แพลนฮันนีมูนหนึ่งเดือนต้องจบลงก่อนกำหนด ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ที่เชียงใหม่เพียงสิบวัน เพราะสุคนธรสไม่อาจทนต่อความเฉยชาของสามีได้อีกต่อไป แม้จะเห็นว่าเขาพยายามเอาใจเธอ ตามใจทุกอย่าง แต่ก็สัมผัสได้ว่ามันเป็นเพียงเปลือกนอก จิตใจของเขาล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
อุบัติเหตุในวันนั้นได้เปลี่ยนชีวิตแต่งงานของเธอและเขาไปแล้ว อมันต์ไม่เหมือนเดิม...ยิ่งทำให้เธอปักใจเชื่อว่ามันจะต้องมีความผิดปกติบางอย่างระหว่างเขากับสองแม่ลูกนั่น
แต่มันคืออะไรล่ะ....
“เภตรา ฤกษ์ฤทธิ์...เคทไปรู้จักชื่อนี้มาจากไหน” พรรณราย์เอ่ยถามลูกสะใภ้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย การมาเยือนของสุคนธรสในวันนี้ เกิดปัญหาบางอย่างขึ้นไม่ผิดไปจากที่สงสัยตั้งแต่แรก เมื่อลูกชายบอกว่าจะกลับมาจากฮันนีมูนก่อนกำหนด และเมื่อถามว่าเพราะอะไร...นางกลับไม่ได้คำตอบจากเขา
“ม๊ารู้จัก...ใช่ไหมคะ”
“นามสกุลนี้ก็เคยได้ยินมาบ้าง...แต่คนที่หนูพูดถึงม๊าไม่รู้จักหรอกนะ” นางตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เหรอคะ” หญิงสาวก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เมื่อคิดว่าอาจจะได้ข้อมูลอะไรจากแม่สามีบ้าง เผื่อจะได้คลายความขุ่นข้องหมองใจที่รังควาญอยู่ไม่หาย แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น
“บอกม๊ามาตรงๆ ได้ไหมเคท ว่าทำไมถึงกลับกันมาก่อนกำหนดตั้งหลายวัน” นางวางมือลงบนไหล่บอบบาง แววตาที่มองอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเอ็นดู
“มีอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ คุณอาร์ตขับรถไปชนคนเข้า แต่ก็...ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ เคทแค่รู้สึกว่าฤกษ์ไม่ค่อยดี ก็เลยชวนกันกลับ”
“ตายจริง...อาร์ตไม่เห็นบอกเรื่องนี้กับม๊าเลย”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ คุณอาร์ตคงไม่อยากให้คุณแม่เป็นห่วงก็เลยไม่ได้บอก”
“แล้วมันเกี่ยวกับคนที่ชื่อเภตราด้วยหรือเปล่า...เรื่องขับรถไปชนเขาน่ะ” นางถามด้วยความกระตือรือร้น
“ใช่ค่ะ...คุณอาร์ตขับรถชนลูกสาวกับผู้หญิงคนนั้น” เธอตอบไปตามตรง และคอยจับสังเกตปฏิกิริยาของพรรณราย์ไปด้วย
“ลูกสาว...” คนฟังถึงกับอุทานด้วยความตกใจ
“ใช่ค่ะ เด็กอายุสามสี่ขวบกว่าๆ เอง โชคดีที่แค่หัวแตก มีแผลถลอกแล้วก็รอยฟกช้ำเล็กน้อย ถ้าวันนั้นคุณอาร์ตเบรคไม่ทันก็คงสาหัสกว่านี้แน่ค่ะ” เธอเล่าต่อ สีหน้าตกใจของพรรณราย์ เมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมีลูกยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่า มาได้ถูกทางแล้วจริงๆ
“อืม...ไม่มีใครเป็นอะไรกันก็ดี แล้วเคทจะถามแม่ทำไม หรือว่าพวกนั้นไม่ยอมจบ ตาอาร์ตจ่ายให้ไปเท่าไหร่ล่ะ”
“ไม่เลยค่ะ...ไม่ได้เรียกร้องอะไร เคทถึงได้ถามเพราะรู้สึกว่ามันแปลกๆ คิดว่าอาจจะเป็นคนรู้จักกันน่ะค่ะ” เธอยิ้ม
“ถ้างั้นม๊าว่าเคทคงคิดมากไปเองแล้วล่ะ...เพิ่งแต่งงานกันแท้ๆ อย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาใส่ใจเลยนะ เออนี่...เย็นนี้ก็อยู่กินข้าวกับม๊ากับป๊าเสียเลยสิ เดี๋ยวค่อยโทร.บอกให้ตาอาร์ตตามมา”
“ได้ค่ะม๊า...ถ้าอย่างนั้นเคทขอลงมือเข้าครัวเองนะคะ” เธอยิ้มให้แม่สามี ผู้ซึ่งมีความเมตตาให้เสมอตั้งแต่แรกคบหาเป็นคู่รักกับลูกชายของท่าน ก่อนจะตัดสินใจแต่งงานกันหลังจากนั้นหนึ่งปี...
“ทำไมไม่บอกเรื่องนี้กับแม่ แล้วเรื่องเด็ก...แกคิดว่ายังไง” พรรณราย์เอ่ยถาม ยกกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อยแล้ววางลงบนจานรองดังเดิม จากนั้นก็พยักหน้าให้กับตอง สาวใช้คนสนิทให้ไปสั่งกาแฟและนั่งรอที่โต๊ะอื่นพลางๆ ก่อน
นานแล้ว...ที่ไม่ได้นัดลูกชายออกมาข้างนอกแล้วนั่งคุยกันแบบนี้ แต่บรรยากาศของคาเฟ่แบบโอเพ่น ก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายเท่าไหร่ เพราะมีเรื่องค้างคาทำให้ใจขุ่นมัวมาหลายวัน และไม่สามารถพูดกับใครได้ด้วย
“ผมไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหนดี” อมันต์ตอบ พลางเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าชาเฉย รู้อยู่แล้วว่าภรรยาจะต้องนำเรื่องนี้มาคุยกับแม่ และท่านคงหาโอกาสเค้นเอาความกับเขาอยู่
“ม๊าอยากจะคุยด้วยตั้งแต่วันแรกที่รู้ด้วยซ้ำ แต่ไม่อยากคุยกันที่บ้าน แล้วก็ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ด้วย นี่มันเรื่องสำคัญมากนะอาร์ต”
“ผมอยากจะกลับไปเชียงใหม่ อยากไปหาพวกเขา”
“แล้วหนูเคทล่ะ...ถ้าเกิดเด็กคนนั้นเป็นลูกของแกจริงๆ หนูเคทจะรับได้หรือเปล่า” นางถอนหายใจใหญ่ ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาทำให้ชีวิตของอมันต์วุ่นวายอีกจนได้ นานมากแล้ว...และไม่ควรจะพบเจอกันอีกเลยแท้ๆ
“ถึงต้องไปหาความจริงไงครับ...มีอะไรอีกมากมายที่ผมอยากรู้จากปากของเภตรา เขาหายสาบสูญจนผมคิดว่าเสียไปแล้วเพราะแท้งลูกด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ ก็ได้พบกัน ผมไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไปอีก”
“คนที่แกควรคิดถึงตอนนี้คือหนูเคทนะอาร์ต...อีกอย่าง มันตั้งห้าปีมาแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เภตราอาจจะมีผัวใหม่ มีครอบครัวใหม่ไปแล้วก็ได้ แกจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นมาอีกทำไม”
“แล้วถ้าไม่ได้เป็นแบบนั้นล่ะครับ ถ้าเภตราปลอดภัยและเด็กคนนั้นก็เป็นลูกผม ม๊าจะไม่ให้ผมดูดำดูดีเลยหรือยังไง”
“ที่นัดแกมาคุยส่วนตัวก็เพราะฉันรู้ว่าแกกำลังคิดจะทำอะไร มันไม่มีประโยชน์หรอกอาร์ต ตอนนี้ชีวิตลูกดีอยู่แล้ว อย่าหาเรื่องใส่ตัวให้ม๊ากับป๊าปวดหัวอีกได้ไหม” สีหน้าของนางเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ผมรู้ว่าผมแต่งงานแล้ว เรื่องระหว่างผมกับเภตรา ต่อให้เขาไปมีครอบครัวใหม่หรือยังไม่มี ผมก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมกับเขาไม่ได้ แต่ถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกผม...ขอให้ผมได้ชดเชยสิ่งที่เคยทำไว้กับแกเถอะครับ” ท้ายประโยคน้ำเสียงของเขาอ่อนลงด้วยความหดหู่ในใจ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เกลียดตัวเองมาจนถึงบัดนี้
แต่มันก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว...
“แล้วลูกคิดจะทำยังไงกับหนูเคท”
“ผมจะบอกความจริงกับเขาครับ ไม่มีประโยชน์จะต้องมาปิดบังอะไรกัน เพราะถ้าเด็กเป็นลูกของผมจริงๆ เขาก็ต้องรู้อยู่วันยังค่ำ” เขาคิดตริตรองเรื่องนี้อยู่นาน และไม่ได้บอกกับสุคนธรสตั้งแต่แรกก็เพราะยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอย่างไรดี แต่ตอนนี้ได้ตัดสินใจดีแล้ว...
อย่างน้อยๆ ในฐานะคนรักเก่า ในฐานะที่เคยทำผิดต่อผู้หญิงคนหนึ่ง เขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องที่ค้างคาใจอยู่นี้เลยตามเลยเด็ดขาด
“อย่าเด็ดขาด...เพราะถ้าไม่ใช่ลูกของแกจริง หนูเคทจะต้องไม่สบายใจที่แกเคยเกือบมีลูกกับคนอื่นมาก่อนจะแต่งงาน”
“ถ้าเขารักผม เขาต้องเข้าใจสิครับว่าเรื่องมันผ่านมานานแล้ว หม่าม๊า...คนเราทุกคนย่อมเคยมีสตอรี่ในชีวิตทั้งเรื่องดีและไม่ดีกันทั้งนั้นแหละครับ” เขาพยายามอธิบาย และรู้นิสัยสุคนธรสดีว่า แม้เธอจะเป็นคนขี้หึงบ้างตามประสาผู้หญิง แต่หากได้พูดคุยกันด้วยเหตุผล เธอก็จะรับฟัง...
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วหากยังจะปกปิดกันต่อไป รังแต่จะมีปัญหายืดเยื้อไม่จบไม่สิ้น
“ม๊ารู้ว่าคงห้ามไม่ได้ ถ้าเป็นเรื่องนางเด็กนั่นแกไม่เคยฟังใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ม๊าเป็นแม่ จะให้มาทนเห็นอนาคตของลูกคนเดียวต้องมาพังพินาศอีกรอบเพราะมันอีกม๊าก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
“ม๊าครับ...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ถ้ายังคิดว่าฉันเป็นแม่แกอยู่” พรรณราย์ยื่นคำขาด เพราะนางรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น หากปล่อยให้ลูกชายทำตามใจ
เขาจะไม่หยุด...และมันคงมีปัญหายุ่งยากวุ่นวายตามมา อย่างไม่อาจควบคุมได้
ทั้งที่ครั้งหนึ่งมันจบสิ้นไปแล้วแท้ๆ จนแล้วจนรอด หายนะก็วนกลับมาอีก ไม่รู้ว่าครอบครัวของนางได้เคยไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับเภตรานักหนา ผู้หญิงคนนั้นถึงไม่ยอมหลุดพ้นไปจากวงโคจรชีวิตสักที
“เรื่องทุกอย่างเพราะผมเป็นคนผิด และเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ผมก็แค่อยากรู้ความเป็นไป...เอาเป็นว่าผมจะยังไม่คุยกับเคทจนกว่าจะแน่ใจว่าเด็กเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผมหรือเปล่า”
“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ...”
“เคทก็ไม่จำเป็นต้องรู้...ตามที่ม๊าต้องการ เพราะมันไม่ได้ผิดปกติถ้าผมจะเคยคบใครมาก่อนบ้าง และไม่จำเป็นต้องเล่าทุกเรื่องในชีวิตให้เขาฟัง เคทเอง...ไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิก เขาไม่สนใจอดีตมากกว่าอนาคตหรอกครับ” ชายหนุ่มอธิบาย ด้วยไม่ต้องการรับปากแม่ว่าเขาจะยอมอยู่เฉยๆ เพราะต่างก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“...” พรรณราย์มีท่าทีลังเล ได้แต่ถอนหายใจ จะห้ามก็ห้ามไม่ได้ หากปล่อยเลยตามเลยกลัวปัญหาที่จะตามมา นางไม่รู้เหมือนกันว่าต้องจัดการอย่างไร เมื่อลางสังหรณ์มันบอกว่าความสงบสุขกำลังจะสาบสูญไปตลอดกาลในเร็วๆ นี้
ท่ามกลางความบาดหมางที่เริ่มก่อตัวคุกรุ่น อมันต์ตัดสินใจขอตัวกลับไปบริษัทเพื่อทำงานต่อ ปล่อยให้พรรณราย์นั่งใคร่ครวญถึงเรื่องราวต่างๆ ว่าต่อไปนี้นางจะรับมือกับมันอย่างไรดี เพื่อประคองชีวิตแต่งงานของลูกชาย และให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม
เป็นเหมือน...ตอนที่ไม่มีเภตราอยู่ในชีวิตของเขา