บทที่ 2
แต่แล้ว...
ลมแรงที่พัดดอกเหมยปลิวไปทั่วทั้งบริเวณจนเข้ามาถึงห้องนอนของฮูหยินของท่านเจ้าเมืองทำให้ดวงตาสวยที่ยังคงมีน้ำตาซึมค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้ห้องนอนที่เงียบสงัดกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หลี่อ้ายเฉินรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านทั่วร่างกายทำให้นางสะดุ้งตื่นจากความฝันอันเลวร้าย
รอยคราบน้ำตายังแห้งติดอยู่ข้างแก้ม ร่างบอบบางที่อยู่บนเตียงนอนค่อยๆ ลืมตาและพบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่
"ข้ายังไม่ตายหรือ" หลี่อ้ายเฉินขมวดคิ้วพูดกับตัวเองด้วยความสับสนและงุนงง สายตาส่องสำรวจไปรอบ ๆ ห้องนอนที่คุ้นเคย แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะต่างออกไป
“ฮูหยินตื่นหรือยังเจ้าคะ ข้าจะเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ” ใบหน้าของเชียงเชียงสาวใช้ที่ติดตามมาจากตระกูลของตนเดินเข้ามาในห้องนอนของนายหญิงตนเองอย่างยินดีไม่ใช่สิ่งที่ฝูหรงสังเกต
เมื่อลุกขึ้นจากเตียง ก็รู้สึกว่าร่างกายยังมีพลังและสดชื่นกว่าที่คาดคิด ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มานานนับสิบปีแล้ว แต่สิ่งแรกที่ทำและนึกถึง กลับเป็นบุตรชายอันเป็นที่รัก นางจึงรีบลุกเดินไปยังโต๊ะข้างเตียงที่วางภาพวาดของบุตรชายของนางอยู่
แต่กลับพบว่าไม่มีภาพวาดนั้นอยู่ บนโต๊ะนั่นวางเปล่าทำให้หลี่อ้ายเฉินสับสนและกังวลใจไม่น้อย
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกอย่างจึงดูแตกต่างไป" หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระจกที่วางอยู่ข้าง ๆ และส่องดูใบหน้าตัวเอง
เมื่อเห็นใบหน้าที่อ่อนวัยกว่าเดิมหลายปี นางเห็นสิ่งอื่นมากกว่า ใบหน้าที่ดูเยาว์วัยและท่าทางที่ยังสดใส ไม่ได้ดูเศร้าสร้อยตามนางที่ถูกสามีเมินเฉยหลายต่อหลายครั้งต่างหากที่ทำให้เกิดความสงสัย ก็ตกใจและตระหนักว่าตนเองอาจย้อนเวลากลับมาในอดีตแล้วนี่เอง
“แล้วศพของคุณชายน้อย”
เชียงเชียงมองนายหญิงของตนด้วยแววตาสงสัย “ศพอะไรกันเจ้าคะ ฮูหยินฝันร้ายหรือเจ้าคะ แล้วจวนหลังนี้ก็ไม่ได้มีคุณชายเสียหน่อย มีแต่ท่านเจ้าเมืองแล้วก็ฮูหยินอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
ได้ฟังคำของสาวใช้ก็ยิ่งสร้างความสงสัย
“ท่านเจ้าเมืองหรือ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ใดกัน”
เชียงเชียงทำหน้าไม่พอใจแทนนายหญิง “ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าคะ ทิ้งคุณหนูของข้าอยู่แต่ในจวนเสมอเลย”
“ไปที่ใดกัน” หลี่อ้ายเฉินแอบสอบถามเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้กับเมื่อวานมันดูไม่ปะติดปะต่อกันพิกล
“ไปต้อนรับผู้ตรวจการที่มาจากเมืองหลวงเจ้าคะ”
คิ้วของอ้ายเฉินขมวดแน่นด้วยความงุนงง
มิน่าทุกสิ่งจึงดูประหลาดไป ไม่เหมือนเดิม
ไม่มีคุณชายนั่นก็หมายความว่าลูกของนางยังไม่เกิดอย่างนั้นหรือ หรือว่านางหลับไปนานเพราะเสียใจเรื่องลูกจนทุกคนลืมเลือนเสี่ยวชิงของนางไปแล้ว
“เชียงเชียงนี่รัชศกที่เท่าใดกัน “
” รัศศกจินไห่ปีที่เจ็ดเจ้าคะ”
คำที่ได้ยินทำให้หลี่อ้ายเฉินสวยเบิกกว้าง “เจ้าว่าอะไรนะ” อ้ายเฉินถามซ้ำ เพราะนั่นเป็นปีหลังจากนางเข้าพิธีมงคลกับเจ้าเมืองเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น
"ข้ากลับมายังช่วงที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ๆ กับหยางพ่างชุน"
เมื่อมีข่าวของนางกับท่านเจ้าเมืองที่หนุ่มที่สุดในเมืองนี้เผยแพร่ออกไปทุกคนต่างยินดีและบอกว่านี่เป็นวาสนาของนาง เพราะเจ้าเมืองเฉิงนั้นเป็นคนดีที่หาได้ยากในรอบร้อยปี และคนคนนั้นมาอยู่ในมือของหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างหลี่อ้ายเฉิน
เมื่อก่อนนางก็เคยคิดเช่นนี้ คิดว่าเป็นโชคดีที่ได้คนที่ทั้งเก่งกาจทุกด้าน ทั้งยังหน้าตาดี และมีฐานะที่ไม่อับอายใครเป็นสามีแต่ใครจะคิดว่านี่คือโศกนาฏกรรมในชีวิตของนาง
แม้จะมิรู้ว่าเรื่องตอนนี้จะเป็นเรื่องเพ้อฝันของนางก่อนจะตายหรือไม่ แต่นางจะไม่ยอมเจ็บปวดเพราะใช้ชีวิตกับคนใจร้ายอีกแล้ว
“เชียงเชียง เตรียมชุดให้ข้าแล้วไปเอากระดาษกับที่ฝนหมึกมาให้หน่อยสิ”
ชีวิตที่ใช้กับหยางพ่านชุนนานนับปีคงเป็นเรื่องหลอกไปไม่ได้ เช่นนั้นแล้วนางคิดว่าสวรรค์คงให้โอกาสให้นางได้เลือกทางเดินใหม่ บุตรชายจะได้ไม่ต้องสิ้นชีพไปเช่นนั้น ตัดสินใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีที่สุดแล้ว แม้ว่าจะเจ็บปวดแต่ก็ยังดีกว่าต้องแหลกสลายเมื่อสูญเสียทุกอย่าง
อ้ายเฉินเดินมาล้างหน้าและเมื่อมองไปที่คันฉ่องคำตอบก็ยิ่งชัดทั้งหน้าตาและวิธีการม้วนผมของนางเหมือนกับหลายปีก่อนจริง ๆ
ถึงแม้ว่าใครจะบอกว่าหยางพ่านชุนเป็นเจ้าเมืองที่ดีมากมายแค่ไหน แต่นางคงรับคนดีขนาดนั้นเอาไว้ไม่ได้แล้ว ให้เขาไปเจอคนที่เหมาะกับเขาจะดีกว่า
หลี่อ้ายเฉินพึมพำกับตัวเองด้วยความไม่เชื่อ แต่ทันใดนั้นเองนางก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ว่าโอกาสที่จะมีชีวิตใหม่อีกครั้งนี้จะต้องไม่สูญเปล่า
หลี่อ้ายเฉินตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ให้ชีวิตของนางต้องทนทุกข์อีกต่อไป นางจึงหยิบกระดาษพู่กัน เครื่องเขียนทั้งห้าขึ้นมา เพื่อเขียนจดหมายหย่าลงบนกระดาษขาว ด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เคยเผชิญและความหวังในการเริ่มต้นชีวิตใหม่
ก่อนดื่มยาพิษนางเขียนจดหมายลาตาย แต่เมื่อตื่นมาอีกครั้งราวกับได้ย้อนเวลามาแก้ไข คราวนี้นางได้เขียนหนังสือหย่า
ความรู้สึกช่างซ้อนทับกับช่วงเวลาที่ได้เขียนจดหมายเพื่อลาตายเหลือเกิน แต่บัดนี้มันช่างแตกต่างกันยิ่งนัก เพราะนางมิได้ทำเช่นนี้เพื่อจบชีวิตลง แต่เพื่อจบชีวิตรักบัดซบที่กำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก
“หยางพ่างชุน ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทนอยู่กับท่านอีกต่อไป ข้าจะกลับไปหาครอบครัวของข้า ข้าไม่อยากทนทุกข์กับความเย็นชาของท่านอีกแล้ว...”
นางจรดปลายพู่กันลงกระดาษด้วยใจที่มั่นคงและเด็ดเดี่ยวตัวอักษรจึงฉายความแน่วแน่และตั้งมั่น
เมื่อเขียนเสร็จนางตรวจสอบทุกตัวอักษรอย่างตั้งใจว่าหมึกแห้งสนิทดีแล้ว ก่อนจะวางจดหมายลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง และหันไปเก็บของใช้ส่วนตัวเพียงไม่กี่ชิ้นที่จำเป็น โดยไม่ได้สนใจสินสมรสอะไรเสียด้วยซ้ำ ตระกูลหลี่ของนางร่ำรวย ไม่สนใจของเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นหรอก
คิดแล้วก็หันมองไปรอบ ๆ ห้องเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงก้าวออกจากจวนที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของนางและหยางพ่างชุนด้วยใจที่เต็มไปด้วยความหวังและความกล้าหาญ
"ข้าจะไม่ทนทุกข์อีกต่อไป ข้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่" นางพูดกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่น และก้าวเดินไปสู่อนาคตที่นางตั้งใจจะสร้างขึ้นใหม่
นางเดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังจวนของบิดามารดาของนาง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตลาดในเมือง นางรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น สายตาของนางสะท้อนความมุ่งมั่นและความหวังในอนาคตอย่างเต็มเปี่ยม
ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรหลี่อ้ายเฉินไม่สนใจที่จะแสวงหาความกระจ่าง ขอเพียงนางได้เริ่มต้นใหม่ ไม่ต้องใช้ชีวิตเป็นเพียงภรรยาเจ้าเมือง มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ในจวนเจ้าเมืองเพียงลำพังอยู่ท้ายจวนอีกแล้ว