กลิ่นแอมโมเนียอ่อน ๆ ทำให้เกศรินทร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าศิวายังนั่งยิ้มหน้าระรื่นในขณะที่ถือก้านสำลีจ่อไว้ที่ปลายจมูกของเธออยู่บนโซฟาภายในห้องชองกชกร หญิงสาวจึงเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที
“นี่ยังไม่กลับไปอีกเหรอ”
“ชู่ เบา ๆ สิ” เขาว่าพลางชี้ไม้ชี้มือไปที่บนเตียงเพื่อจะบอกให้รู้ว่าผู้เป็นแม่กำลังนอนหลับอยู่ เกศรินทร์จึงเบาเสียงลงเป็นเสียงกระซิบแทน
“กลับไปได้แล้ว แล้วก็ไม่ต้องมาอีก”
“ได้ไงล่ะ เธอตกลงเป็นแฟนฉันแล้วนี่” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะหันไปแกะอาหารในกล่องที่เขาเพิ่งสั่งมาเตรียมไว้ให้หญิงสาว
“เดี๋ยวนะ ฉันไปตกลงเป็นแฟนคุณตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ยังไม่แก่เลย ทำไมความจำสั้นนักล่ะ ก็เมื่อกี้ไงก่อนเธอจะเป็นลมน่ะ ฉันเพิ่งจะขอเธอเป็นแฟน เธอไม่ตอบแต่เธอจูบฉันแทน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตกลง” เขาพูดเองเออเองพลางหยิบไก่ทอดในกล่องออกมาเป่าเบา ๆ สองสามครั้งแล้วป้อนให้อีกคน
“ทุเรศที่สุด คนอย่างฉันนี่อ่านะ จะไปเป็นแฟนคุณ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอจูบฉันทำไมล่ะ” ศิวาเอียงคอถาม โน้มใบหน้าลงมาใกล้จนอีกคนแทบไปไม่ถูก
“ฉันเห็นแก้วมาต่างหาก”
“ก็เลยใช้ฉันเป็นเครื่องมือสินะ”
“เออ รู้แล้วก็ออกไปสิ” ดวงตาคู่งามวูบไหวเมื่อเขายังจับจ้องใบหน้าเธออยู่นาน ไม่มีท่าทีว่าจะลุกไป “บอกให้ออกไปไง”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงเธอก็ต้องรับผิดชอบ”
“รับผิดชอบยังไง เมื่อก่อนฉันเห็นคุณเที่ยวจูบกับใครเขาไปทั่ว ไม่เห็นจะมาเรียกร้องอะไรเลย”
“ก็เพราะว่าฉันไม่ต้องการไง อยากได้แค่จากเธอคนเดียวนี่แหละ” พูดจบจึงโน้มกายลงไปหอมแก้มเนียนใสนั้นด้วยความไวปานสายฟ้าแลบก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเพื่อหลบปลายเท้าที่หมายจะฟาดมาได้ทันเฉียดฉิว
“คุณนี่มันฉวยโอกาสที่สุดเลย!”
“แค่แสดงความรักกับแฟน ฉวยโอกาสตรงไหน”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่แฟนคุณ” เกศรินทร์ขบกรามแน่น ถ้าไม่ติดว่ากชกรอยู่ในห้องด้วยล่ะก็เธอตะบันหน้าเขาไปแล้ว
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่...แต่ฉันน่ะเป็นเธอแล้วนะ”
“นี่คุณ คุณต้องการอะไรกันแน่ ถ้าคุณอยากจีบแก้วน่ะก็ตามสบาย ฉันเปิดทางให้”
“คงไม่ทันแล้วล่ะมั้ง ก็เธอเล่นจูบฉันต่อหน้าเขาแบบนั้น” เขาตอบหน้าตาเฉยก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “ฉันคงต้องไปแล้ว เอาไว้เจอกันนะ อ้อ! แล้วของกินพวกนั้นน่ะ อย่าลืมกินเสียด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน นี่คุณ...เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ” เกศรินทร์รีบเดินตามเขาออกไปก่อนจะคว้าแขนกำยำนั้นไว้ได้ทัน
“ฮันแน่ จับไม้จับมือฉันแบบนี้ อย่าบอกนะว่าตกลงเป็นแฟนกับฉันแล้ว” ศิวายิ้มกริ่ม ปรายตามองมือเล็กที่กำลังจับแขนของเขาจนหญิงสาวรีบสะบัดมันออกทันที
“นี่คุณ ฉันอุตส่าห์ลดอคติในใจลงเพราะเห็นแก่ความดีของคุณแล้วนะ คุณอย่ามาเจ้าเล่ห์ได้ไหม”
“งั้นมีอะไรก็ว่ามาสิ”
“ฉันก็แค่อยากขอบคุณ” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยลอดไรฟันออกมาพลางเสมองไปทางอื่นเพราะกลัวว่าจะเสียฟอร์ม
“เรื่อง...”
“ก็เรื่องค่ารักษาแม่ฉันไง”
“ไม่เป็นไร ก็คนเป็นแฟนกันมีอะไรก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว” ศิวาหันหน้ามาประสานสายตากับหญิงสาวจนอีกคนรีบหลบสายตาอันตรายคู่นั้นแทบไม่ทัน
“ฉันไม่รู้ว่าคุณมาไม้ไหน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยญาติดีกันอยู่แล้ว แต่เห็นแก่ที่คุณอุตส่าห์ยื่นมือมาช่วยในวันที่ลำบาก ฉันก็ขอขอบคุณ...ส่วนเรื่องเงินฉันจะจะรีบหามาทยอยใช้คืนให้”
“ทำไมต้องคืนล่ะ ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่” เขายักไหล่ตอบเหมือนกับว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย “เงินน่ะฉันไม่ต้องการหรอก อยากได้อย่างอื่นมากกว่า”
“ขอนามบัตรด้วยค่ะ”
“หืม” คิ้วคมขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อเกศรินทร์ตัดบทเสียดื้อ ๆ
“อย่าโมเมว่าฉันเริ่มพิศวาสคุณล่ะ ฉันก็แค่เก็บไว้...แล้วจะติดต่อไปเมื่อฉันหาเงินมาได้มากพอจะใช้คืน”
“ก็ได้” ชายหนุ่มไม่พูดอะไรต่อก่อนจะหยิบนามบัตรในกระเป๋าส่งให้ เกศรินทร์หนึ่งใบ
“หวังว่าคุณจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับฉันอีก” เป็นคำบอกลาอ้อม ๆ แต่ใช่ว่าเขาจะฟัง
“เรื่องนั้นไม่รับปากนะ”
“นี่คุณ!” ไม่ทันจะอ้าปากต่อว่าอะไร คนเจ้าเล่ห์ก็ออกจากห้องไปเสียก่อน ครั้นจะเปิดประตูตามออกไปก็กลัวว่าเขาจะว่าไปตามตื๊อเอาอีก คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้อง ทรุดกายนั่งลงบนโซฟาเหลือบมองของกินมากมายที่เขาซื้อมาให้พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
จะว่าไปเธอเองก็ไม่ได้กินของดี ๆ แบบนี้มานานแล้วเหมือนกันเนื่องจากต้องประหยัดเก็บเงินไว้รักษากชกร
แม้จะห้ามใจไว้ยังไงก็ไม่อาจทนต่อความหิวได้ มือเรียวจึงยกไก่ชิ้นโตที่ศิวาจะป้อนให้ก่อนหน้าขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าของอาหารเหล่านั้นยังคงแอบมองอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปาก
“ฉันนี่แหละ จะเป็นคนเปลี่ยนทอมให้เป็นเธอเอง”
ศิวายืนมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินจากไปเพราะจะต้องไปเข้าประชุมที่บริษัทต่อ
ส่วนเกศรินทร์นั้นหลังจากทานข้าวจนอิ่มหนำสำราญก็ต้องอาบน้ำเช็ดตัวให้กชกรก่อนที่จะต้องออกไปช่วยทำงานที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้กับโรงพยาบาลเพื่อแลกกับค่าแรงรายวันเล็ก ๆ น้อย ๆ วนเวียนอยู่เช่นนั้นจนถึงวันที่กชกรเข้ารับการผ่าตัด
โชคดีที่ผลข้างเคียงหลังการผ่าจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสักระยะ โดยที่ไม่ได้บอกความจริงกับขจรเรื่องเงินค่ารักษาแต่อ้างว่าได้ทำการผ่อนจ่ายกับทางโรงพยาบาลแทน
“เดี๋ยวหนูมานะลุง ฝากดูแลแม่แป๊บนึง” ผู้เป็นหลานกระซิบบอกเพราะเกรงว่ามารดาจะตื่น
“เอ็งจะไปไหน ก็เห็นบอกว่าที่ผับนั่นไล่แกออกแล้วไม่ใช่รึ” ขจรเอ่ยถามเมื่อเห็นเกศรินทร์สะพายกีตาร์คู่ใจเดินออกไปจากห้อง
“หนูไม่ได้ไปทำงานที่ไหนหรอก แต่จะไปร้องเพลงเปิดหมวกต่างหาก ไปก่อนนะลุง”
หญิงสาวตอบแล้วจึงเดินออกจากห้องไป มุ่งหน้าไปยังแหล่งการค้าแถวโรงพยาบาลที่ ๆ มีคนค่อนข้างสัญจรไปมาเยอะพอสมควร
มือเรียวกระชับกีตาร์คู่ใจให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเริ่มบรรเลงบทเพลงอันแสนไพเราะ ผู้คนรอบข้างเริ่มหันมาให้ความสนใจบ้างก็เริ่มหยิบเศษเงินในกระเป๋ามาโยนไว้ให้ แต่สิ่งที่ทำให้เกศรินทร์แปลกใจก็คงจะเป็นธนาบัตรสีเทาจำนวนหนึ่งซึ่งถูกร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเข้มวางมันไว้ในกระเป๋า
ในคราแรกหญิงสาวคิดว่าจะต้องเป็นศิวาที่ตามจองล้างจองผลาญไม่จบไม่สิ้นจึงต้องหยุดเสียงเพลงแล้วรีบหยิบเงินเหล่านั้นคืนเขากลับไป แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า กลับพบว่าเขาคือเอกภพบิดาของแก้วเจ้าจอมหาใช่ศิวาตั้งแต่ทีแรกที่คิดไว้ไม่
“คุนลุง...”
“ฉันชอบเพลงของเธอมากเลย ฟังดูอบอุ่นทำให้ฉันคิดถึงใครบางคน” คนสูงวัยกว่ายิ้มอย่างมีเมตตา
“ขอบคุณนะคะที่ชอบ แต่หนูว่าเงินนี้มันเยอะเกินไป” เกศรินทร์ว่าพลางส่งมันคืนกลับไปด้วยความเกรงใจ “ถ้าคุณลุงชอบจริง ๆ ให้หนูแค่นิด ๆ หน่อยก็พอค่ะ”
“รับไปเถอะ ถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากฉัน“
“แต่ว่า...”
“มาร้องเพลงแถวนี้บ่อยเหรอ ทำไมฉันไม่เคยเห็น” เอกภพรีบตัดบทเสียก่อนที่เกศรินทร์จะอ้าปากท้วงขึ้นมาอีกครั้ง
“เปล่าหรอกค่ะ หนูพาแม่มาหาหมอ หนูก็เลยมาร้องเพลงหาเงินรักษาแม่ด้วย”
“หนูเป็นเด็กดีมากเลยรู้ไหม พ่อแม่คงจะภูมิใจในตัวหนูมาก” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นพรอ้มด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็น
“หนูไม่มีพ่อหรอกค่ะ หนูมีแต่แม่” เกศรินทร์ยิ้มตอบแม้จะแอบซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ลึก ๆ ก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้น หนูก็ยิ่งสมควรรับเงินนี่ไว้รักษาแม่”
“แต่มันเยอะเกินไปจริง ๆ ค่ะ คุณลุงเอาคืนไปเถอะ”
“ฉันต้องไปก่อนแล้ว หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ” เอกภพตัดบทยิ้มให้อย่างเป็นมิตรอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถที่ถูกจอดไว้หลังจากที่เดินทางมาตรวจดูธุรกิจสาขาย่อยแถวนี้อยู่เป็นประจำ
เกศรินทร์ยืนจับจ้องแผ่นหลังของคนสูงวัยกว่าจนกระทั่งรถค่อย ๆ ออกสู่ถนนใหญ่ ในมือยังถือธนบัตรเอาไว้แน่น อดคิดถึงแก้วเจ้าจอมขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
เงินจำนวนนี้ถ้าหากเทียบกับคนรวยล้นฟ้าอย่างเธอแล้วมันคงจะเป็นแค่เศษเงิน แต่สำหรับเกศรินทร์นัั้นมันมากมายพอที่จะต่อชีวิตไปได้อีกหลายวันเลยทีเดียว
ศิวารีบจัดการสะสางงานให้เสร็จเรียบร้อยหลังจากที่ไม่ได้ไปหา เกศรินทร์เลยตลอดสามวัน จะมีก็แค่ทางโรงพยาบาลติดต่อมาเรื่องค่าใช้จ่ายเท่านั้นที่พอจะทำให้เขารู้ว่าการผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี วันนี้เขาจึงวางแผนจะเข้าไปเยี่ยมเยียนดูอาการของกชกรเสียหน่อย
“จะรีบไปไหนตาศิ เลิกงานแล้วไม่คิดจะพาแม่ไปทานข้าวบ้างรึไง” เสียงมารดาดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้คนที่กำลังรีบเร่งต้องหันกลับไปดู ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเจื่อนลงทันทีเมื่อพบว่ารุจิรากำลังเดินเคียงคู่มากับชาวี
“ก็ให้ลูกชายคนโปรดคุณแม่พาไปสิครับ”
“ตาศิ นี่เราประชดแม่เหรอ”
“เปล่านะครับ ผมก็แค่ว่าไปตามจริง” เขายักไหล่ตอบปรายตามองน้องชายต่างสายเลือดอีกครั้งด้วยความไม่ชอบใจ
“แล้วแกจะรีบไปไหน อย่าบอกนะว่าจะไปผับตั้งแต่หัววัน”
“โถ่แม่ ช่วงนี้อ่ะผมปรับปรุงตัวไม่เข้าผับแล้ว แต่เข้าโรงพยาบาลแทนต่างหาก”
“โรงพยาบาล...ไปทำไม”
“พอดีแม่เกดเขาป่วยน่ะครับ ผมก็เลยว่าจะไปเยี่ยม” สีหน้าของรุจิราดูเหมือนจะเปลี่ยนไปทันทีที่ศิวาพูดจบ
“เกด ชื่อแฟนแกเหรอ สรุปว่านี่...จริงจังแล้วใช่ไหม แล้วเมื่อไหร่จะพามาเจอแม่ล่ะ” มารดาลั่นคำถามรัวจนชายหนุ่มตอบแทบไม่ถูกจึงรีบตัดบท
“ก็คงเร็ว ๆ นี้แหละครับ ผมไปก่อนนะ”
ร่างสูงโปร่งก้าวลงจากรถซุปเปอร์คาร์โดยที่ไม่ลืมซื้อของกินอร่อย ๆ มาฝากเกศรินทร์ด้วยเพราะทราบดีว่ารายนั้นคงจะประหยัดตัวเป็นเกลียวจนไม่ได้หาอะไรลงท้องแน่ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องกลับพบแต่กชกรเพียงลำพังเท่านั้น
“อ้าวคุณ...”
“ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลย” เขารบปรามเมื่อเห็นว่ากชกรพยายามจะลุกขึ้น คนสูงวัยกว่าจึงค่อย ๆ เอนกายลงนอนตามเดิม
“เกดไม่อยู่หรอกค่ะ เห็นว่าออกไปทำงาน”
“งั้นเหรอครับ” เขาว่าพร้อมกับวางของกินไว้บนโต๊ะข้าง ๆ “คุณแม่หิวไหมครับ อยากกินอะไรไหม ผมซื้อมาเยอะแยะเลย”
“คุณเป็นแฟนกับเกด จริง ๆ เหรอคะ” กชกรไม่ตอบแต่กลับเป็นฝ่ายย้อนถามกลับไป
“เอ่อ...ครับ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ จริง ๆ ผมกำลังตามจีบเธอมากกว่า”
“ดูจากการแต่งตัวคุณแล้ว คุณไม่ใช่คนระดับเดียวกับเรา...คุณไม่ได้มาหลอกเกดใช่ไหมคะ” น้ำเสียงสั่นเครือดังขึ้นอีกครั้ง สายตาร่วงโรยมองเขาแทบไม่กระพริบ จนศิวารู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมคุณแม่คิดแบบนั้นล่ะครับ”
“ก็เพราะว่าฉันเคยผิดหวังมาแล้วไงคะ ฉันเลยไม่อยากให้ลูกสาวฉันต้องเจ็บ อีกอย่าง...ถ้าคุณจะจีบเธอก็คงยากหน่อย ตั้งแต่ฉันรู้มาเกดเขาไม่เคยชอบผู้ชาย”
“ข้อนั้นผมรู้ดีครับ ผมจะเปลี่ยนเขาเอง” ศิวาก้มหน้าหลุบตาตอบ แอบรู้สึกผิดที่ต้องโกหกออกไปทั้งที่ความจริงเขาต้องการแค่จะเอาคืนเกศรินทร์ที่ทำให้เขาต้องอับอายจนเกือบถูกตัดออกจากกองมรดกเท่านั้น
“เรื่องค่ารักษา ฉันต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะ เอาไว้ฉันหายดีฉันจะรีบหามาคืนคุณให้เร็วที่สุด”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร ผมยินดีช่วย”
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องคืนคุณค่ะ บอกตรง ๆ ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่คุณจะมาจีบลูกสาวฉัน”
“...” ศิวานิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร ยิ่งได้รู้จักเกศรินทร์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่แสดงออกมาเลยสักนิด
“เราต่างกันเกินไป...หวังว่าคุณคงเข้าใจนะคะ”
เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกต้อนให้จนมุม เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องการผ่าตัดและอาการของกชกรแทน พูดคุยกันอยู่นานกระทั่งเวลาล่วงเลยมาพอสมควรก็ยังไม่มีวี่แววว่าเกศรินทร์จะกลับมา ศิวาจึงเป็นฝ่ายต้องขอตัวกลับไปเสียเอง
แต่แล้วสองเท้าที่กำลังตรงไปที่โรงจอดรถก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นร่างแสนคุ้นตากำลังเดินเข้ามาหา
“คุณแก้ว”
“ค่ะ ฉันเอง” แก้วเจ้าจอมอยู่ในชุดนักศึกษาหลังจากที่เลิกเรียนก็มาเยี่ยมกชกรทันที ทว่าไม่ทันจะเข้าไปในห้องก็เห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ก่อนแล้ว จึงตัดสินใจหันหลังกลับมาดักรออยู่ด้านนอกแทน
“มาเยี่ยมคุณแม่เกดเหรอครับ”
“ตอนแรกน่ะใช่ แต่ตอนนี้อยากคุยกับคุณมากกว่า”
ศิวาชะงักกึก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเมื่อแก้วเจ้าจอมอยากคุยด้วย เขาจึงยอมตามหญิงสาวไปหาที่นั่งในร้านกาแฟเล็ก ๆ ใกล้กับโรงพยาบาลอย่างว่าง่ายก่อนจะเปิดประเด็นสนทนาทันที
“คุณแก้วมีอะไรจะคุยกับผมงั้นเหรอครับ”
“แก้วขอถามแบบตรง ๆ เลยนะคะ” คนตรงหน้ามองตาเขาแทบไม่กระพริบ “คุณต้องการอะไร”
“ต้องการอะไร...หมายความว่าไงครับ”
“ก็...ก่อนหน้านี้คุณมีท่าทีว่ากำลังจีบฉันอยู่ แล้วทำไมตอนนี้คุณถึงมาสนใจเกดได้ล่ะคะ” แก้วเจ้าจอมเอ่ยถามออกไปตรง ๆ ศิวาก็ตอบกลับไปตามตรงเช่นกัน
“ก็เพราะว่าผมจะจีบเกดไง”
“แต่เกดเขาไม่ชอบผู้ชายนะคะ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าเราเคยคบกัน”
“แล้วไงล่ะ” เขารู้ดีว่าแก้วเจ้าจอมต้องการจะบอกอะไร ไม่ใช่ว่าเธอกำลังสนใจเขา แต่เป็นเพราะกำลังหวงก้างเกศรินทร์ต่างหาก
“แต่ว่าแก้วยังรู้สึกดีกับคุณอยู่นะคะ” แก้วเจ้าจอมถึงกับหน้ากับคำตอบของเขา มือเรียวยกขึ้นไปจับมือของเขาไว้แน่น จนอีกคนเริ่มอ่อนไหว
เขามันพวกติดไฟง่ายเสียด้วยสิ
“ถ้างั้นผมจะแกล้งลืมเกศรินทร์ไปสักแป๊บ...” เขาพูดยังไม่ทันจบ นัยน์ตาคมกริบที่เสมองออกไปนอกร้านก็สะดุดเข้าไปร่างที่แสนคุ้นตาเสียก่อน ทำให้คำพูดที่ว่าจะลืมไปเมื่อครู่นั้นถูกกลืนหายไปทันที “ผมขอตัวนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนสิคะ” เสียงของแก้วเจ้าจอมถูกกลืนไปกับสายลมเมื่อศิวาไม่ได้ตั้งใจจะฟังอีกต่อไป
ชายหนุ่มรีบเปิดประตูร้านออกไปด้วยความร้อนใจด้วยความอยากรู้ว่าเกศรินทร์กำลังจะรีบร้อนไปไหนเพราะทางที่กำลังไปไม่ใช่ตึกที่กชกรรักษาตัวอยู่แน่นอน
ศิวาแอบเดินตามไปเงียบ ๆ ก่อนจะพบว่าหญิงสาวหายเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งใกล้กับโรงพยาบาล ทีแรกเขาคิดว่าเกศรินทร์จะเข้าไปซื้อข้าวแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวสวมเสื้อกันเปื้อนเดินเสิร์ฟอาหารให้คนในร้านอย่างคล่องแคล่ว
“ใจคอจะทำมันให้หมดทุกงานเลยรึไง” เขายืนมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะที่ว่างอยู่อย่างใจเย็น ผ่านไปครู่หนึ่งเกศรินทร์จึงออกมารับออเดอร์
“จะรับอะไรดีคะ”
“ไม่รู้สิ ยังนึกไม่ออกเลย” คนเจ้าเล่ห์เงยหน้ายิ้มตอบทำให้เกศรินทร์ถึงกับฉุนจัดทันทีที่เห็นหน้าเขา
“นี่คุณ คุณมาทำอะไรที่นี่ ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ฉันก็มากินข้าวสิ ปกติเธอพูดกับลูกค้าแบบนี้รึไง”
“ฉันไม่เชื่อหรอกนะ ว่าคนระดับคุณจะกินข้าวร้านแบบนี้” เกศรินทร์ฉุนจัด คิดว่าเขาจะเลิกราไปแล้วเสียอีก “เลิกรังควานตามจองเวรฉันสักทีเถอะ”
“เอาคะน้าหมูกรอบกับต้มยำกุ้งถ้วยนึง” อีกคนเอ่ยหน้าตาเฉยแล้วแกล้งหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเลื่อนดูข่าวสารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวจึงจำต้องเดินเข้าไปในร้านเพื่อสั่งอาหารให้เขา
เวลาผ่านไปชั่วครู่อาหารที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟให้ ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นเกศรินทร์ยังยืนจ้องอยู่เขาเลยต้องตักมันเข้าปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะพบกับคำว่าอร่อยอย่างน่าเหลือเชื่อ จากนั้นเขาก็ตักมันทานไปอีกหลายคำจนหมดภายในเวลาไม่กี่นาที แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมลุกออกไปจากร้าน
เกศรินทร์พยายามสลัดความคิดเรื่องของเขาออกจากหัวและโฟกัสสิ่งที่ต้องทำตรงหน้าเท่านั้น หลังจากที่เสร็จสิ้นจากงานหน้าร้านก็ต้องเข้าไปเคลียร์ถ้วยจานหลังร้านต่อ กระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงทุ่มเศษ ๆ ซึ่งเป็นเวลาร้านปิด หญิงสาวจึงขอตัวเดินทางกลับบ้านแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อออกมาพบว่าศิวายังนั่งรออยู่ที่โต๊ะเดิม
“มาแล้วเหรอ รอตั้งนานแน่ะ” เขายืนขึ้นเต็มความสูง บิดตัวเล็กน้อยเพื่อไล่อาการเมื่อยขบโดยที่ไม่ลืมวางธนาบัตรสีเทาจำนวนหนึ่งไว้บนโต๊ะเพื่อเป็นค่าเช่าโต๊ะนั้น
“คุณยังไม่กลับอีกเหรอ”
“ก็รอไปพร้อมเธอนี่ไง”
“คุณต้องการอะไรกันแน่ ถ้าเป็นเรื่องเงินฉันบอกแล้วไงว่าถ้ามีฉันทยอยคืน” คนตัวเล็กกว่ากระชากมือของเขาออกอย่างไม่ใยดี
“ฉันก็บอกไปแล้วนี่ว่าฉันต้องการอะไร”
“ฉันก็บอกไปแล้วเหมือนกันว่าฉันไม่ชอบผู้ชาย...โดยเฉพาะผู้ชายอย่างคุณ” เกศรินทร์สวนกลับอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อจะไปรอรถเมล์
“เธอไม่ขึ้นไปหาแม่ที่ห้องหรอกเหรอ”
“ฉันจะกลับบ้าน” หญิงสาวตอบไปตามตรงเพราะทิ้งบ้านมาหลายวัน อดเป็นห่วงบรรดาลูกสมุนหน้าซอยเสียไม่ได้ วันนี้ขจรอาสามาอยู่เป็นเพื่อนกชกรแล้วเลยว่าจะแวะเอาข้าวเอาน้ำไปให้พวกมันเสียหน่อย
“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ไม่จำเป็น รถคุณหรูหราฉันนั่งไม่ได้หรอก เดี๋ยวผื่นขึ้น”
“เธอนี่มัน...” ศิวาขบกรมแน่นเมื่อเห็นเกศรินทร์เดินขึ้นรถไปเขาจึงตัดสินใจเดินตามขึ้นไปด้วย
“เอ๊ะคุณ เมื่อไหร่จะเลิกตามรังควานฉันสักที ลงไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่!” เขาว่าพลางจับมือเล็กให้เดินเข้าไปนั่งด้านใน โดยให้เกศรินทร์นั่งชิดริมหน้าต่างส่วนเขานั่งลงข้าง ๆ
ตลอดทางหญิงสาวได้แต่นั่งเงียบ พยายามข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่ให้ระเบิดออกด้วยการหันหน้ามองไปยังทิวทัศน์ข้างนอกแทน ทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนั้น แต่แล้วความเหนื่อยล้าจากการทำงานและร้องเพลงตากแดดมาทั้งวันทำให้เกศรินทร์เผลอหลับซบลงไหล่กว้างนั้นด้วยความลืมตัว
ศิวาแอบจ้องมองเจ้าของใบหน้าหวานละมุนละไมนั้นอยู่นาน เขาไม่เคยรู้เลยว่าในโลกใบนี้จะมีคนอย่างเกศรินทร์อยู่ด้วย หญิงสาวตรากตรำทำงานหนักแทบทุกอย่างเพื่อจะหาเงินมารักษามารดาแม้ว่าเขาจะหยิบยื่นเงินให้แบบฟรี ๆ ก็ไม่ยอม จนมันทำให้ชายหนุ่มอดรู้สึกผิดเสียไม่ได้ที่เป็นสาเหตุให้เกศรินทร์ต้องถูกไล่ออกจากงาน