“หมดธุระมึงยัง” เจ๋งถามต่อ
“เออ ไปก็ได้วะ แล้วมึงไม่ไปร้องเพลงเหรอวันนี้” เพื่อนลุกออกไปนั่งโต๊ะข้างกันซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากนั่งตรงนี้เลย โต๊ะติดกันจนกระซิบยังได้ยิน
“กำลังจะไป”
“โอ้ว พาสาวไปเฝ้า” เพื่อนอีกคนแซวอีกสองสามคนก็แซวกันจนฉันเขิน
“เรื่องของกู”
“เจ๋งมันไม่น่ารักเลยเนอะพี่”
เพื่อนเขาคนหนึ่งยื่นหน้ามาคุยกับฉัน ที่เวลานี้แทบจะไม่กล้ากินก๋วยเตี๋ยวแล้ว ก็มาแซวกันขนาดนี้ใครมันจะไปกล้าคีบเส้นแล้วอ้าปากกินได้ ฉันก็อายเป็นเหมือนกัน เลยได้แต่ยิ้มแห้งเป็นคำตอบ รับบทแฟนเจ๋งคนปากหมาไปเลยยายมีนา
ดีนะที่ฉันกินลูกชิ้นไปแล้วไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ นี่ไงล่ะคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องกินของที่อร่อยที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก
“กินไหม”
เจ๋งไม่สนใจคำพูดเพื่อนเขาอีก คีบลูกชิ้นลูกใหญ่มาตรงหน้าก่อนจะวางมันในชามของฉันที่เหลือแต่เส้นเล็กขาวๆ อืดๆ กับผักใบเขียวที่ถูกเขี่ยไปด้านข้าง สร้างความแปลกใจให้ฉันไม่น้อยเลย
“ไม่กินเหรอ”
“แลกกัน” ว่าแล้วเจ๋งก็คีบเส้นฉันไปใส่ในจานตัวเอง แล้วคีบลูกชิ้นอีกสองลูกกลับมาให้กันอีก
“คนอะไรไม่ชอบลูกชิ้น”
เจ๋งไม่ตอบ เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วคีบเส้นเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ แม้แต่ผักก็ไม่เหลือ เสียงแซวของเพื่อนก็หายไปแล้วเพราะโดนเจ๋งเย็นชาใส่
“คนอะไรไม่กินผัก”
“คนทั่วไปนี่แหละ คนไม่ชอบลูกชิ้นอะแปลก” ฉันตอกกลับเขา ก็มันจริงนี่ คนไม่กินผักมีเยอะแยะแต่คนไม่กินลูกชิ้นมันหายาก
“มันกินลูกชิ้นพี่แต่มันอยากให้สาวกินมากกว่า”
เสียงเพื่อนเขาแซวมาอีกรอบ คราวนี้ฉันพูดไม่ออก ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ส่วนเจ๋งก็ลุกออกจากโต๊ะอย่างไม่สนใจคำพูดใครทั้งนั้น เขาเดินไปจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวนุ่นแล้ว ปล่อยให้ฉันนั่งหน้าร้อนวาบอยู่คนเดียว
เพิ่มความดีของเจ๋งไปอีกข้อนั่นคือเสียสละลูกชิ้นให้ฉันที่เป็นผู้มีพระคุณของเขาแล้วกัน
“อิ่มยัง”
“อื้อ”
“กูไปนะ”
เจ๋งหันไปบอกเพื่อนแล้วโบกมือให้ ฉันเองก็ยิ้มส่งให้พวกเพื่อนของเขาที่ดูเป็นมิตรทุกคน แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงกลุ่มนั้นที่ก่อนหน้านี้ก็มองฉันอยู่
“ทำไมพวกนั้นต้องมองเราขนาดนั้น”
ฉันถามเจ๋งแล้วมองไปที่ผู้หญิงกลุ่มนั้น เขาก็มองตามไป สายตาของเขาไม่สื่ออะไร มองนิ่งๆ ก่อนจะหันมาตอบฉันอย่างไม่ใส่ใจ
“เห็นคนไม่สวยมั้ง”
“เอาดี”
“ขึ้นมา”
สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ แต่ก็พอจะรู้ว่ายายพวกนั้นคงเป็นเด็กมหาวิทยาลัย แล้วหนึ่งในนั้นที่มองฉันเหมือนเกลียดกันเข้าไส้นั่นชอบเจ๋งอยู่แน่ ๆ ชีวิตที่สงบสุขของมีนาเริ่มจะไม่สงบแล้วสิ
“วันหลังจะไม่มาด้วยแล้วนะ”
“ทำไม”
“สาวเยอะ กลัวโดนดักตบ”
“หึ”
เสียงหัวเราะดังในลำคออย่างที่เขาชอบทำ เจ้าของร่างสูงนั้นสตาร์ทเครื่องแล้วก็หันมามองฉันอีกทีเป็นเชิงคำถาม ก่อนจะปรายตามองผู้หญิงกลุ่มนั้นที่ไม่ค่อยชอบใจฉันตั้งแต่เมื่อกี้นี้ เอาเข้าจริงเขาก็คงมีแคร์สาวคนอื่นอยู่บ้างล่ะ
“รีบขึ้นมา ยืนหน้าบึ้งแบบนี้คนอื่นเขาจะเข้าใจว่าเมียงอนผัวอีก”
ฉันจิปากอย่างรำคาญ แต่ก็ยอมขึ้นไปซ้อนรถมอเตอร์ไซส์สีดำเงาของเขา ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาทางเราเจ๋งก็เอื้อมมือใหญ่มาจับข้อมือของฉันกระชากไปโอบที่เอวตัวเอง
” เจ๋ง!”
” แกล้งๆ เป็นแฟนผมหน่อย”
“จะบ้าหรือไง”
“เดี๋ยวเลี้ยงเบียร์โปรนึง”
ฉันไม่เข้าใจจุดประส่งของเจ๋งนักหรอก แต่ที่พอจะทำให้เข้าใจได้ก็คือข้อเสนอของเขา ไม่ว่าเหตุผลมันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีของฟรีเข้ามาเอี่ยวมันก็น่าสนใจทั้งนั้น
“อย่าเบี้ยวแล้วกัน” ฉันบอกกับผู้ชายตรงหน้าก่อนจะขยับแขนอีกข้างไปโอบเอวของเขาไว้ จากนั้นรถก็เคลื่อนออกไป
ไม่ต้องจินตนาการให้มันมาก ก็เห็นเป็นภาพคู่รักที่กอดเอวซ้อนท้ายกันออกไปอย่างหวานชื่น เรื่องแค่นี้เองแลกกับเบียร์หนึ่งโปร. แถมด้วยกลิ่นหอมจางๆ จากตัวผู้ชายที่มีนาไม่ค่อยจะได้สัมผัส มันก็คุ้มไม่เบา
“พี่นี่เห็นแก่ของฟรีฉิบหาย” เจ๋งพูดผ่านลมมาอีกรอบ ขณะเดียวกันก็หัวเราะชอบใจไปด้วย แต่ขอร้องเถอะ
มือที่จับฉันไว้ยังไม่ปล่อยเลย
” ปล่อยมือ “ฉันพยายามจะดึงมือกลับแต่เขาก็ยังคงจับไว้แน่น
“ผมลืมบอกไปว่าต้องกอดเอวถึงร้านเลย”
“เฮ้ย อย่ามาขี้โกง”
เรื่องแบบนี้มีนามันไม่อยากเสียหัวให้ใครด้วย ไอ้เด็กนี่มันโกงกันชัดๆ แล้วจะทำยังไงล่ะ ถ้าปล่อยตอนนี้ก็ไม่ได้ของฟรีสิ กอดก็กอดวะ
“โกงอะไรล่ะ ขับออกมาได้แค่นี้พี่จะปล่อยแล้ว ใครโกง”
“ก็ยังไม่ปล่อยนี่ ยังไงนายก็ต้องเลี้ยง”
เจ๋งหัวเราะในลำคอ ไม่รู้ว่าเพราะความขี้งกของฉันหรือเปล่า แต่ของฟรีนะใครมันจะไม่อยากได้ ถามพวกสาวๆ ที่มองกันเป็นแถวนั่นดู ยังไงก็ตกลง
“เนี่ย ไม่เคยมีใครได้ซ้อนท้ายแล้วกอดเอวผมขนาดนี้เลยนะ พี่โคตรโชคดีเลยจะบอกให้”
ฉันอยากจะล้วงคอเอาลูกชิ้นทั้งเจ็ดลูกที่เพิ่งกินมันเข้าไปออกมาทั้งหมดเพราะทนความหลงตัวเองของเจ๋งไม่ไหวจนพะอืดพะอมไปหมดแล้ว
“จ้า พ่อคนฮอต เสน่ห์แรงเกินต้าน แต่แปลกนะไม่มีแฟน”
เจ๋งหัวเราะอีกแล้ว ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรกับคำพูดของฉันเลย มีแต่ฉันที่นั่งเกาะหนึบอยู่ด้านหลังแล้วหมั่นไส้เขาอยู่คนเดียวจนถึงร้านที่เขาต้องมาร้องเพลง
เขามีเพื่อนอีกสามคนที่เล่นดนตรีด้วยกัน แต่เรียนกันคนละคณะ จับกลุ่มกันมารับงานพิเศษเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ฉันไม่รู้จักใครเลยสักคนเพราะไม่ใช่เพื่อนกลุ่มเดียวกับน้องชายตัวเอง
ฉันเคยแกล้งถามเรื่องเจ๋งกับธันวา แต่โดนน้องแซวกลับ หาว่าฉันชอบเจ๋งอีก ข้อมูลที่ได้มาก็เลยมีแค่ พ่อแม่ของเขาเสียไปพร้อมกันเมื่อสองปีก่อน ซึ่งมันก็ตรงกับที่เขาบอก ฉันก็เลยไม่ถามเซ้าซี้ให้ธันวาสงสัยมาก
“ผมไปร้องเพลงแล้วนะ”
“โอเค”
“ผมร้องเพลงถึงสี่ทุ่ม เดี๋ยวมานั่งด้วย”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ๋ง แต่ครั้งนี้มันรู้สึกแปลกกว่าครั้งไหน เขายิ้มไม่เหมือนทุกที ไม่เหมือนคนกวนประสาทกัน ฉันจึงต้องยิ้มตอบไปเพื่อความสันติ
หลังจากที่เจ๋งหันหลังเดินไปยังเวทีเล็กๆ ฉันถอดเสื้อคลุมแขนยาวออกมาแล้วแล้วคลุมลงที่ท่อนขาแทน ทำให้ท่อนบนนั้นมีเพียงสายเดี่ยวขนมิ้งสีขาวปลิวพลิ้วเมื่อถูกลมพัดมาเบาๆ ถ้าว่ากันตามตรงฉันเป็นคนชอบแต่งตัว แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ เพราะเวลาเที่ยวก็เริ่มน้อยลง
ไม่ได้ไปดื่มกับเพื่อนสมัยเรียนแต่เป็นเพื่อนที่ทำงานแทน มันก็ไม่เหมาะจะแต่งตัวเยอะไป วันนี้ไม่ต้องสนใจสายตาใครแล้วก็ขอหน่อยแล้วกัน
“สั่งอะไรหรือยังครับ”
“เอ่อ เจ๋งสั่งให้แล้วค่ะ”
พนักงานชายคนนั้นที่เดินเข้ามาถามหันไปมองคนที่ฉันเอ่ยถึง เขาที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัว จัดเครื่องดนตรีอยู่ตรงนั้นก็หันมามองพอดี ก่อนจะพยักเพยิดหน้าให้กันเหมือนเข้าใจ แล้วคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ยิ้มให้ฉันก่อนจะปลีกตัวออกไป
แต่ที่มันยังไม่ไปไหนคือสายตาของคนที่ยืนอยู่บนเวที ไม่มองเปล่า เขาขมวดคิ้วยุ่งเหมือนอยากตำหนิอะไรสักอย่าง จนฉันต้องเลิกคิ้วเป็นคำถาม แต่เจ๋งกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วเบือนหน้าหนี กลับไปสนใจเครื่องดนตรีที่เขาถือต่อ
-----------
อยากเจอผู้ชายปากหมาแต่แบ่งลูกชิ้นให้เราจังเลยค่ะ เราพร้อมจะเทผักให้หมดเลย อิอิ