“แม่ต๋า...พ่อคืออะไรคะ” หนูมิ้นนั่งเล่นกับเพื่อนรักเหมือนเคย เธอถามโดยไม่ได้หันไปมองผู้เป็นแม่ที่นั่งรีดผ้าอยู่ใกล้ๆ กัน
แต่เภตรากลับชะงัก นำเตารีดวางตรงที่วางแล้วนั่งสงบค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ...
เธอรู้อยู่แล้วว่าสักวัน คำถามนี้จะต้องเกิดขึ้นในใจลูกสาว ยิ่งได้อยู่ในสภาพแวดล้อม สังคมที่กว้างขึ้น เด็กที่กำลังอยู่ในช่วงมีพัฒนาการย่อมอยากรู้อยากเห็นไปหมด
“พ่อ...ก็คือคนที่ทำให้ลูกเกิดมาไงจ้ะ”
“เอ๋ ก็แม่เกิดหนูมิ้นนี่คะ พ่อก็เกิดลูกได้ด้วยเหรอคะ” คำตอบของแม่ยิ่งชวนสงสัย เธอขมวดคิ้วย่นแล้วหันไปมองมารดา
“ใช่จ้ะ...แต่แม่คนเดียวก็ทำให้หนูเกิดมาไม่ได้หรอก ต้องมีพ่อด้วย อืม...หนูมิ้นเห็นไหมคะว่าเพื่อนๆ ที่โรงเรียนบางคนก็มีคุณพ่อไปส่ง บางคนมีคุณแม่พาไป และบางคน...ก็มีทั้งคุณพ่อคุณแม่”
“ใช่ๆ ค่ะ เห็นค่ะ...แต่หนูมิ้นคิดว่าพ่อกับแม่เป็นญาติกัน แต่วันนี้หนูมิ้นได้คุยกับคอปเตอร์ คอปเตอร์บอกว่าเขาไม่มีแม่ หนูมิ้นเลยสงสัยค่ะ ว่าทำไมคอปเตอร์ไม่มีแม่ แต่มีพ่อ แล้วหนูมิ้นไม่มีพ่อ แต่มีแม่...” ว่าแล้วก็พูดเป็นต่อยหอย
“อืม...คืออย่างนี้นะคะ บางคนคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เหมือนหนูมิ้นกับน้องคอปเตอร์ไง แต่บางครอบครัว...เขาก็ยังอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า”
“ทำไมล่ะคะ”
“มันมีเหตุผลหลายอย่างเลยค่ะ...ไว้หนูมิ้นโตกว่านี้อีกหน่อยก็จะเข้าใจมากขึ้น”
“แล้ว...ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่ก็หาซื้อไม่ได้สิคะใช่ไหม”
“หนูมิ้น ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนคะเนี่ย ซื้อไม่ได้หรอก ไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่อาหารหรือสัตว์เลี้ยงจ้ะ”
“แล้วคุณพ่อหนูมิ้นไปไหนคะ...แล้วแม่คอปเตอร์ไปไหน”
“คุณพ่อหนูมิ้น...เขาอยากอยู่คนเดียวค่ะ ก็เลยยกหนูมิ้นให้แม่ดูแล เพราะเขารู้ว่าแม่จะรักหนูมิ้นมากๆ” ผู้เป็นแม่ยิ้มเศร้า
“หมายความว่าคุณพ่อไม่ได้รักหนูมิ้นมากๆ?”
“รักสิคะ...” พูดคำนี้ออกมา ก็ต้องหันหน้าไปทางอื่นเพื่อปาดน้ำตา ไม่อยากให้ลูกได้เห็น หนูมิ้นไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกของคำว่า ‘ไม่รัก’ มันเป็นอย่างไร และเธอก็ไม่อยากให้ลูกรับรู้ถึงมันในตอนนี้ จิตใจดวงน้อยบอบบางเกินไป เกินกว่าที่คนเป็นแม่จะทนเห็นแม้เศษเสี้ยวความเสียใจของลูก
“...” หนูมิ้นทำหน้าสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา ราวกับกำลังลำดับคำพูดว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร
“คุณพ่อหนูมิ้นน่ะ...เขาต้องทำงานหนัก แล้วก็ยุ่งมากๆ ด้วย อีกอย่างเราอยู่ไกลกัน แม่ก็ไม่รู้แล้วว่าคุณพ่ออยู่ที่ไหน เรื่องบางอย่างของพวกผู้ใหญ่มันก็ยากจะอธิยายจ้ะ ไว้แม่จะค่อยๆ สอน หนูมิ้นจะได้ไม่สับสน แล้วอีกหน่อยพอโตขึ้น หนูก็จะเข้าใจเองว่า ทำไม เพราะอะไร...โอเคไหมคะ” เภตราผ่อนลมหายใจเบาๆ เพื่อพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอออกมา
เธอรู้ว่าไม่อาจกักขังลูกไว้ในโลกอันสวยงามซึ่งเธอสร้างล้อมตัวแกไว้ตั้งแต่เกิดตลอดไป แต่อย่างน้อยๆ ก็ขอเวลาให้หนูมิ้นโตกว่านี้อีกสักหน่อย มีวุฒิภาวะพอที่จะเข้าใจเรื่องราวว่าในโลกใบนี้ มันมีความหลากหลายมากแค่ไหน
“โอเคค่ะ...หนูมิ้นดีใจที่มีพ่อด้วยค่ะ” เด็กน้อยยิ้มร่าเริงแล้วหันกลับไปเล่นกับตุ๊กตาตัวโปรด
เภตรารีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ ปิดประตู...แล้วทรุดตัวลงนั่งปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้ม สุดจะอดกลั้นเอาไว้เต็มที หากอยู่ลำพัง เธอมั่นใจว่าเข้มแข็งพอที่จะตัดขาดชีวิตจากผู้ชายชั่วๆ คนนั้น แต่พอมีลูก...
มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จะลืมเรื่องราวทุกอย่าง เธอสงสารหนูมิ้นไปถึงก้นบึ้งจิตวิญญาณ ถ้าแกได้รู้ความจริงว่าพ่อที่แกดีใจว่าแกก็มีเหมือนเด็กคนอื่น...คือคนที่ไม่เคยคิดอยากมีแก
คนคนนั้นแทบนอกจากจะเป็นพ่อให้หนูมิ้นไม่ได้แล้ว แม้แต่ความเป็นคนเขาก็ไม่คู่ควรด้วยซ้ำ หากโป้ปดไปว่าพ่อ...ตายไปแล้ว อาจจะเป็นการง่ายกว่า แต่สักวันหนูมิ้นก็ต้องรู้ความจริง
สงสาร...สงสารลูกสาว ดวงใจดวงน้อยๆ ของแม่เหลือเกิน
หลังจากเคลียร์งานที่บริษัท เพราะช่วงนี้กำลังมีผลิตภัณฑ์ทองรูปพรรณดีไซน์ใหม่ๆ ขึ้นมา และเขาต้องเป็นผู้ตรวจสอบทุกรายละเอียด ก่อนจะได้นำออกมาวางขายจริงๆ
บริษัทของเขามีทีมนักออกแบบเครื่องประดับฝีมือฉมังที่ขึ้นชื่อว่าหาตัวจับยาก ควบคุมโดยนักออกแบบชื่อดังชาวอิตาลี ผู้ไม่เคยทำให้องค์กรต้องผิดหวัง แต่กระนั้นเขาทุกอย่างก็ต้องผ่านการรับรองจากเขา ทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวมากนัก
หลังเรียนจบและกลับมาจากต่างประเทศ...ชีวิตเขาก็วนเวียนอยู่แต่กับงาน และงาน...
เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พอจะเยียวยาความรู้สึกได้
สายตาของอมันต์เงยมองขึ้นไปตามความสูงของตึก สถานที่ซึ่งเขาได้สืบมาแล้วว่าเภตรากับลูกอาศัยอยู่ เพียงแต่ไม่ทราบรายละเอียดว่าพักห้องไหน ชั้นไหน
อพาร์ทเมนท์กลางเก่ากลางใหม่ แต่ดูสะอาดตา รวมถึงรับรู้ได้ว่ามีการดูแลความปลอดภัยเป็นอย่างดี เพราะมีทั้งกล้องวงจรปิด รปภ และประตูที่ใช้ระบบคีร์การ์ด สำหรับผู้ที่พักอยู่ในนี้จริงๆ จึงจะเข้าไปได้
แต่การป้องกันเหล่านั้นก็ไม่ใช่จะหยุดยั้งเขา มีหลายวิธีที่จะเข้าไปติดต่อสอบถาม รวมถึงสามารถพาร้อยเวรเจ้าของคดีซึ่งก็อยู่ในพื้นที่จัดการให้ได้ กระนั้นเขาก็เลือกที่จะยืนรอเธออยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นสวนหย่อมเล็กๆ แต่ก็ให้ความร่มรื่นเป็นอย่างดี และมีม้าหินอ่อนให้นั่งพักอยู่หลายจุดอีกด้วย
วันนี้เป็นวันพุธ เภตราต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนตั้งแต่เช้า เขาลงเครื่องและมาถึงไม่ทัน...แต่มั่นใจได้ว่าเพิ่งจะเจ็ดโมง อย่างไรเสียเธอก็ยังไม่กลับมาแน่ๆ
ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนนั่งหน้านิ้วคิ้วขมวด มองคนผ่านไปผ่านมาหน้าอพาร์ทเมนท์ด้วยความใจจดใจจ่อ ในใจก็ครุ่นคิดว่าการพบกันครั้งนี้...เขาควรจะเริ่มต้นอย่างไร
สามสิบนาทีต่อมา...หญิงสาวที่เขาเฝ้ารอก้าวลงจากแท็กซี่ที่เพิ่งเข้ามาจอด เธอยืนพูดคุยกับคนขับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คงเพราะรู้จักมักคุ้นกัน อมันต์หยิบโทรศัพท์กดเบอร์โทร.ที่ได้มาหาเธอทันที เมื่อแท็กซี่คันนั้นเคลื่อนตัวจากไป
ร่างเล็กชะงัก...ล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายข้าง ยกขึ้นมาดูหน้าจอ ลมหายใจขาดห้วงไปชั่วระยะ แม้เธอจะเปลี่ยนเบอร์แล้ว แต่เบอร์ที่กำลังโชว์อยู่นี้...ยังไม่ได้เปลี่ยน และเธอจำได้
“พี่อาร์ต...” เสียงฟังไม่ได้ศัพท์พึมพำ และตัดสินใจกดตัดสายแล้วปิดเครื่องทันที กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าอพาร์ทเมนท์
“เภตรา” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกเธอในระยะประชิด ทางด้านหลัง
หญิงสาวหันขวับไปโดยอัตโนมัติ ดวงตาเบิกโพลงเมื่อเห็นคนตรงหน้า ที่กำลังถือโทรศัพท์แนบหู และจ้องมองเธอแน่วแน่
“มาทำไม...” เธอหลบสายตาจากเขา แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจที่แน่นอัดให้คลายลง ยอมรับว่าไม่ได้ตั้งตัวที่จะพบเจอสถานการณ์เช่นนี้
“มาหาหนู...กับลูก” เขาลดมือลง แล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋า
“เพื่อ?” หญิงสาวแสยะยิ้มแล้วเหลือบมองเขาด้วยความสังเวช
“ไม่เอาน่า...พี่อยากคุยกับหนู แล้วก็อยากเจอลูกด้วย”
“ลูก...คุณอมันต์คะ ลูกของคุณคุณได้ฆ่าแกกับมือไปแล้ว จำไม่ได้เหรอคะ หึ...อย่ามาน้ำเน่ากับฉันดีกว่า ไร้สาระ จะไปไหนก็ไปเถอะ อย่ามาสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตพวกเราอีกเลย” เธอยกมือขึ้นกอดอกแล้วจ้องตาเขาเขม็ง
กลับเป็นอีกฝ่าย...ที่มองตอบด้วยความเสียใจ เว้าวอน...
“พี่รู้ว่าพี่ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย และหนูก็คงไม่ให้อภัยพี่ แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว พี่ก็อยากรับผิดชอบในสิ่งที่เคยทำลงไป”
“ไม่มีใครต้องการให้คุณรับผิดชอบ...เรามีความสุขกันดีตามประสาแม่ลูก แล้วมันคงแย่มาก ถ้าคุณจะเข้ามาเกี่ยวข้อง” น้ำเสียงของเธอไม่ยินดียินร้าย
จนคนฟังใจหาย...ราวกับเขากำลังสนทนาอยู่กับเภตรา ที่ไม่ใช่เธอคนเดิม...
“เอางี้นะ...อย่ายืนเถียงกันเลย ไปหาคาเฟ่นั่งดื่มอะไรกันสักหน่อย ได้โปรดเถอะ...พี่รอวันนี้มาห้าปีแล้วเภตรา พี่รู้สึกเหมือนตัวเองตายแล้วได้เกิดใหม่”
“...” หญิงสาวครุ่นคิด ด้วยเพราะรู้จักนิสัยอมันต์ดี เขาจะไม่ยอมลดราวาศอกจากไปเฉยๆ เป็นแน่ และยิ่งนำพาความยุ่งยากมาให้เธอกับลูกไม่จบไม่สิ้น ทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่การหนีอีกต่อไป แต่เป็นการเจรจา...