บทที่ 2 ลางร้าย (ตอนที่1)

2723 คำ
เนิ่นนานแค่ไหนแล้ว...           ที่เวลาทำให้ความเลวร้ายกลืนหายไปกับการหลับใหล แต่ในเมื่อยังมีลมหายใจและเต็มอิ่มในนิทรากาล ถึงยามสมควรตื่น หล่อนก็ต้องตื่น ร่างเล็กขยับตัวตามวิสัย เปลือกตาปรือลืมขึ้นอย่างยากเย็น ในหัวรู้สึกหนักอึ้งตื้อตึงไปหมด ตามตัวก็เมื่อยขบจนเผลอครางเสียงหลงด้วยความเจ็บเมื่อขยับแรงเพียงเล็กน้อยโดยไม่ทันระวัง หล่อนยังคงอยู่ในห้องนอนของตัวเอง... และขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาสภาพเดิมบนเตียงที่ยับเยินเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความหม่นหมอง ร่างเล็กรวบรวมสติกลับมาครบครันแล้วพยุงตัวขึ้นนั่งด้วยความลำบาก เพราะรู้สึกว่าทั้งตัวมันร้าวหนักยิ่งกว่าในตอนแรกเสียอีก แสงสว่างที่เล็ดลอดผ่านเข้ามาบางเบาบอกให้รู้ว่ายามนี้เวลาคงล่วงเลยสู่ช่วงเย็นย่ำเข้าไปแล้ว ความเงียบงันปกคลุมจนวังเวงจับจิต หล่อนกลืนน้ำลายบรรเทาความรู้สึกแห้งผากและแสบระบม เบ้าตาปวดหนึบหนักหน่วงลามไปถึงขมับทั้งสองข้างเหมือนจะถูกพิษไข้เล่นงาน เพราะผ่านการร้องห่มร้องไห้มาอย่างหนัก หล่อนจึงหลับไปทั้งน้ำตาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และมันกินเวลานานมากถึงค่อนวันตั้งแต่ช่วงสาย ตื่นมาตอนนี้ก็ตกเย็นเสียแล้ว เสียงหนึ่งในหัวเอ่ยถามขึ้นมาว่าทำไมต้องตื่น... หล่อนควรหลับไปชั่วกัปชั่วกัลป์หรือหายไปจากโลกนี้เสียยิ่งดี สายตาคมเศร้าที่หนักอึ้งกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างสำรวจ หล่อนรู้ว่าตนเองถูกกักเอาไว้ให้อยู่เฉพาะในบริเวณห้องเท่านั้น จึงไม่ลุกลี้ลุกลนรีบเร่งเพื่อจะไปทำงานปัดกวาดเช็ดถูในบ้านเหมือนอย่างเคย เพียงแต่แอบหวังอย่างไม่ควรจะคาดหวังว่า จะมีเงาของใครสักคนมาดูดำดูดีหล่อนบ้างสักนิด แต่เปล่าเลย... หล่อนถูกขังทิ้งเอาไว้อย่างสุนัขจรจัดที่ทำได้เพียงรอเวลาถูกกำจัดในอีกไม่นาน ถาดอาหารมีข้าวค่อนจาน น้ำ และไข่หนึ่งฟองวางอยู่ติดกำแพงตรงประตู คงเป็นอ้อนที่จัดการเรื่องนี้ตามคำสั่งของดาริน เพราะคนรับใช้อื่นไม่น่าจะได้แตะต้องลูกกุญแจที่พันธนาการห้องนี้อยู่             สัตตบงกชรู้ดีว่าร่างกายของหล่อนอ่อนแรงเหลือเกิน แต่กลับไม่นึกกระหายหิวในอาหารแม้แต่น้อย รสข้างในปากขมเฝื่อนไปหมด และอย่างแรกที่นึกขึ้นมาได้ก็คือหล่อนควรชำระร่างกายเสียที หลังจากที่หมดอาลัยเอาแต่ปล่อยให้น้ำตาเยียวยาบาดแผลต่าง ๆ ทั้งทางกายและทางใจ             แต่ดูเหมือนไม่ได้ผลเสียเลย... ยิ่งล่วงเลยเวลาผ่านมา ร่องรอยเหล่านั้นที่อักเสบแผ่ขยายร้าวลึกเข้าไปทุกที             ไม่รู้ว่าทัณฑ์ที่จะถูกคาดโทษมานั้นจะหนักหนาแค่ไหน เด็กสาวไม่ใคร่อยากคิดไปถึงจุดนั้นเลย สำคัญที่สุดคือหล่อนเป็นห่วงความรู้สึกของลลินดา หล่อนต้องหาทางอธิบายและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่ว่าลลินดาจะยกโทษให้กับความผิดอันเลวร้ายที่สุดในครั้งนี้             ร่างเล็กบอบช้ำพลิกตัวลงจากที่นอน... ความเจ็บทำให้หล่อนไม่สามารถขยับได้คล่องตัวนัก แต่ยังคงพยายามสลัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วย่างเท้าเหยียบพื้นเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า มือเล็กดึงผ้าขนหนูผืนใหญ่มาพันรอบกายจากนั้นก็ประคองตัวเองเข้าห้องน้ำ             หล่อนวางผ้าขนหนูเอาไว้ตรงราวแขวนข้างประตูเอื้อมมือไปปรับระดับอุณหภูมิของน้ำแล้วเปิดฝักบัว ปล่อยให้สายน้ำไหลพร่างพราวประพรมตามตัว             น้ำตาก็เช่นกัน... มันไม่เคยเหือดหายไปจากหัวใจเลยสักนาทีเดียว แผ่นหลังเล็กแคบทิ้งน้ำหนักพิงไปกับกำแพง สะอื้นตัวโยนอยู่ใต้ฝักบัวกำลังชะล้างคราบไคลออกจากตัว             สองมือทั้งถูทั้งลูบหวังให้กลิ่นใคร่ที่ใครบางคนฝากฝังนั้นเจือจาง ทว่าถูจนผิวเปลือยแดงเป็นรอยแล้วหล่อนก็ยังรู้ตัวว่าคงสะอาดดั่งเดิมไม่ได้แล้ว             “พี่หงส์... หนูนาขอโทษ หนูนาขอโทษ...” ความผิดครั้งนี้มันยิ่งใหญ่เกินตัวที่หล่อนจะแบกความรับผิดชอบเอาไว้ได้ไหว และดูเหมือนไม่ง่ายดายนักกับการวอนขอการให้อภัย             ร่างเล็กทรุดลงนั่งราบไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง สองขาไม่อาจทนรับน้ำหนักกายและใจ หล่อนอ่อนแรงเกินกว่าจะสู้ทนกับความสูญเสียเพียงเดียวดาย แต่ใครล่ะ... จะมาคอยฝ่าฟันปัญหาเหล่านี้เคียงข้างไปกับคนเลวทรามอย่างหล่อนที่อาจหาญทรยศหักหลังแม้กระทั่งผู้มีกระคุณ ซึ่งเคยฉุดให้พ้นจากความยากแค้นอนาถา             คนที่... รักหล่อนเหมือนพี่สาวในไส้ที่คลานตามกันมา             คนที่... คอยปกป้องและให้ความอุ่นใจแก่หล่อนเสมอในยามที่เผชิญกับปัญหารอบข้าง             คนคนนั้น... ไม่มีวันอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว             จิตสำนึกย้อนรอยกลับไปมองเห็นภาพเก่า ๆ ในวันวาน หล่อนเป็นเด็กกำพร้าพ่อมาตั้งแต่เกิด เพราะมีแม่ขี้เมา บ้าการพนันจึงไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าใครคือผู้ที่มีส่วนร่วมในการสร้างหล่อนให้มีตัวตนขึ้นมา             ตั้งแต่เล็กจนโตเท่าที่จำความได้ หล่อนไม่เคยได้กินอิ่ม อาศัยอยู่กับผู้ให้กำเนิดอารมณ์ร้ายที่คอยหาเรื่องทุบตีไม่เว้นแต่ละวัน จะมีก็แต่ลลินดาเป็นญาติเพียงคนเดียว ซึ่งมีอายุห่างกันแปดปีที่คอยเหลียวแล ให้เงินบ้าง ซื้อของใช้มาให้บ้างในตอนนั้น             จนกระทั่งเมื่อหล่อนอายุได้สิบขวบ... ยังไม่ได้เรียนหนังสือและถูกแม่บังคับให้ไปทำงานก่อสร้าง ลลินดาทนไม่ไหวจึงขอร้องให้ดารินรับหล่อนมาเลี้ยงดู เพื่อเห็นแก่ความเป็นญาติที่ยังถือว่าใกล้ชิดกันอยู่มาก และเห็นแก่อนาคตของเด็กน้อยตาดำ ๆ คนหนึ่ง             โดยมีข้อแม้ว่า... ลลินดาจะเป็นผู้อุปการะเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดเองจากเงินที่หล่อนได้จากเปอร์เซ็นต์หุ้นส่วนของบริษัท ซึ่งบิดาที่เสียชีวิตไปแล้วทิ้งไว้ให้ กระนั้นก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่ดารินจะยอมใจอ่อนเพราะนางไม่ใคร่ชอบพฤติกรรมของภารณีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทั้งคู่เคยมีความแค้นความหลังต่อกันมาก่อน จึงพาลอคติกับสัตตบงกชไปด้วย             ชีวิตของหล่อนในรั้วบ้านหลังใหม่จึงไม่ราบรื่นนัก ลลินดารับรู้ปัญหาเหล่านั้นเป็นอย่างดีก็คอยออกตัวปกป้องอยู่เสมอ เมื่อหญิงสาวผู้แสนดีได้พบรักและแต่งงานกับพิรเดช... หล่อนจึงได้ตามมาอยู่ที่เรือนหอหลังนี้ด้วยเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ใกล้ ๆ ดารินเพียงลำพังให้เป็นที่รกหูรกตา             บุญคุณที่ลลินดามีต่อหล่อนนั้นล้นเหลือ มาก... จนหล่อนคิดจะปลิดชีวิตตัวเองในตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ เพราะอยู่รอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจให้เห็นแจ้งกันเสียก่อน             และเมื่อนั้น... หากลลินดาปรารถนาไม่อยากเห็นหล่อนมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป หล่อน... ก็พร้อมจะหยิบยื่นชีวิตที่หญิงสาวเคยมอบให้กลับคืน   ปัง! ปัง! ปัง! เสียงเคาะประตูดังโครมครามทำให้เด็กสาวที่หลงทางอยู่ในภวังค์ความเศร้าดีดตัวสะดุ้ง หล่อนใช้มือปาดหยดน้ำที่พราวอยู่เต็มใบหน้าแล้วรีบย่างเท้าไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวหยาบ ๆ และพันกายเอาไว้พร้อมกับรีบเปิดประตู “จะล้างล้วงอะไรกันนักหนาฮึ... ชักช้าโอ้เอ้อยู่ได้ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” ไม่ผิดอย่างที่คิด... อ้อนมายืนทำหน้าถมึงทึงเท้าสะเอวอยู่หน้าประตูห้องน้ำ จ้องมองหล่อนด้วยสายตาดูแคลนสมเพช “พี่อ้อนมีอะไรเหรอ” หล่อนกอดจับผ้าขนหนูแน่น หลบตามองพื้นไม่อยากแยแสสีหน้าเย้ยหยันนั้น “สบายจริงนะ... ได้กับผัวเจ้าของบ้านเข้าหน่อยก็นอนกินบ้านกินเมืองขึ้นแท่นจะเป็นเมียน้อยเต็มตัวเลยสิท่า” วาจาเสียดสีเหน็บแนมทำให้เด็กสาวเม้มริมฝีปาก แต่ก็ปลงใจไม่อยากโต้เถียงกลับ  อ้อนไม่ชอบหล่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเป็นข้าเก่าในบ้านดาริน พอลลินดาออกเรือนมา ผู้เป็นแม่ก็เป็นห่วงและส่งคนสนิทมาให้ช่วยดูแล เป็นหูเป็นตาทุกอย่าง อ้อนจึงมีความรู้สึกนึกคิดกับหล่อนไม่ได้ต่างจากนาย  “คุณยาย... จะให้หนูออกจากบ้านหลังนี้เหรอจ๊ะ” “ยังไม่ใช่ตอนนี้... ยังไงแกก็ถูกเฉดหัวออกไปวันยังค่ำแหละ รอคุณนายเสร็จธุระก่อนเถอะ แต่นับจากนี้เป็นต้นไป แกไม่มีสิทธิ์ขึ้นมาเหยียบบนตึกนี้อีก เก็บข้าวของของแกซะ ห้ามเอาของมีค่าไปแม้แต่ชิ้นเดียว เสื้อผ้าแพง ๆ พวกนั้นด้วย” ร่างท้วมยืนเท้าสะเอวท่าเดิมแล้วชี้โน่นชี้นี่ออกคำสั่ง สัตตบงกชได้แต่พยักหน้า เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องโดนเล่นงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และนี่... ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น “แล้วหนูนา... จะไปอยู่ที่ไหนเหรอพี่อ้อน” “บ้านร้างเก่าในสวนหลังบ้านโน่น คุณนายให้เอาแกไปขังไว้ในนั้นก่อน ป้องกันแกขโมยของแล้วหนีไปก่อนได้รับโทษที่แกทำชั่ว ๆ เอาไว้” อ้อนแสยะยิ้มสะใจ “รอหนูนาเดี๋ยวนึงนะ...” “เร็ว ๆ ล่ะ ไม่อยากเสวนาด้วยนาน ๆ เกลียดนักพวกเลี้ยงไม่เชื่อง คุณผู้หญิงกับคุณนายรึอุตส่าห์เมตตาชุบเลี้ยงอย่างดี แต่ก็ยังใฝ่ต่ำหน้าไม่มียางอาย สักวันเถอะจะท้องหาพ่อให้เด็กไม่ได้เหมือนแม่แกที่มั่วจนแยกไม่ออกว่าในตัวแกมีเชื้อใครต่อใครอยู่บ้าง...” “พี่อ้อน!” “ทำไม... พูดความจริงรับไม่ได้เหรอ หึ... ฉันรู้นะว่าแกวางแผนอยากจะจับคุณเดลมาตั้งนานแล้ว เพราะแกอิจฉาคุณหงส์ อยากได้อยากมีอยากแทนที่เธอ” เสียงนั้นกระแหนะกระแหนอย่างจงใจ ถ้อยคำแขวะกัดจนคนตัวเล็กสั่นไปทั้งร่าง สองมือกำเข้าหากันแน่น กัดริมฝีปากจนห้อเลือด แต่กลับไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตากลมโตหลบหน้าซ่อนสายตาจากอ้อนไม่นึกอยากมอง ไม่ใช่เพราะกลัว... แต่เพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเองต้องยุ่งยากไปกว่านี้ หล่อนกำลังตกที่นั่งลำบาก อะไรที่เลี่ยงได้ควรเลี่ยง สิ่งเดียวที่ทำให้ต้องกลั้นใจอดทนต่อสิ่งรุมเร้าก็คือ อยากพบอยากคุยกับลลินดาอีกสักครั้งให้เข้าใจ แล้วหลังจากนั้น... ต่อให้ต้องวายชนม์สิ้นไป ก็ไม่นึกเสียดายเลยสักนิด... “พี่จะว่าอะไรหนูนาก็ว่าเถอะ แต่อย่าลามไปถึงพ่อถึงแม่เลย พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย” “แกแน่ใจเหรอ... ฉันว่าแม่แกน่ะตัวดี เอาล่ะ... พูดไปก็เสียเวลา รีบ ๆ เก็บของเข้า อ้อ... พวกเสื้อผ้าแพง ๆ เครื่องประดับที่คุณหงส์ให้ก็ด้วยนะ ไม่ต้องเอาไป” แววตานั้นลุกวาวด้วยความเจ้าเล่ห์ทันทีเมื่อเห็นสัตตบงกชเปิดตู้เสื้อผ้า ของใช้ด้านในนั้นมีแต่ของดี ตีราคาแล้วปัญญาอย่างหล่อนคงไม่มีวันได้แตะต้อง             แต่มาถึงตอนนี้มันก็ไม่แน่             สัตตบงกชไม่ได้ใส่ใจในทรัพย์นอกกายเหล่านั้นอยู่แล้ว สติของหล่อนถูกบีบอัดไว้ด้วยความกดดันมากมายเกินกว่าจะนึกต่อปากต่อคำกับเด็กรับใช้รุ่นพี่อย่างอ้อน หล่อนจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดเรียบร้อย เก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นใส่กระเป๋าถือสำหรับเดินทางและเดินตามอ้อนไปอย่างว่าง่าย             ตลอดทางที่สองเท้าเหยียบย่ำ ร่างกายมันเจ็บปวดราวกับกำลังเดินอยู่บนลวดหนาม โดยเฉพาะตรงส่วนกึ่งกลางลำตัว... มันร้าวจนขาแข็งแทบยกไม่ขึ้น น้ำตาไหลพรากอาบแก้มด้วยความอาลัย             หล่อนไม่ได้จากบ้านหลังนี้เพราะมีเหตุจำเป็น แต่ต้องไปทั้งที่กายและใจยังบอบช้ำนัก เพราะไม่มีใครต้องการหล่อนอีกแล้ว แม้แต่ลลินดาที่เปรียบเสมือนแม่บังเกิดเกล้า                         ตะวันใกล้จะลับอำลาผืนดินเต็มที ท้องฟ้าในยามนี้ก็ดูมืดครึ้มอึมครึม ลมเย็นพัดกระทบร่างจนสะท้านเมื่อออกมาสู่ภายนอก หันแลไปทางไหนก็ว่างเปล่าเงียบงัน             “อ้อยอิ่งรำไรอยู่นั่นแหละ คิดจะรอให้คุณผู้ชายกลับมาเห็นหรือไงว่าฉันกำลังลากแกไปขังในบ้านร้าง หืม... ฝันไปเถอะ เขาไม่สนใจแกหรอกนังโง่ โดนเยแล้วก็เททิ้งเหมือนกะ...” อ้อนกล่าวเสียดสีด้วยคำศัพท์วัยรุ่นอย่างจงใจให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำ แต่ก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อนพร้อมกับร่างเล็กนั้นที่ห่อตัวเดินนำหน้าไป             “พี่อ้อนพอสักทีเถอะ ฉันแค่รู้สึกไม่สบาย”             เด็กรับใช้ก็ไม่ว่าอะไรต่อ ยังคงแบะปากจิกสายตาด้วยความชิงชังแล้วกระทืบเท้าตามไปเบียดสัตตบงกชจนเซเกือบล้ม แล้วล่วงหน้าเป็นคนเดินนำไปเหมือนเดิม             บ้านร้างที่ว่าหากพูดกันตามจริงก็ไม่เชิงจะเป็นบ้านร้างเสียทีเดียว แต่เป็นบ้านพักของพวกคนงานก่อสร้างซึ่งมาพักอยู่ชั่วคราวในตอนที่สร้างเรือนหอหลังนี้ ปลูกขึ้นง่าย ๆ ทรงเพิงหมาแหงนทำด้วยไม้ ด้านในเป็นห้องสี่เหลี่ยมโล่ง ๆ มีห้องน้ำเก่า ๆ สกปรก เพราะเมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้นที่นี่ก็ถูกปิดตายไปเลย             ทุกคนจึงเรียกว่าบ้านร้าง... ปัจจุบันใช้เก็บอุปกรณ์สำหรับทำสวนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานแล้ว นาน ๆ คนสวนถึงจะมาเปิดหาของใช้สักที             อ้อนเดินลิ่ว ๆ เข้าไปเปิดประตูซึ่งคล้องโซ่เอาไว้และล็อกกุญแจอีกชั้น ฝุ่นฝ้าก็ฟุ้งจนต้องเอามือปิดจมูก สัตตบงกชยืนมองแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอเฮือก             หล่อนกลัว... ที่นี่ไกลจากบ้านหลังใหญ่พอสมควร และอยู่ด้านหลังสุดของที่ดิน ถัดไปก็เป็นรั้วแสดงอาณาเขต รอบ ๆ นี้ก็แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ซึ่งพิรเดชต้องการปลูกไว้เพื่อหวังผลไว้รับประทานทุกฤดู แม้จะยังโตไม่เต็มที่ แต่ก็สามารถบดบังทางที่เดินมาจนเห็นตึกหลังใหญ่เพียงครึ่ง             “เข้าไปสิ... ฝนก็จะตก นี่ก็มืดอยู่แล้วไม่เห็นหรือไง”             “...” ร่างแบบบางอ้อยอิ่งกระชับหูกระเป๋าที่ถือเอาไว้จนมือชื้นเหงื่อ             ถ้าจำไม่ผิด... บ้านหลังนี้แม้จะอยู่ในอาณาบริเวณของตึกใหญ่ แต่ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้มานานพอ ๆ กับที่ไม่มีใครมาอยู่อาศัยนั่นแหละ             “บอกให้เร็ว ๆ ฉันต้องเดินกลับไปอีกนะเว้ย เกิดฝนตกขึ้นมาพอดีแล้วมืด ๆ อย่างนี้จะกลับยังไง!!!”             “ว้าย!! โอ๊ย!” พลั่ก!!! สัตตบงกชกรีดร้องเสียงหลงเมื่ออ้อนจับแขนแล้วลากเหวี่ยงเข้าไปด้านใน หล่อนล้มนั่งกระแทกกับพื้นจนตัวงอเพราะความเจ็บที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถูกกระทบกระเทือนอย่างแรง ส่วนความบอบช้ำก็ยิ่งระบม             กริ๊ก! เมื่อหันมองไปอีกที อ้อนก็ปิดประตูล็อกกุญแจเสียแล้ว ความมืดครอบคลุมรอบตัวทันที เด็กสาวคว้ากระเป๋าเอามากอดแล้วตั้งสติหลับตาเพื่อจะได้คุ้นชินกับบรรยากาศภายใน             “ว้าย! ฝนตกแล้ว อีนังหนูนาเด็กบ้า!!!” เสียงอ้อนตะโกนปาว ๆ ก่นด่าเสียงดังและเสียงนั้นค่อย ๆ เบาแว่วห่างออกไป พร้อม ๆ กับเสียงฟ้าฝนที่คำรามกู่ก้องเข้ามาแทนที่             ซ่า... ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่นานนัก เม็ดห่าฝนก็เทท่วมลงมาตกกระทบหลังคา ความกดอากาศต่ำลงโดยอัตโนมัติ ดวงตากลมโตตื่นกลัวพอจะปรับเข้ากับความมืดสลัวได้บ้างแล้ว หล่อนลุกขึ้นแล้วลากกระเป๋าไปนั่งขดตัวอยู่มุมหนึ่งของห้อง นึกไม่ออกเลยว่าจะรอดพ้นจากชะตากรรมนี้ไปได้อย่างไร  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม