชายฉกรรพากันลุกพรวดขึ้นเพื่อต่อสู้ แต่ต่างก็ตกใจ เมื่อเหล่าชายฉกรรจ์ลุกขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ แต่แล้วความตื่นเต้นและความระทึกก็มาถึงขีดสุดเมื่อมองเห็นชายชุดดำในผ้าขาวม้าดำ ร่างสูงใหญ่ได้ถนัดตารังสีอำมหิตที่น่าหวาดหวั่นแผ่ออกมาในบริเวณนั้นอย่างชัดเจน
เมื่อเหล่าชายฉกรรจ์ได้เห็นใบหน้าของชายชุดดำ ความกลัวเข้าครอบงำพวกเขาทันที ขนหัวลุกและร่างกายของพวกเขาสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ชายชุดดำยืนอยู่ในท่าทางที่สง่างามแต่เต็มไปด้วยความอำมหิต
หนึ่งในชายฉกรรจ์พูดด้วยเสียงสั่นเครือ ใบหน้าขาวซีด และมือที่สั่นสะท้าน "พะ... พะ พี่ นั่นพ่อพรายรพี!" น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน ขนที่แขนลุกชัน ร่างกายของเขาสั่นเทา เขารู้ดีว่าการได้เห็นพรายรพีในสถานการณ์เช่นนี้คือการเผชิญหน้ากับความตายอย่างแท้จริง
พรายรพียืนอยู่กลางตลาดในท่าทางที่ดุดันและทรงพลัง ความมืดของผ้าขาวม้าดำรอบตัวเขาเพิ่มความน่าสะพรึงกลัว ทำให้ความน่ากลัวของเขา
พรายรพี: (ส่งเสียงอำมหิตด้วยความโกรธจัด) "เอ็งคิดว่าเอ็งแตะต้องของของใครอยู่วะ? เสียงดังลั่น
หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่ยังคงสั่นเทาและหายใจหอบหนัก พยายามกลั้นความกลัวให้ได้ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “พะ... พะ พวกเราไม่รู้ว่าเป็นเมียพ่อพรายรพี คะ คะ ครับ!” เขาเงยหน้ามองพรายรพีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว มือของเขาสั่นเทาและเหงื่อไหลลงมาเป็นทาง ขนที่แขนลุกชัน เขารู้ดีว่าการล่วงเกินหรือไปแตะต้องของพ่อพรายรพีนั้นอาจจะเป็นความผิดที่ร้ายแรงที่หมายถึงชีวิตเลยทีเดียว
ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่รอบๆ เริ่มรู้ตัวถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ เขาเหลือบมองกันอย่างตกใจ และตัดสินใจที่จะยอมรับความผิดโดยเร็ว หนึ่งในนั้นยืนอยู่กลางตลาด มือสั่นและคอแทบจะขาด เขาโค้งตัวลงในท่าทางของการไหว้แบบถวายความเคารพ เสียงของเขาสั่นเครือและกระท่อนกระแท่น “พะ... พะ พวกเรา ขะ ขะ ขอโทษครับนาย...” เขาพูดออกมาได้แค่เพียงนี้ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงสะท้อนของความหวาดกลัวจากคนรอบข้าง
เสียงของเขากระทบกับอากาศรอบๆ ทุกสายตาจับจ้องไปที่พรายรพีซึ่งยืนตระหง่านอยู่ในชุดดำที่มีผ้าขาวม้าดำ พรายรพีเองนั้นยังคงนิ่งสงบ ขณะที่บรรยากาศรอบตัวเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและหวาดกลัว การไหว้ขอโทษและเสียงสั่นของชายฉกรรจ์เป็นการยอมรับความผิดอย่างชัดเจนและทำให้ทุกคนเห็นถึงความเกรงกลัวที่เขามีต่อพรายรพี
“ไป๊!” เสียงพรายรพีดังก้องคล้ายกับคำสั่งจากยมโลก เสียงคำสั่งที่ดังกึกก้องและเต็มไปด้วยอำนาจของพรายรพีดังกังวานไปทั่วตลาด เมื่อเสียงคำสั่งจากพ่อพรายรพีสิ้นสุดลง
เหล่าชายฉกรรตะเกียกตะกายไปคนละทิศละทาง หวังว่าความเร็วของพวกเขาจะพาพวกเขาออกจากความตายที่คุกคาม พวกเขาเสียงหอบหายใจอย่างรุนแรง เสียงหายใจที่หนักหน่วงกลบเสียงตลาดที่คึกคัก
บางคนสะดุดล้มลงบนพื้นดิน เหลือบมองกลับไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ขาของพวกเขาสั่นระริกและดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิต ตอนนี้กลายเป็นฉากแห่งความเงียบที่น่าสะพรึงกลัว เหล่าชายฉกรรทิ้งความระทึกและความหวาดกลัวไว้เบื้องหลัง ตลาดที่เคยเสียงดังจึงเงียบสงัด