“ดันเต้ เจ้าจะต้องทำตัวเข้มแข็งและน่าหวาดกลัวมากกว่านี้ การเป็นดยุคแห่งเดอเรกนั้นเจ้าจะมาทำตัวอ่อนแอมิได้”
ดันเต้เป็นเด็กที่เติบโตมาด้วยความรักที่มากล้นของมารดาที่แสนอ่อนโยน ท่านแม่คือโลกทั้งใบของเขา และในยามที่เขาจะต้องเข้ารับตำแหน่งผู้สืบทอด ความอ่อนโยนของเขามันจึงเป็นปัญหาอย่างมากในสายตาของบิดา เพราะว่าดันเต้นั้นไม่มีความน่ากลัวอยู่เลย แล้วเช่นนี้ใครจะเกรงขามลูกชายของเขากัน
“ขั้นแรกอย่ายิ้มแบบนั้นดันเต้ บุรุษไม่ควรมีรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเช่นนั้น เราจะต้องแสดงให้สตรีเห็นถึงความแข็งแกร่งในจิตใจที่ส่งผ่านมายังร่างกายที่แข็งแกร่ง นับจากนี้เจ้าจะต้องฝึกอย่างหนักเพื่อรอวันเข้ารับตำแหน่งดยุค"
“แล้ว..ลูกจะได้เจอท่านแม่ไหมครับ”
“จะได้เจอแม่ก็ต่อเมื่อ ลูกเลิกทำตัวอ่อนโยนและอ่อนแอแบบนั้น”
ท่านพ่อจากไปพร้อมกับภาระหน้าที่ ที่ถูกโยนมาให้ดันเต้ในวัยสิบห้า เขามีเพียงองครักษ์ของท่านพ่อเป็นผู้สอนงานเท่านั้นเอง
“ข้าคิดว่าเรื่องการต่อสู้รวมไปถึงเรื่องการใช้ความคิด ท่านดยุคไม่มีส่วนไหนที่บกพร่องแล้วครับ”
เนวิลคือลูกชายขององครักษ์นีกอน อดีตผู้ช่วยของท่านพ่อ แต่ตอนนี้เนวิลเข้ารับตำแหน่งอัศวินประจำตัวเขาแล้ว เพราะว่านีกอนได้วางมือจากการสู้รบเนื่องจากอายุที่เกินช่วงเวลาที่เหมาะสมในการต่อสู้
“เช่นนั้น..ข้ามีเรื่องที่ข้าคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ”
เนวิลมองหน้าของอารอนซึ่งเป็นพ่อบ้าน
“เรื่องใดกัน ที่ทำให้ท่านดยุคเป็นกังวล”
อารอนกล่าวถามพร้อมกับส่งยิ้มให้กับท่านดยุค เขาได้รับตำแหน่งพ่อบ้านมาเมื่อห้าปีก่อน เขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของท่านดยุคผ่านทางสายตามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
อารอนพูดได้เต็มปากเลยว่าเขาไม่เคยใครที่เก่งกาจและสมบูรณ์แบบขนาดนี้มาก่อนเลย ท่านดยุคคือบุรุษที่ไม่ว่าเรื่องไหนก็สามารถทำมันได้ดีในทุกเรื่อง เป็นเจ้านายที่เจ้าทั้งยกย่องและเทิดทูนราวกับว่าท่านดยุคคือเจ้าชีวิต
“เมื่อครั้งที่แล้วในยามที่ข้าปรากฏตัวในงานสังคม เรื่องสตรีที่พยายามเข้าหาข้าอย่างบ้าคลั่ง..ข้าไม่สามารถปฏิเสธพวกนางได้เพราะว่าข้าเกรงใจ นั่นคือปัญหาใหญ่มากทีเดียวอารอน ข้ายังไม่พบเจอสตรีที่ถูกใจเลยอีกทั้งยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะปฏิเสธ นั่นทำให้เดือนที่แล้วทั้งเดือนข้าเสียเวลาไปกับการเดินทางไปงานน้ำชายามบ่ายที่แสนจะไร้สาระพวกนั้น..”
เนวิลยกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อยกับการเกรงใจที่มากเกินพอดีของท่านดยุคนี่คือเรื่องที่เขาพยายามปรับเปลี่ยนท่านดยุคมาตลอด แต่ทว่านิสัยที่นึกถึงคนอื่นมากเกินไปของท่านดยุคมันคือปัญหา
และในยามนี้มันคือปัญหาที่ยิ่งใหญ่มากๆ ทีเดียว
“ข้าคิดว่าเราอาจจะต้องสร้างข่าวลือขึ้นมา..ท่านดยุคไม่มีปัญหาใช่ไหมครับหากว่าชื่อเสียงเรื่องสตรีของท่านอาจจะเสื่อมเสียเล็กน้อย”
เพราะว่าดันเต้เกิดมาจากความรักที่มากล้นของท่านพ่อและท่านแม่ ในสายตาของเขาความรักมันจึงเป็นสิ่งสวยงามมากกว่าการจะตัดสินใจแบบฉาบฉวยเพียงเพราะว่าเห็นรูปลักษณ์ภายนอก
“เรื่องนั้นไม่เป็นไร เจ้าช่วยทำให้การเข้าร่วมงานครั้งต่อไปของข้าไม่มีสตรีเข้ามาหาก็พอ”
เนวิลยกยิ้มขึ้นมา เขาปรายตามองอารอนพร้อมกับพยักหน้า
“เรื่องนั้นวางใจได้เลยครับ รับรองได้เลยว่าจะไม่มีสตรีหน้าไหนกล้าเข้าหาท่านดยุคอย่างแน่นอน! เชื่อมือของได้เลย”
แล้วดันเต้ก็วุ่นอยู่กับการควบคุมเหมือง เพราะว่าแกรนด์ดัชชีของเราจะมีหน้าหนาวที่ยาวนานมากกว่าที่อื่น ทำให้อากาศที่หนาวเย็นคร่าชีวิตชาวเมืองไปเป็นจำนวนมาก และนี่คงเป็นโชคดีของแกรนด์ดัชชีเดอเรก เพราะว่าเราพบเจอเหมืองหินเวทมนตร์ขนาดใหญ่ และนั่นทำให้ดันเต้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสร้างหินเวทมนตร์ขึ้นมาเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นให้กับชาวเมืองของเขา
ครั้งล่าสุดที่เขาเข้ามาร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง ไม่มีสตรีใดกล้าสบตาเขาเลย ถึงมันจะแปลกแต่สำหรับดันเต้เขามองว่านั่นมันคือเรื่องที่ดีเพราะว่าชีวิตของเขายังไม่พร้อมที่จะรักใคร เขาต้องดูแลชาวเมืองให้ดีเสียก่อน ถึงจะสามารถมองหาสตรีที่แค่มองสบตาก็รู้สึกหวั่นไหวตั้งแต่แรกเห็นมาเป็นดัชเชสแห่งเดอเรก
ทว่าเขากลับได้รับราชโองการมาจากองค์จักรพรรดิ เรื่องการแต่งงานกับเลดี้ตระกูลเคนโนชา และได้รับรู้ข่าวลือของตัวเองอีกด้วยว่าเขาคือดยุคแห่งความตายที่ฆ่าภรรยาทุกคนในคืนเข้าหอ
เขามิได้โกรธเคืองเนวิลเพราะว่าข่าวลือนั้นมันช่วยให้เขาไม่ต้องปวดหัวกับสตรีไปพักใหญ่ๆเลยล่ะแต่ทว่า..เขาเป็นห่วงว่าที่ดัชเชสของเขาต่างหาก
นางจะแต่งงานกับเขาด้วยความรู้สึกแบบไหนกันนะ ทั้งที่เขามีข่าวลือแบบนั้นนางก็ยังจะต้องแต่งงานกับเขา เพียงเพราะว่านี่คือราชโองการจากองค์จักรพรรดิ
สตรีตัวเล็กๆ ผู้นั้นจะต้องเจ็บปวดมากๆ อย่างแน่นอน ดันเต้จึงตั้งมั่นในใจว่าเขาจะคุยกับสตรีผู้นั้นอย่างจริงจังว่าจะให้นางมาเป็นภรรยาในนามสักปี หรือว่าจนกว่านางอยากจะออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง
พอถึงเวลานั้นเขาจะหย่ากับนางเอง เพื่อส่งมอบอิสระและเงินทองมากมายให้นางเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนความเจ็บปวดที่นางได้รับ..
ดันเต้คิดเช่นนั้น ถึงแม่ว่านิสัยของเขามันจะตรงข้ามกับหน้าตาที่แสนโหดเหี้ยมนี้ก็ตาม แต่ทว่าเขาก็จะอ่อนโยนกับนางและไม่คิดแตะต้องนางเพื่อให้นางเสื่อมเสีย
เขาตั้งมั่นในใจจนเมื่อมือทั้งสองข้างนี้เปิดผ้าคลุมหน้าของนางออก สาบานได้เลยว่ามือของเขามันกำลังสั่นไหวอีกทั้งเขาไม่มั่นใจว่าในยามนี้ตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่กันแน่
ความสวยงามที่ไม่ว่าใครก็จะต้องตกอยู่ในภวังค์อย่างแน่นอน ท่านแม่สอนเขาเสมอว่ามนุษย์ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปเสียหมด ทุกคนต่างก็จะต้องมีจุดบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น
แล้วสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขานี้เธอคือความผิดพลาดของพระเจ้าหรืออย่างไรกัน พระองค์ถึงได้ปั้นแต่งนางออกมาให้งดงามและไร้ที่ติถึงเพียงนี้
เสียงฮือฮาดังขึ้นมาเมื่อทุกคนในห้องโถงได้เห็นใบหน้าอันงดงามของบุตรีของท่านเคาน์เคนโนชาเสียงพูดคุยดังขึ้นมาจนคาดินันต้องส่งสัญญาณเพื่อให้ทุกคนเงียบเสียง
ในยามนั้นที่หูของเขามันไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว เขากำลัง..ภาวนาเพื่อให้ถึงเวลาจุมพิตสาบานเขาอยากจะปิดผ้าคลุมลงไปเช่นเดิมเพื่อไม่ให้มีใครมองเห็นภรรยาของเขา
อยากจะพาเธอขึ้นรถม้าแล้วพานางไปซ่อนที่แกรนด์ดัชชีเดอเรก ประกาศก้องให้ทุกคนได้ล่วงรู้ว่านางคือภรรยาของเขา ความคิดที่ว่าจะปล่อยมือหรือว่าจะส่งมอบหนังสือหย่านั้นจางหายไปพร้อมๆ กับเสียงอวยพรของคาดินัน
“เชิญท่านดยุคจุมพิตสาบานได้เลยครับ”
ช่วงเวลาที่ดันเต้รอคอยนั้นเดินทางมาถึงแล้ว เขายกมือขึ้นมาเพื่อกอบกุมใบหน้าของนางเอาไว้ แล้วค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าลงไปใกล้ๆ นาง ริมฝีปากของเขาบรรจงทาบทับลงไปบนริมฝีปากอมชมพูที่ดูราวกับผลไม้สุกงอมของเธอ ทั้งที่เขาอยากจะลิ้มรสผลไม้นั่นแทบบ้า แต่ทว่าเขาจำต้องหยุดอยู่เพียงแค่นั้นเพราะว่าที่นี่คือห้องโถงจัดเลี้ยง
“ยินดีด้วยดยุค อยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน..”
“กระหม่อมจะเดินทางกลับแกรนด์ดัชชีเลยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ขอบพระทัยที่ทรงเมตตา แต่ทว่ากระหม่อมงานยุ่งเกินกว่าจะมามัวดื่มสังสรรค์”
องค์จักรพรรดิทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับดยุคเดอเรกเท่านั้น
หลังจากกล่าวจบดันเต้ก็จับมือของภรรยาเขาเพื่อให้เธอเดินตามเขาออกไปจากงานเลี้ยงที่แสนหรูหราแห่งนี้