หลังกลับจากการเข้าพิธีรายงานตัวเซียนใหม่ คิ้วงามของฮวาเย่ห์หยวนก็ขมวดเข้าหากันไม่หยุด นางจะทำเช่นไรถึงจะแก้ไขเรื่องยุ่งยากนี้ได้ กว่านางจะเป็นเซียนได้ใช้เวลานับหมื่นปีแสนลำบากยากเข็ญยังไม่มีโอกาสเสวยสุขเลยด้วยซ้ำ
นี่นางจะต้องวิญญาณแตกสลายตั้งแต่ยังไม่พ้นหนึ่งเดือนเลยหรือ ฮวาเย่ห์หยวนนั่งคอตกไหล่ลู่อยู่ท่ามกลางสายน้ำไหลรินรอบกายในตำหนักทักษิณ
"เจ้ากลุ้มใจอันใด เชื่อมั่นใจตนเองหน่อยเจ้าเป็นสัตว์เวทเพียงตัวเดียวในห้าหมื่นปีที่สามารถบรรลุเป็นเซียนได้เชียวนะ ควรทำท่าทางดีใจกว่านี้หน่อยสิ"
เสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยเมตตาของเจ้าแม่ดังขึ้น
"ศิษย์สงสัยว่าเหตุใดเป็นศิษย์เจ้าคะ"
"จอมมารมีนิสัยเย็นชา โหดเหี้ยมเย่อหยิ่งก็จริง แต่เท่าที่รู้คือเขาไม่มีนิสัยทำร้ายสตรีมาก่อน สตรีที่เข้าใกล้เขาล้วนหวาดกลัว หน้าที่นี้เจ้าจึงเหมาะสมที่สุด ด้วยประการแรกเจ้ามีนิสัยมุ่งมั่นกล้าหาญหาผู้ใดเปรียบ ประการที่สอง ในยามนี้บนสวรรค์ข้าบอกเจ้าได้เลยว่าหามีผู้ใดงดงามเทียบเคียงเจ้าได้ ดังนั้นหน้าที่นี่เง็กเซียนฮ่องเต้จึงได้มอบให้แก่เจ้าอย่างไรเล่า"
"แต่ข้าเพิ่งเป็นเซียนได้วันเดียวนะเจ้าคะ"
"เพราะเพิ่งเป็นจึงยังไม่มีความเย่อหยิ่ง เจ้าจึงเหมาะที่จะยั่วยวนเขาที่สุดตั้งใจทำงานของเจ้าให้ดีเถิดข้ามีกิจธุระมากเจ้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้แล้วดังนั้นดูแลตนเองให้ดี หากเกิดเรื่องจำเป็นเจ้ารู้ว่าต้องเรียกข้าอย่างไรไม่ใช่หรือ"
"แต่ข้ากลัวเจ้าค่ะ ให้ผู้อื่นไปแทนได้หรือไม่เจ้าคะ"
"ดูเถิดเจ้า เจ้ามีใบหน้างดงามเช่นนี้จะมีผู้ใดกล้าหักหาญน้ำใจเจ้าเล่า ไม่ว่าผู้ใดหากเป็นบุรุษไม่มีทางที่จะต้านทานเสน่ห์ยั่วยวนของเจ้าได้อีก อีกทั้งสิ่งที่เจ้าพิเศษกว่าผู้อื่นคือเจ้ามีกำเนิดเป็นสุนัขจิ้งจอกเก้าหางพอบรรลุกลายเป็นเซียนเจ้าถึงได้มีพลังแห่งการดึงดูดบุรุษเพศได้ถึงเพียงนี้"
"พวกท่านส่งให้ข้าไปยั่วยวนเขาเท่ากับให้ข้าไปตายชัดๆ หากสวรรค์ไม่ต้องการให้ข้าบรรลุเซียนเพียงบอกกล่าวดีๆ เหตุใดต้องทำร้ายข้าด้วยวิธีนี้กันเล่า"
แม้จะเอ่ยเช่นนั้นนางก็จำก้มหน้ายอมรับ อย่างน้อยหากตายก็ยังมีหน้ามีตาว่าตนเองเคยเป็นเซียนมาแล้ว "เรื่องนี้เป็นชะตาลิขิตของเจ้าตั้งแต่แรกเจ้าจะพร่ำบ่นอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งใดได้ข้าไม่มีเวลาคุยกับเจ้าแล้วเตรียมตัวไว้เถิดอีกไม่กี่วันต้องเดินทางแล้ว"
"ท่านอาจารย์เจ้าคะหากข้าตายจะเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ"
"ข้าไม่คิดทอดทิ้งเจ้าหากเจ้าตายจริงข้าจะรวบรวมดวงจิตของเจ้าให้ไปเกิดที่โลกมนุษย์ดีหรือไม่" "แต่มนุษย์น่าหวาดกลัวจิตใจไม่แน่นอนข้าไม่อยากเกิดเป็นมนุษย์"
"เกิดเป็นมนุษย์ยังมีโอกาสบำเพ็ญตบะขึ้นมาเป็นเซียนตอนนั้นข้าจะช่วยเจ้าอีกครั้ง" เจ้าแม่กวนอิมเอ่ยอ่อนโยน ฮวาเย่ห์หยวนจำต้องยอมพยักหน้ารับชะตากรรมแต่โดยดี
นับเป็นครั้งแรกที่ฮวาเย่ห์หยวนเหยียบย่างเท้าเข้าสู่แดนมนุษย์ตั้งแต่จากไปบำเพ็ญตบะเป็นเซียนเมื่อหมื่นปีก่อน ในเวลานี้บ้านเรือนเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมาก ผู้คนขวักไขว่ มีหลายสิ่งเกิดขึ้นแตกต่างจากแดนมนุษย์ที่นางรู้จัก
ดูเหมือนว่าแดนสวรรค์จะอยู่ห่างไกลจากแดนมนุษย์มากกว่าอดีตจนมนุษย์ไม่อาจเอื้อมถึง แต่กระนั้นผู้คนก็ยังคงพากันกราบไหว้เทพเจ้าไม่แตกต่างจากเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนเลย
ฮวาเย่ห์หยวนระงับความตื่นเต้น ในใจเฝ้าคิดย้อนไปถึงสิ่งที่เจ้าแม่กวนอิมได้สั่งสอนก่อนที่นางจะเดินทางมายังที่แห่งนี้
ก่อนที่จะถึงแดนมารนางจำต้องผ่านแดนมนุษย์ที่เป็นดินแดนขวางกั้นเสียก่อน และในแดนมนุษย์นี้ข้อห้ามอย่างเคร่งครัดที่ฮวาเย่ห์หยวนต้องจดจำคือห้ามแสดงพลังเซียนส่งเดชหาไม่แล้วพลังเซียนนั้นจะย้อนกลับทำร้ายตนเองได้
พลังเซียนของนางมีไว้ใช้เพื่อปราบปีศาจเท่านั้นไม่อาจใช้กับมนุษย์ได้
แม้กระนั้นฮวาเย่ห์หยวนผู้มีวรยุทธ์สูงส่งก็สามารถใช้ชีวิตในแดนมนุษย์ภายใต้หมวกคลุมหน้าที่มีผ้าสีขาวบางปิดมิดชิดจนผู้คนมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงเดินทางมาเกือบเดือนแล้ว
ตลอดระยะทางที่เดินทางฮวาเย่ห์หยวนถือโอกาสนี้ทำความดีเพื่อเพิ่มตบะช่วยเหลือมนุษย์มากมาย ทั้งสตรีผู้ที่ถูกบุรุษรังแก ทั้งคนแก่ชรา และเด็กที่ไม่มีทางสู้
นอกจากนั้นนางยังให้เงินกับพวกขอทานเพราะเห็นว่าน่าสงสารจนบัดนี้นางไม่เหลือเงินติดกายแม้แต่อีแปะเดียว