บทที่ 4 งานพิเศษ...ทำไมต้องเจอ?1

1324 คำ
ร่างเล็กเจ้าของความสูงไม่ถึงร้อยหกสิบเซนติเมตร สะพายกระเป๋าย่ามใบเก่งเดินออกจากอาคารสำนักงานบริษัทรับเหมาก่อสร้างอันดับหนึ่งของโลกด้วยความรู้สึกสบายใจ เนื่องจากก่อนออกมาเธอเพิ่งวางสายจากผู้จัดการฝ่ายเทคโนฯ หรือพี่โตของเธอนั่นเอง หนุ่มใหญ่เจ้าของตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายเทคโนฯ โทรมาบอกว่ากลับถึงเมืองไทยแล้ว และพรุ่งนี้ตนกับผู้ช่วยคนเก่งจะมาทำงานตามปกติ ซึ่งแน่นอนว่าการกลับมาของพี่ชายคนสนิททั้งสองคน จะต้องมาพร้อมกับของฝากและค่าแรงที่เธอต้องมาอดหลับอดนอนจนแทบจะกลายร่างเป็นผีดิบอยู่ที่นี่ จนไม่ได้ไปเรียนเป็นเรื่องเป็นราวมาหลายวัน ดีที่มีเพื่อน ๆ คอยช่วยดูเรื่องการเช็คชื่อของอาจารย์ ไม่อย่างนั้นมีหวัง เดือนหน้าเธออาจหมดสิทธ์สอบแน่ ๆ “เด็กนั่น ท่าทางจะเก่งไม่เบานะครับนาย ขนาดผมที่ว่าเก่งแล้วยังแก้ได้ไม่เร็วเท่าเด็กนั่นเลยครับ” จอห์นสันหันมาพูดคุยกับเจ้านายที่นั่งหน้านิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์คันหรู ซึ่งกำลังมุ่งหน้าออกจากอาคารสำนักงานแห่งนี้ แต่สายตากลับเห็นยัยเด็กสกปรกกำลังเดินออกไปยืนอยู่ริมฟุตบาทหน้าบริษัทฯ คงจะรอขึ้นรถประจำทาง “อืม” ตอบออกไปสั้น ๆ เพราะตอนนี้กำลังให้ความสนใจกับร่างบางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รถเข็นขายอะไรสักอย่างที่ตอนนี้กำลังมีควันไฟคละคลุ้งเต็มไปหมด สายตาคมยังคงมองร่างเล็กไม่วางตา เนื่องจากระยะที่รถคันหรูจอดรอจังหวะออกสู่ถนนใหญ่กับบริเวณที่ยัยเด็กนั่นกำลังยืนอยู่ ใกล้กันมากจนเขาสามารถเห็นสีหน้าของเด็กสาวตอนที่กำลังอ้าปากพ่นลมออกมาเพื่อระบายความร้อนจากสิ่งที่เพิ่งกินเข้าไป “นอกจากสกปรก ยังตะกละอีก!” พึมพำในลำคอเบา ๆ และเผลอยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวกับท่าทางยกมือข้างหนึ่งขึ้นพัดแรง ๆ ไปยังริมฝีปากที่กำลังอ้ากว้างของยัยเด็กสกปรกที่เขารู้เพียงชื่อสั้นๆ “หนาม” บรรยากาศครึกครื้นในสถานบันเทิงมีชื่อย่านใจกลางเมือง เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ออกมาสังสรรค์ หาความสุขกับเสียงเพลงและแสงสี สองขาเรียวเล็กภายใต้รองเท้าผ้าใบสีกลางเก่ากลางใหม่ เดินทอดน่องฝ่าฝูงชนเข้ามาภายในสถานบันเทิงมีชื่อ และเป็นที่รู้จักกันดีของนักเที่ยวกระเป๋าหนักทั้งหลาย “สวัสดีค่ะพี่พีท” เอ่ยทักทายเจ้าของสถานบันเทิงหรูพร้อมยกมือไหว้เมื่อเดินเข้ามาแล้วเห็นชายหนุ่มกำลังยืนสั่งงานกับหัวหน้าคณะดนตรีที่กำลังจะขึ้นแสดง “มาแล้วเหรอหนาม หายไปหลายวันนะ” หันมาทักทายกับหญิงสาวตรงหน้าอย่างสนิทสนม พร้อมยกมือขึ้นเขย่าศีรษะทุยได้รูปไปมาด้วยความเอ็นดู “ค่ะพี่ พอดีมีงานของพี่โต” บอกพลางเดินเลี่ยงออกไปเพื่อเตรียมตัวทำงานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า “ไม่กินข้าวก่อนเหรอ เหลือเวลาอีกเยอะเลยนะ ทำไมไอ้โตมันใช้งานเราหนักนักรึไง” หนุ่มเจ้าของสถานบันเทิงหรูกล่าวชวน และยังพาดพิงถึงเพื่อนสนิทพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้างานของสาวร่างเล็ก ภาทิศสังเกตเห็นรอยคล้ำรอบดวงตากลมหม่นของเด็กสาวแล้วก็อดนึกสงสารไม่ได้ นี่คงจะอดนอนทำงานหนักติดต่อกันอีกแล้ว เขาเคยเตือนหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำขนาดนี้ก็ได้ เพราะแค่เอ่ยปากบอกกับผู้ปกครองคำเดียว เด็กคนนี้แทบไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยเลย แต่นั่นแหละ ทั้งผู้ปกครองและเด็กในปกครอง ก็มีนิสัยไม่ต่างกันนักจนเรียกได้ว่าเหมือนกันราวกับเป็นพี่น้องคลานตามกันมาเลยทีเดียว ไอ้การจะรอความช่วยเหลือจากคนอื่นอย่างเดียวโดยที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลย ไม่เคยอยู่ในความคิดของสองคนนี้! “กินไม่ทันแล้วพี่ หนามหายไปหลายวันมือเข็งไปหมดแล้ว ขอซ้อมนิด นึงก่อนดีกว่าค่ะ” เสียงเล็กเรียกให้ภาทิศก้มลงมองด้วยสายตาเอ็นดูกับภาพใบหน้ามุ่ยปากยู่พร้อมกับยกมือสองข้างขึ้นมาทำท่านวดไปมา “พี่โตแกไปเมืองนอก งานเลยงอกที่หนามน่ะค่ะ” หันมาพูดติดตลกกับชายหนุ่มที่เป็นเสมือนพ่อและพี่ชายที่รักและเคารพ พลางเดินแยกออกไปยังเครื่องดนตรีที่ต้องใช้แสดงคืนนี้ “งั้นช่วงพักค่อยมากินล่ะกัน” พีทตะโกนไล่หลังร่างบางไปเสียงดัง ก่อนเดินออกมาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยในส่วนอื่น ๆ เหลือเวลาอีกประมาณยี่สิบนาที ก่อนการแสดงดนตรีสดจะเริ่ม เด็กสาวซึ่งกำลังซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อมอยู่ด้านข้างเวที กำลังใช้สมาธิอย่างสูงเนื่องจากหยุดเล่นไปหลายวัน ทำให้มือไม้เริ่มแข็งเล่นไม่ค่อยคล่องเหมือนเคย งานในสถานบันเทิงแห่งนี้ ถือเป็นงานพิเศษอีกหนึ่งอย่างที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเธอ นอกจากงานเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่รับจากพี่โต ถึงแม้งานทั้งสองอย่างนี้ดูจะไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกันสักเท่าไหร่ แต่เธอก็สามารถทำมันได้อย่างดีแถมยังได้รับค่าตอบแทนที่ดีทีเดียว เดิมทีเธอแค่ลองหัดเล่นเพราะเพื่อน ๆ ที่คณะมักชวนเล่นเป็นประจำหลังเลิกเรียน และด้วยความที่มีเพื่อนน้อยเนื่องจากเธอค่อนข้างทำงานหลายอย่างเพื่อเก็บเงินส่งตัวเองเรียนและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาไปนั่งคุย หรือเดินช็อปปิ้งกับบรรดาเพื่อนผู้หญิง จนสุดท้ายเพื่อนที่คบกันได้นานที่สุดส่วนใหญ่คือบรรดาหนุ่ม ๆ ร่วมคณะเพียงไม่กี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือครูคนแรกที่สอนให้เธอเล่นกีตาร์ และยังได้มีโอกาสใช้ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวจนถึงทุกวันนี้ จากเด็กกำพร้าเนื่องจากยายที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ๆ เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจตอนที่เด็กหญิงน่านนรีอายุได้เพียงสิบขวบเท่านั้น คุณครูประจำชั้นที่รักและเอ็นดูเธอ นำตัวเด็กหญิงน่านนรี พิทักษ์กุล หรือหนาม เดินทางเข้ามาในกรุงเทพมหานคร เพื่อฝากให้อยู่ในความดูแลของมูลนิธิ “แมคเรอเวล” ซึ่งสถานที่แห่งนี้ เป็นที่ที่ทำให้ชีวิตของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เคยถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดีจากมารดาผู้ให้กำเนิด เคยถูกตราหน้าจากผู้คนมากมายว่าเป็นเศษขยะที่ถูกเขาทิ้งขว้าง กลับได้รับความเอาใจใส่ เป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยจากความเจ็บปวดที่เคยเผชิญมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ‘มันไม่ใช่ลูกฉัน! มันเป็นหนามยอกอกที่คอยทิ่มแทงฉันให้เจ็บปวด” “มันทำให้ชีวิตฉันต้องพังไม่เป็นท่า แม่จะเอามันไปทิ้งที่ไหนก็เอาไป! แต่อย่าเอามาให้ฉันเห็นหน้าอีก’ ประโยคบาดหูและเสียงสะอิดสะเอียดของคนพูด ยังคงติดแน่นอยู่ในหัวใจดวงเล็ก ๆ ถึงแม้จะผ่านมาหลายปี แต่ประโยคสั้น ๆ เหล่านี้มันยังดังก้องอยู่ในหัวไม่เคยลืมเลือน แม้อยากจะขจัดมันออกไป แต่ก็ทำได้ยากเต็มที “หนาม! ได้เวลาแล้ว” เสียงตะโกนเรียกจากหัวหน้าวงดนตรีดังขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่น่านนรีกำลังสะบัดหัวขับไล่สิ่งที่รบกวนจิตใจออกไปพอดี “ค่ะพี่ หนามพร้อมแล้ว” เสียงสดใสพร้อมวิ่งขึ้นเวทีเพื่อประจำตำแหน่ง ทิ้งความเจ็บปวดเอาไว้เบื้องหลังชั่วคราวเพื่อทำหน้าที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเองต่อไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม