บทที่ 2 ลางร้าย (ตอนที่ 1)

3486 คำ
“อา...” มือใหญ่จับขวดวิสกี้ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วลุกเดินฝ่าฝนเข้าในเขตตัวบ้านอย่างไม่รีบเร่งนัก ราวกับว่า... เม็ดฝนที่ตกโปรยจนทั้งตัวเปียกปอนไปหมดนั้นไม่ได้สะเทือนถึงความรู้สึกแม้แต่น้อย             จิตใจเขามันเฉาชาไปหมดแล้ว... แต่ก็ไม่อยากนั่งดื่มกลางสายฝนฟ้าที่ตกเทแบบไม่นึกลืมหูลืมตา เพราะเวลาก็ล่วงค่ำเข้าไปแล้วด้วย ร่างใหญ่เดินเข้าในบ้านทั้งที่ตัวเปียก เขาไม่อยากกลับมาสักนิด แต่ก็ยังมีความหวังว่าลลินดาอาจจะยอมกลับมาเปิดใจรับฟังคำเจรจาจากเขา             วันนี้ทั้งวันชายหนุ่มพยายามตามตัวภรรยาสาว... ทั้งไปบ้านของแม่ยายที่ไม่มีใครยินดีต้อนรับ แต่เขาก็ยังบุกเข้าไปจนได้ แต่ก็นั่นแหละ... ลลินดาไม่ได้อยู่ที่นั่น แม้กระทั่งเพื่อนสนิทของหล่อนกี่คนต่อกี่คนก็ไม่มีใครรู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวใด ๆ เลย             สุดท้าย... ก็ต้องโผผินกลับคืนเรือนหอ อย่างน้อย ๆ ทุกความทรงจำดี ๆ ระหว่างเขาและหล่อนก็ยังอบอวลอยู่ทุกตารางนิ้ว รวมไปถึง... ความบาดหมางที่ยังไม่อาจหาทางเยียวยา             “หึ...” สายตาสาดเหลือบแลไปยังห้องนอนอีกฝั่งที่ทำให้เขาต้องเผชิญปัญหาชีวิตคู่ ห้องปิดสนิท... เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าของห้องนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะไม่ได้สนใจถามถึงเลย             ไม่จำเป็น... มือกำขวดวิสกี้ที่ยังเหลือน้ำเมาอยู่ค่อนขวดแน่นจนเห็นเส้นเอ็นนูนปูดโปน             ปัง!! เพล้ง!! ขวดแก้วนั้นถูกปาเต็มแรงบุรุษไปกระทบกับประตูห้องที่สายตาคมเข้มเขม่นมองเคร่งขรึม เศษแก้วแตกกระจายเกลื่อนพื้น น้ำเมากระเด็นติดทั้งประตู ฝาผนังและพื้นตามแรงอารมณ์กราดเกรี้ยว หากนึกย้อนกลับไปคิดทบทวนดี ๆ สัตตบงกชเป็นคนเอาเหล้าเข้ามาให้เขา ก่อนจะขอตัวขึ้นไปนอน             และเขาก็นั่งดื่มจนดึก... หลังจากนั้นก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งช่วงเช้า             ทั้งที่... การดื่มก็ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา ต่อให้เมาแค่ไหนก็ไม่เคยไร้สติจนเลอะเลือนความทรงจำสูญสิ้น... อย่างเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา             สันกรามขบเข้าหากันแน่นจนเกิดเสียงกรอดผ่านไรฟันหันกลับมาเปิดประตูห้องตัวเองแล้วย่างเท้าเข้าไปทันที มือหนึ่งดึงประตูกระแทกปิดไม่เบาแรงนักตามอารมณ์ที่กำลังฉุนเฉียว             นี่เขาต้องนอนร่วมบ้านกับผู้หญิงที่เพิ่งทำให้ครอบครัวของเขากับภรรยาแตกหักไม่มีชิ้นดีอย่างนั้นเหรอ ในคืนที่ฝนฟ้ากระหน่ำตกไม่ลืมหูลืมตา เมียรักต้องจากจรหนีไปอยู่ไหนเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ แต่คนก่อปัญหาร่วมกับเขากลับยังอาศัยอยู่ภายใต้หลังคาบ้านที่เพิ่งถูกสุมไฟจนวายวอด             พิรเดชหายลับเข้าไปในห้องน้ำเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกปอนน้ำฝนและชำระร่างกาย ก่อนจะกลับมานั่งบนเตียงใหญ่เปิดโน้ตบุ๊กเช็กความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของลลินดาผ่านเพื่อนพ้องที่ได้ติดต่อขอความช่วยเหลือไป เสียงฟ้าด้านนอกยังคงคำรามราวกับมีพายุใหญ่ทั้งที่ไม่มีวี่แววมาก่อน             สายฟ้าสาดฟาดแสงเป็นระยะในขณะที่จิตใจของชายหนุ่มยังคงจดจ่ออยู่กับการตามหาภรรยาผ่านเพื่อนทางโซเชียล รวมถึงระดมส่งข้อความหาเจ้าหล่อนนับสิบข้อความ แต่ก็ยังไร้การตอบรับ...             ลลินดาไม่ได้ออนไลน์เลยเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ เข้าไปแล้ว พิรเดชร้อนรุ่มในใจยิ่งนัก เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เวลาล่วงเลยถึงขั้นหย่าร้างอย่างแน่นอน             “โธ่เว้ย!!” โครม! โน้ตบุ๊กยี่ห้อดังถูกมือใหญ่ปัดกระเด็นลงจากโต๊ะข้างหัวเตียงอย่างไม่แยแสเมื่อทุกอย่างไม่สมกใจที่มันร้อนรุ่ม หลายชั่วโมงที่เขาสืบเสาะแกะรอยจากช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างเปล่าประโยชน์ ดังเช่นเดียวกันกับที่วันนี้ทั้งวันก็ออกไปขับรถตามหาแต่ก็คว้าน้ำเหลว             ตกดึกสงัด... ฝนยังคงตกเทไม่ขาดสายดั่งเช่นใจเขาก็กระวนกระวายไม่ลดละเช่นกัน แม้ตัวเขาเองและลลินดาจะมีปัญหาทะเลาะกันบ่อยครั้ง ซึ่งโดยส่วนมากแล้วก็เป็นแค่เรื่องพ่อแง่แม่งอนตามประสาคู่ผัวตัวเมีย หญิงสาวเป็นลูกคนเดียว ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี แน่นอนว่ามารดาของหล่อนเอาใจและทุ่มเทสารพัด ลลินดาจึงเติบโตขึ้นมาท่ามกลางคนรอบข้างที่ต้องยอมให้กับหล่อน...             แต่นั่นไม่ได้มีอะไรเลวร้าย เพราะหล่อนเป็นคนจิตใจดี มีเมตตาอาทรต่อผู้อื่นเสมอ อารมณ์ร้าย... แต่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ขี้โมโหแต่ก็มีเหตุผล ไม่เสแสร้ง เกลียดก็เกลียด ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ตรงไปตรงมา แต่ไม่กระโชกโฮกฮากอย่างคนไร้การอบรม หล่อนมีเสน่ห์ซ่อนเร้นอยู่ในตัวมากมายน่าค้นหา             เขาจึงรักลลินดา... โดยไม่ต้องมีข้อแม้ใด ๆ ให้มากความ             ทุก ๆ ครั้งเมื่อมีปากเสียงกันไม่ว่าเรื่องใด หญิงสาวมักหลบหน้ากลับไปพักอยู่กับมารดาที่บ้านเดิมเสมอ เขาจึงต้องเป็นฝ่ายตามไปง้อถึงที่เป็นประจำ บางครั้งสองวันสามวันก็รั้งตัวเมียรักกลับมาได้             แต่บางครั้ง... หล่อนก็โกรธเขาจริงจังกินเวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะปรับความเข้าใจกันได้             เช่นครั้งนี้ที่ก่อให้เกิดปัญหาลุกลามก็เช่นกัน... เขาและหล่อนห่างเหินกันอยู่ร่วมสองสัปดาห์ ทะเลาะกันเพียงเพราะหญิงสาวไม่เห็นด้วยกับการยื่นซองประมูลโครงการก่อสร้างรีสอร์ตแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้ว่าจ้างเป็นคนรู้จักกับดาริน แต่หล่อนไม่ใคร่ชอบใจให้ร่วมงานนัก สาเหตุมาจากเหตุใดนั้นเขาไม่เคยถาม เมื่อผลการประมูลปรากฏว่าเขาได้เซ็นสัญญากับโครงการดังกล่าว ปัญหาก็เกิดขึ้นในครอบครัวทันที ลลินดายื่นคำขาดไม่ยอมให้ร่วมงานกับทางนั้น รวมถึงต่อว่าที่ชายหนุ่มไม่ยอมรับฟังคำทัดทาน ไม่ยอมปรึกษาก่อนจะตัดสินใจ เหมือนเห็นหล่อนไม่มีความสำคัญ... ความจริงแล้วไม่ใช่เลย สำหรับเขาอะไรที่เป็นงานและแน่ใจว่าจะรับมือได้ เขาไม่เคยบ่ายเบี่ยง เพราะไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองเหมือนหล่อนกระมังจึงเล็งเห็นทุกงานที่เข้ามามีคุณค่าไปเสียทั้งหมด หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนบากบั่นขนาดนี้ มีหรือจะสามารถผลักดันตัวเองจนสามารถเคียงคู่กับดอกฟ้าอย่างลลินดาได้ ความแตกต่างก่อนหน้านี้มันก่อเกิดช่องว่างมากเหลือเกิน แต่เขา... ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองโดยการสมานรอยทางนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ ใช้เวลาเพียงสามปี เขาก็เพียรโหมงานจนสามารถมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นของตัวเอง จากแรกเริ่มที่เป็นแค่พนักงานสถาปนิกรับงานทั่วไป เพื่ออะไรล่ะ... ที่ต้องพยายามขนาดนั้น ก็เพื่อไม่ให้หญิงสาวที่เขารักเฝ้าถนอมต้องอับอายผู้คนว่าแต่งงานกับผู้ชายไม่เอาไหน ไม่สมฐานะ ทุกอย่างที่พากเพียรก็เพื่อความเสมอเหมือนสมบูรณ์แบบในชีวิตคู่ระหว่างเขาและหล่อน แล้วทำไม... มันถึงยังไม่เพียงพอสักที   เปรี้ยง!! สายฟ้าฟาดสาดแสงจนพสุธาสะเทือนทั่ว อสุนีบาตห้ำหั่นแผดจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าราวกำลังพิโรธโกรธาอย่างสุดแสน ร่างเล็กสั่นงกสะดุ้งไหวนั่งชิดกำแพงข้างมุมช่างน่าเวทนายิ่งนัก อากาศเย็นยะเยือกกัดกินเนื้อหนังลุกลามไปถึงกระดูก จนยามนี้เจ็บร้าวไปหมดทั้งร่างกาย พิษไข้กำลังเล่นงานให้หล่อนขาดใจ “คุณหนูนา! คุณหนูนาได้ยินป้าไหมลูก” ปัง! ปัง! “ป้าอิ่ม...” น้ำเสียงแหบแห้งครางชื่อเจ้าของเสียงที่เรียกหาฝ่าสายฝนอยู่ด้านนอกราวกับท้องฟ้าได้เปิดส่องสว่างในทันใด ป้าอิ่มแม่ครัวมือฉมังของที่นี่คงได้เบาะแสอะไรสักอย่างถึงตามหล่อนมาจนได้พบว่าถูกขังในบ้านร้างให้อยู่รอเวลาตายอย่างน่าสังเวช หล่อนรีบรวบรวมเรี่ยวแรงคืบคลานทีละน้อยไปที่ประตู ซึ่งป้าอิ่มกำลังทุบเรียกไม่ขาดปาก “ป้าอิ่ม... ช่วยหนูนาด้วย...” “คุณหนูนา ป้ามาช่วยแล้ว รอเดี๋ยวนะ ไอ้สมมันกำลังไปเอาชะแลงมางัดประตู” คนด้านนอกตะโกนบอกทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากข้างในแม้แต่น้อย เนื่องจากเสียงฟ้าและฝนกลบจนสิ้น อีกทั้งสัตตบงกชเองก็ไม่มีแรงพอที่จะเปล่งเสียงให้ดังแข่งกับวาตภัยที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ในขณะนี้ แต่อย่างน้อยก็ใจชื้นว่า... หล่อนไม่ต้องอยู่ท่ามกลางความมืดและอับชื้นในนี้โดยไม่มีใครรู้เห็น หญิงสาวหายใจหอบสั่น... ผิวกายชื้นเหงื่อแต่หล่อนกลับหนาวจนปากสั่นฟันกระทบและปวดหัวปวดเบ้าตาราวกับมีใครกำลังบีบจับกดรุนแรง เครื่องมือบางอย่างกำลังงัดแงะประตูอย่างที่ป้าอิ่มร้องบอก ไม่นานนักประตูก็ถูกปลดพันธนาการและเปิดออก แสงสลัวที่สาดเล็ดลอดเข้ามาทำให้ป้าอิ่มรีบโผเข้าไปกอดร่างเล็กซึ่งอิดโรยเต็มทีเอาไว้ในอ้อมอก นางเองก็ถูกละอองฝนจนเสื้อผ้าชื้นไปทั้งตัวแม้จะมีร่มติดไม้ติดมือมาด้วยก็ตาม “ไอ้สม มึงอุ้มคุณหนูนาไปที่ห้องพักป้าเร็วเข้า ตัวร้อนจี๋เลย ดูสิสั่นไปทั้งตัวเลยน่าสงสารจริง ๆ แม่คุณ” มืออวบอูมลูบไปตามแผ่นหลังและลำตัวของเด็กสาวด้วยความเห็นใจ ก่อนจะออกคำสั่งให้คนสวนช่วยเหลือพาไปทำการรักษาอาการเบื้องต้น หากขืนปล่อยเอาไว้เช่นนี้ หนทางรอดนั้นคงมีเพียงครึ่งของครึ่ง สมไม่พิรี้พิไรพยักหน้าว่าง่ายแล้วก็รีบอุ้มร่างเล็กออกจากบ้านร้างโกโรโกโสนั้นทันที โดยมีป้าอิ่มคอยถือร่มกางให้เดินเร็วตามกันไปติด ๆ “ตัวร้อนเป็นไฟ... อีอ้อนมันใจดำนัก นี่มันคิดจะแกล้งให้คุณหนูนานอนตายอยู่ในบ้านนั้นหรือยังไง” “ดีนะที่เอ็งมาเห็น ไม่อย่างนั้นคุณหนูนาแย่แน่ ๆ” “ฉันได้ยินมันคุยโทรศัพท์กับคุณนายดาริน... ทำนองว่าให้ไล่คุณหนูนาออกจากบ้าน พอถึงตอนเย็นก็เห็นมันเดินนำหน้าคุณหนูนาออกจากตึก แต่พามาที่บ้านนี่แหละ ก็เลยรีบวิ่งไปหาป้า” สมเล่าไปพลางรีบสาวเท้าไปให้ถึงที่พักโดยเร็ว เพราะทั้งสภาพอากาศและสภาพของเด็กสาวที่กำลังอุ้มอยู่ไม่ได้อำนวยให้อ้อยอิ่งเท่าใดนัก ฝั่งแม่ครัวใหญ่เองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับชะตากรรมของเด็กสาวกำพร้า ที่ยามนี้ดูเหมือนว่าโชคชะตาไม่ได้เข้าข้างเอาเสียเลย เรื่องเหม็นคาวฉาวโฉ่เป็นที่โจษจันไปทั่ว เนื่องจากอ้อนเที่ยวเอาไปป่าวประกาศโพนทะนา คนรับใช้ทุกคนในบ้านจึงทราบกันดีว่าตอนนี้ในบ้านกำลังมีหายนะร้ายแรงเกิดขึ้น แต่หลายคนก็ไม่เชื่อ...             “วางตรงนี้แหละไอ้สม เอ็งช่วยไปตามต้อยมันช่วยหาหยูกหายาเอามาให้ป้าด้วยนะ พอให้คุณหนูนาเธอกินแก้พิษไข้ไปพลาง ๆ ก่อน พรุ่งนี้เช้าเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน”             “จ้ะป้า” สมวางร่างอ่อนระทวยของสัตตบงกชลงบนเตียงของป้าอิ่มแล้วผละตัวจากไปในทันที ป้าอิ่มในวัยชราหกสิบห้าปีเข้าไปแล้วงก ๆ เงิ่น ๆ กระวีกระวาดจัดการกับเสื้อผ้าเปียกชื้นของเด็กสาว แล้วช่วยเช็ดตัวหาอาภรณ์สำรองของเด็กรับใช้อื่นที่เก็บเอาไว้มาสวมให้เป็นการชั่วคราว             ต้อยซึ่งเป็นอีกคนที่ทำงานอยู่ในบ้านหลังใหญ่ก็ตามมา หลังจากนั้นไม่นานนักก็ร่วมมือกับป้าอิ่มช่วยดูแลคนป่วยที่เมื่อเริ่มดึกก็ยิ่งเริ่มทุรนทุรายเพราะเป็นไข้สูง             คืนนั้นทั้งคืน... ทั้งฝนและฟ้าสาดกระหน่ำซัดไม่ได้หยุดหย่อน เฉกเช่นเดียวกับพายุโชคชะตา ที่พัดพาเอาความเลวร้ายมากมายมาถาโถมสัตตบงกช             เด็กสาววัยเยาว์ที่ไม่เคยพบพานแลเห็นความสุขแม้เพียงริบหรี่ ตลอดชั่วอายุขัยที่ผ่านมาของหล่อน...   จนถึงยามรุ่งเช้า           “ไม่ได้การแล้ว... เราต้องพาคุณหนูนาไปโรงพยาบาล ไม่อย่างนั้นแย่แน่ ๆ” ป้าอิ่มโอดครวญไปพลางเช็ดตัวให้กับร่างเล็กที่นอนกระสับกระส่ายเพ้อไม่เป็นศัพท์ไปพลางด้วยความอ่อนเพลีย เนื่องจากไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาทั้งคืนเช่นกัน  แม้จะมีต้อยมาคอยช่วยอีกแรงแต่เพราะความเป็นห่วง นางจึงไม่อาจละเลย เด็กสาวถูกพิษไข้รุมเร้าค่อนข้างสาหัส ยาสามัญประจำบ้านก็ไม่อาจบรรเทาอาการของหล่อนได้ “จะไปยังไงล่ะป้า... ใครจะกล้าเอารถในบ้านไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้า” “แท็กซี่ไงนังต้อย เอ็งไปบอกให้สมมันเรียกแท็กซี่มาพาตัวคุณหนูนาไปหาหมอที ชักช้าข้ากลัวไข้จะกินจนอาการแทรกซ้อนไปมากกว่านี้นะ” ป้าอิ่มบอกต้อยพลางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามเนื้อตัวของคนป่วยที่นอนขดตัวสั่นงก ผิวกายนั้นร้อนผ่าวราวกับถูกสุมไฟ “เงินล่ะป้า... จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าแท็กซี่ ค่าหมอ” ต้อยลังเลทั้งเป็นห่วงสัตตบงกชทั้งกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะต่างก็รู้กันอยู่ว่าเงินเดือนน้อยนิดของแต่ละคนแทบไม่พอใช้กันด้วยซ้ำ อาศัยว่ามีข้าวฟรีได้อยู่ฟรีถึงพอประคับประคองกันไปได้ เพราะต่างก็มีภาระที่ต้องส่งเสียให้กับคนทางบ้านกันทั้งนั้น “เอ่อ... เรื่องค่าแท็กซี่ป้าจะเป็นคนออกให้เอง ส่วนค่าหมอ คุณหนูนาเธอน่าจะมีบัตรประกันสุขภาพนะ พาไปโรงพยาบาลธรรมดาก็ได้นี่” “งั้นฉันไปบอกพี่สมนะ” ต้อยเห็นด้วยกับความคิดป้าอิ่ม รีบผลุนผลันไปเปิดประตูห้องพักเพื่อจะออกไปตามสมให้มาจัดการต่อจากนี้ แต่... “มึงจะไปไหนอีกต้อย อ๋อ... พามาหลบอยู่ที่นี่เอง ดีล่ะ กูจะฟ้องคุณนายฐานสมรู้ร่วมคิดให้ไล่ออกให้หมดทั้งหัวหงอกหัวดำเลยคอยดู” อ้อนยืนเท้าสะเอวขวางอยู่หน้าประตูสีหน้าถมึงทึง ชี้หน้าด่ากราดเสียงเอ็ดตะโร “มึงถอยอีอ้อน อีคนใจดำ... คุณหนูนาจะตายแหล่มิตายแหล่ มึงยังทนดูได้ลงคอเหรอ” “ไม่ใช่ธุระของกู เลี้ยงไม่เชื่องแบบมันตายไปก็สมควรแล้ว คนอย่างมันอยู่ไปก็รกโลก สร้างคุณประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ไร้ค่า...” ปากแบะเบ้เบี้ยวเพราะความสาแก่ใจ สายตายังสอดส่องมองไปยังร่างเล็กที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มโดยมีป้าอิ่มคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ “เวทนาคุณหนูนาเธอบ้างเถอะ... ไม่มีใครให้เป็นที่พึ่งแล้วจะปล่อยให้ป่วยสิ้นใจอยู่ในบ้าน มันไม่ดูอำมหิตไปหน่อยรึแม่อ้อน” “ตายไปมันจะได้หมดเวรหมดกรรมไงป้า ไม่ต้องอยู่เป็นภาระเป็นหอกข้างแคร่ให้คนอื่นเดือดร้อน” “เอ๊ะ! อีนี่” ต้อยฮึดฮัดไม่ชอบใจยิ่งนัก หากไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น อันที่จริงแล้วสัตตบงกชก็ถือว่าเป็นนายคนหนึ่ง เพียงแต่การวางตัวไม่เหมือนเท่านั้น หาใช่ขี้ข้ากินเงินเดือนที่อ้อนจะมาจิกหัวเรียกมึงมันได้ตามใจปาก “ทำไมอีต้อย มึงจะทำไม...” “มึงถอย... กูจะไปตามแท็กซี่ คุณหนูนากำลังแย่ มึงจะไปไหนก็ไปอีหมานาย” “อ้าว! พูดแบบนี้มึงหาเรื่องกูนี่อีต้อย กูไม่ให้ไป! คุณนายสั่งไว้ไม่ต้องให้ความช่วยเหลือมัน เดี๋ยวกูจะไปตามคนมาจับมันไปโยนหน้าบ้าน มึงค่อยไปเก็บซากเอาก็แล้วกันนะ... ฮ่า ๆ....” เพียะ!!! “โอ๊ย...กรี๊ด!!!” อ้อนแผดเสียงร้องเต้นเร่า ๆ เมื่อต้อยง้างมือตบหน้าเสียจนหันไปอีกทาง หล่อนเอามือจับที่แก้มซึ่งเจ็บแปลบร้าวแดงเป็นรอยนิ้วในทันทีแล้วจ้องต้อยราวกับว่าอยากฆ่าเสียให้ตายแทบตรงนั้น มือท้วมอ้าง้างกางนิ้วยกขึ้นเหนือศีรษะหวังเอาคืนบ้าง “มึงอย่าอยู่เลยอีต้อย... กูจะเหยียบให้ตายคาตีนไปพร้อม ๆ กับนังหนูนานายมึงเลย อืม... มาสิ!!” “เสียงดังอะไรกัน... ฉันเรียกปากแทบฉีกไม่เห็นใครสักคน” ทุกคนหยุด... แม้กระทั่งอ้อนที่กำลังเดินหน้าเข้าหาต้อยหมายประทุษร้าย หล่อนหันไปมองตามเสียงทุ้มห้าวนั้นแล้วก็ต้องลดอาการกระฟัดกระเฟียดลง ก้มหน้าใช้มือลูบแก้มข้างที่เจ็บแล้วกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ “มีอะไรกัน... ต้องให้ตามหาเสียทั่วบ้าน นี่ฉันจ้างพวกเธอไว้ทำไมเนี่ย” ร่างใหญ่ในชุดนอนสีเข้มยืนกอดอกถอนหายใจระอาอยู่ตรงทางเดินระหว่างบ้านหลังใหญ่และห้องพักคนงาน ต้อยรีบแทรกตัวผ่านอ้อนออกไปทันที “คุณเดล... คือ...” “วันนี้ฉันต้องไปพบลูกค้าแต่เช้า ชุดทำงานรีดเสร็จหรือยัง ไม่เห็นใครเอาขึ้นไปให้” โดยปกติหน้าที่นี้เป็นของสัตตบงกช แต่นับจากเกิดเรื่อง หล่อนก็ไม่สมควรได้แตะต้องสิ่งใดในบ้านหลังนี้อีกแล้ว “คือ... คือว่า...” “คุณเดลคะ...” ป้าอิ่มก็โผล่ออกมาอีกคน สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันทั้งหมด “มีอะไร...” ชายหนุ่มถามกวาดตามองทุกคนซึ่งแสดงพิรุธชัดเจน “คือคุณหนูนาไม่สบายค่ะ อิฉันเลยให้ต้อยมันไปเรียกแท็กซี่มาพาไปโรงพยาบาล ถ้าขืนชักช้ากลัวอาการจะยิ่งแย่ ตอนนี้ก็นอนไม่ได้สติตั้งแต่เมื่อคืน ตัวร้อนจี๋เลยค่ะ” “...” ดวงตาคมดูไหววูบชะงัก เขาไม่เคยรู้ข่าวคราวเด็กคนนั้นเลยตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น คิดไปว่าหล่อนยังอยู่ในห้องฝั่งตรงกันข้ามด้วยซ้ำ “งั้นก็ไปสิ... รออะไรอยู่...” เขากล่าวอย่างไม่มีเยื่อใยแล้วหันหลังเดินกลับทันที “ว้าย! คุณหนูนา” เสียงป้าอิ่มอุทานเสียงหลงพร้อมผลุนผลันวิ่งกลับเข้าไปในห้องด้วยความตกอกตกใจ สองเท้าของพิรเดชจึงหยุดนิ่งอีกครั้ง... “ช่วยหน่อยเร็วต้อย...” ป้าอิ่มเรียกหาต้อยให้เข้ามาช่วยประคองร่างโรยแรงของสัตตบงกชที่กำลังออกแรงอาเจียน ทั้งที่ไม่มีอะไรออกมาเลยนอกจากน้ำลาย... “เป็นอะไรอีกล่ะ” พิรเดชเดินผ่านหน้าอ้อนมายืนตรงประตูแล้วเอ่ยถาม น้ำเสียงไม่ยี่หระเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นว่าข้างในห้องนั้นเกิดอะไรขึ้น เขาก็จุกจนหายใจไม่ทั่วท้อง “คุณหนูนาเธอไข้จับตัวร้อนเป็นไฟเชียวค่ะคุณเดล นี่ก็เริ่มอ้วก ไม่รู้มีอาการแทรกซ้อนอะไรหรือเปล่า” ป้าอิ่มตอบผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงสั่น ปากคอสีหน้าชาไปหมดด้วยความกลัวและกังวล เพราะอาการป่วยของสัตตบงกชนั้นกำเริบน่ากลัวเข้าไปทุกที “แล้วจะชักช้ากันอยู่ทำไม... ต้องปล่อยให้ป่วยตายในบ้านหรือยังไงกัน” เสียงห้าวกล่าวขึงขังพร้อมกับเดินดุ่มแทรกตัวเข้ามาในห้องพัก เด็กสาวที่ป้าอิ่มพยุงเอาไว้ตัวซีดจนน่าตกใจ ใบหน้าที่เคยผุดผ่องบัดนี้ขาวราวกับกระดาษ ไม่มีน้ำมีนวลแม้แต่น้อย พอจับแตะต้องผิวกายที่ชื้นเหงื่อ เขาก็ต้องชักมือกลับอัตโนมัติทันที คำว่าตัวร้อนราวกับไฟที่ป้าอิ่มบอกไม่ได้ผิดไปจากความจริงแม้แต่นิดเดียว “ต้อยไปบอกสมให้เอารถออก... เร็วเข้า!” “ค่ะ... ค่ะคุณเดล” “ป้าอิ่มก็มาด้วยนะ จะได้ช่วยดู เพราะคงไม่มีใครสนใจ...” พิรเดชโน้มตัวสอดมือเข้าไปอุ้มร่างเล็กระทวยสิ้นแรงพลางออกคำสั่งป้าอิ่มและต้อย ทั้งสองมีท่าทีงง ๆ แต่ก็รีบปฏิบัติตามในทันที “...” อ้อนเบิกตากว้างด้วยความตะลึง ปากที่คอยราวีฉอด ๆ อ้ากว้างขากรรไกรค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อพิรเดชอุ้มคนป่วยเดินลิ่วผ่านหน้าไปราวกับหล่อนไม่ได้มีตัวตน ทุกคนกระวีกระวาดช่วยเหลือสัตตบงกช... หญิงสาวที่หล่อนไม่เคยชอบหน้าด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่เคยสามารถข่มให้จมดินดั่งที่หวังได้สักที ขนาดตกเป็นจำเลยในข้อหาหนัก แต่ก็ยังได้รับความเมตตาช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “รอคุณนายรู้เรื่องนี้ก่อนเถอะจะได้เห็นดีกัน หึ...”  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม