"นายให้เอาข้าวมาให้ครับ" ฉันนั่งอยู่ชายคาหน้ากระท่อมในยามเช้าตรู่ ผู้ชายหน้าตาดุ ๆ คนหนึ่งเดินเข้ามาในมือเขามีถุงข้าวแล้วก็หมอนผ้าห่ม
"ขอบคุณค่ะ" ฉันยิ้ม ต่อให้เศร้าแค่ไหนก็ยังยิ้มออก
"ผมชื่อทันนะครับ รีบทานข้าวเถอะครับเดี๋ยวผมจะได้แนะนำงานให้คุณพรรณทำ"
"งาน" นี่ฉันต้องทำงานอะไร
"ครับงานที่ไร่ นายสั่งมาให้ผมสอนงานให้คุณ ผมจะไปรออยู่ที่ไร่นะครับ" เขายิ้มและเดินจากไป
“หาวิธีทรมานอย่างอื่นได้แล้วสินะ” ฉันรีบกินข้าว ต่อให้ไม่อยากกินก็ต้องกลืนลงไป เพราะไม่รู้ว่าภูผาจะกลั่นแกล้งอะไรฉันอีก
นายทันผู้ชายคนหน้าตาดุ ๆ คนนั้นสอนวิธีเก็บยอดชาให้ฉันแล้วก็ยังมีงานอีกหลาย ๆ อย่างที่เขาบอกว่าภูผาสั่งให้ฉันทำ ฉันทำเพราะมันคือคำสั่ง อีกอย่างมันก็ดีกว่าอยู่เฉย ๆ นั่งหมดอาลัยตายอยาก
อย่างน้อยก็มีคนงานพูดคุยกับฉัน
ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ชาตินี้ทั้งชาติฉันจะไม่มีวันลืมว่าชีวิตของชมพูพรรณลำบากและเจ็บปวดมากแค่ไหน
วันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ นายทันเป็นคนส่งข้าวปลาอาหารให้ฉันทุกวัน ตอนเที่ยงก็จะกินกับคนงานที่ไร่
ฉันไม่ได้เจอภูผาเลย ได้ยินคนงานพูดกันว่าเขาหมั้นแล้ว หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำให้เขามีความสุขได้ เพราะฉันไม่สามารถทำให้เขามีความสุขได้อีกแล้ว
ในเมื่อเขาหมั้นแล้ว อีกไม่นานฉันก็ควรไปจากเขา
หนึ่งเดือนผ่านไป
"คุณพรรณเป็นอะไรครับ" นายทันเดินมาพยุงฉันที่กำลังยืนโอนเอน ฉันรู้สึกเวียนหัว เหมือนจะวูบ
"พรรณมึนหัวเหมือนจะล้มเลยค่ะ" ฉันจับที่ไหล่ของนายทันไว้แน่น
"ไปพักก่อนดีกว่าครับ เผื่อไม่สบายหนักจะแย่" นายทันอุ้มฉันเข้ามานั่งที่แคร่ใต้ร่มไม้
"ยาดมค่ะ" หญิงสาวคนหนึ่งเดินเอายาดมมาจ่อจมูกให้ฉันสูดดม
"หายใจเข้าลึก ๆ นะคะ" หญิงสาวคนนั้นบอกพร้อมถอดเสื้อคลุมแขนยาวฉันออก
"มะม่วงแก้หน้ามืดค่ะ" เด็กผู้หญิงลูกคนงานถือมะม่วงพร้อมน้ำจิ้มพริกเกลือมายื่นให้ฉัน
เห็นแล้วน้ำลายไหล หยิบมะม่วงฝานบางมาจิ้มพริกเกลือ หืม มะม่วงช่วยชีวิตฉันได้ดีเชียวล่ะ รู้สึกสดชื่นตาสว่างขึ้นมาทันที ว่าแล้วก็หยิบมากินอีก ยิ่งกินยิ่งหยุดไม่ได้เมื่อก่อนฉันไม่ชอบของเปรี้ยว แต่เวลานี้ฉันจะเรียกมันว่าโปรด อร่อยแบบอร่อยมาก กินแล้วรู้สึกดีสุด ๆ
"ไม่เปรี้ยวเหรอคะ" แม่ของเด็กผู้หญิงเดินมาถาม
"เปรี้ยวนิดหน่อยค่ะ แต่อร่อยดี หายปวดหัวเลยค่ะ" ฉันฉีกยิ้มกว้างให้คนงานที่กำลังมุง แค่กินมะม่วงมุงทำไมไม่รู้
"ถ้าหายแล้วก็ไปทำงาน เลิกสำออยให้เป็นจุดสนใจ เรื่องเรียกร้องความสนใจนี่เก่งนัก" น้ำเสียงที่ฉันคุ้นเคยดังขึ้น คนงานรีบพากันแยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเอง เขาก็เหมือนขี้ เดินมาก็ไม่มีคนอยากอยู่ใกล้
"ไง ใกล้ตายแล้วเหรอ" ภูผากระชากแขนฉันอย่างแรง
"..." ฉันเงียบ ไม่อยากพูดคุยหรือทะเลาะกับเขา ทะเลาะไปฉันก็เป็นคนผิดอยู่ดี
"ปากมีไว้พูดอ่อยลูกน้องกูอย่างเดียวว่างั้น" เขาปัดมะม่วงที่ฉันกำลังจิ้มพริกเกลือเตรียมเอาเข้าปากทิ้ง มะม่วงมันจะถึงปากฉันอยู่แล้ว มือเขาบีบที่แก้มฉัน
"..." ฉันไม่พูดแต่มองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง ไม่ได้มองเพราะเขาทำฉันเจ็บ แต่เขาทำมะม่วงชิ้นสุดท้ายของฉันตกพื้นทั้งที่มันกำลังจะเข้าปากฉัน
"อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนี้" ภูผาผลักฉันแทบจะหงายหลัง
ฉันไม่สนใจเขา พยุงตัวลุกขึ้นและเดินไปทำงานเหมือนคนอื่น เพิกเฉยต่อคนตรงหน้าที่พร้อมจะทำร้ายฉันตลอดเวลา ฉันไม่มีสิทธิ์อ้อนวอนเขา
"ทำอย่าหยุดแล้วกันกูจะยืนดูจนกว่าฟ้าจะมืด" แว่วเสียงตามหลังมา ฉันได้แต่ถอนหายใจยาว ๆ ทำใจยอมรับเรื่องที่เกิด เริ่มจะเบื่อเต็มทีแต่ขอทนให้สุดซึ่งมันก็ใกล้แล้วล่ะ เอาให้สุดเราจะได้ไม่ต้องพบเจอกันอีก
ตกเย็นฟ้าเริ่มมืดลงทุกทีฉันไม่เห็นภูผาแม้เงา ฉันจึงเดินกลับมาที่กระท่อมหลังเก่า ขึ้นกระท่อมเตรียมเสื้อผ้าไว้และนุ่งกระโจมอกเตรียมที่จะไปอาบน้ำก่อนที่ฟ้าจะมืด
ต้องรีบแล้วสิ
เดินกลับจากที่อาบน้ำกลับมาทั้งที่ยังพันกระโจมอกเสื้อผ้ายังไม่ได้ใส่ ฉันเดินเข้าไปในกระท่อมเจอภูผานั่งอยู่ในกระท่อมจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาโหดเหี้ยม
"เข้ามาทำไม" ฉันถาม เเต่เขาไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืนเดินตรงมาที่ฉัน ฉันรีบดึงกระโจมอกไว้ทันที
"ไปอ่อยคนงานถึงไหนมาละหายไปตั้งนาน" สายตาโหดร้ายส่งมาที่ฉัน ทว่าสายตาที่มองไม่เจ็บเท่าคำที่เขาพูดออกมา เขาพูดเหมือนไม่รู้จักฉันสักนิด หรือจริง ๆ แล้วเขาอาจจะไม่รู้จักฉันเลย นั่นสินะ เขาไม่รู้จักฉันเขาถึงเชื่อคำโกหกของผู้หญิงสารเลวคนนั้นมากกว่าเพื่อนที่คบกันมาเกือบสิบปี
"..." ฉันเลี่ยง เบี่ยงตัวหลบเขาเพื่อจะไปแต่งตัว
"หึ สงสัยมึงคงอิ่มสินะ ถึงไม่ตอบกู แต่วันนี้วันเกิดมึงกูเตรียมของขวัญไว้ให้มึงด้วย กูรู้ว่ามึงชอบ....เข้ามา" ภูผาตะโกนเรียกใครไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ คือน้ำเสียงแบบนี้ฉันไม่ปลอดภัยเป็นแน่
ฉันรีบหันไปโดยสัญชาตญาณความเป็นคน ภาพตรงหน้าทำฉันหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นยืนไม่ติดพื้น
"คืออะไร จะทำอะไร" ฉันหันไปถามภูผาที่เขายืนกอดอกเหยียดสายตามองฉัน
"ของขวัญวันเกิดไง วันนี้กูเห็นมึงร่านนักกูเลยหามาให้" เขายกยิ้มร้ายที่มุมปาก
"พรรณไม่ตลก อย่าใจร้ายแบบนี้ดิ แบบนี้มันเกินไปนะ" พูดพลางขยับถอยหลัง สายตาของคนที่ฉันรักไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย
"กูขำไหมล่ะ มึงก็ไม่เห็นกูขำนะ เชิญมึงเสพความสุขให้เต็มที่ แฮปปีเบิร์ธเดย์ขอให้มึงกระอักความสุขตาย" เขาทิ้งท้ายด้วยคำพูดโหดร้าย แล้วเดินออกไปด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ
เขาทิ้งฉันไว้กับชายฉกรรจ์สี่คนที่ยืนถอดเสื้อใส่เพียงกางเกงยีนส์เท่านั้น พวกเขาทั้งหมดจ้องมองฉันเหมือนเหยื่อโอชะ เหมือนสัตว์หิวโหยที่ต้องการจะกัดกินเนื้อหอมหวานตรงหน้า