ปัจจุบัน
ร้านคาราโอเกะเลื่องชื่อ ณ บริเวณเชิงเขา ขับขานเสียงเพลงเปล่งแสงไฟหลากสี เป็นจุดเด่นในยามค่ำคืนให้ชาวบ้านได้เห็นกันจนชินตา
ที่แห่งนี้ถูกมองอย่างเกลียดชังจากชาวบ้านผู้หญิงส่วนใหญ่ฉันท์ใด ในทางกลับกัน ก็ถูกชื่นชมเล่าขานกันสนุกปากจากฝั่งชายฉันท์นั้น
แล้วสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น !
เมื่อร้าน ‘ริมทาง คาราโอเกะ’ได้ปิดตัวลงอย่างกะทันหัน แม้จะดำเนินกิจการมานาน ผ่านพายุลม ฝนถล่มมาหลายฤดูก็ไม่อาจโค่นล้มอำนาจมืดผู้เป็นเจ้าของกิจการรื่นรมย์แห่งนี้ได้
แต่ความจริงของโลกใบนี้ คือความไม่แน่นอน
เมื่อคิดว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ย่อมมีผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าเข้ามาแทน
ร้านคาราโอเกะที่เต็มไปด้วยสีสันงดงามยามค่ำคืน พอฟ้าสางทุกอย่างเงียบเหงา วังเวง หลงเหลือเพียงร่องรอยของความสนุกสนานบนโต๊ะสีซีดและเก่าไม่สามารถเห็นร่องรอยของตำหนิในยามราตรี ตอนนี้เต็มไปด้วยแก้วแหล้าที่ดื่มจนพร่อง ร่องรอยแห่งความสนุกสนาน เหลือกลิ่นเหล้าฟุ้งกระจาย ก้นบุหรี่และเศษอาหารบนจาน รอการเก็บกวาดจาก ‘โมรี’ ผู้ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านทำความสะอาดของที่นี่ แต่วันนี้เธอไม่อยู่ ขอลาทำไปธุระที่ต่างจังหวัดสามวัน ฉะนั้น หน้าที่นี้จึงเป็นพนักงานสาวๆแทน แต่ต้องรอให้ผีเสื้อราตรีตื่นในตอนบ่าย
ผลั๊ว!
“อื้อหืม”
ประตูเปิดออก แสงแดดแห่งเช้าวันใหม่สาดส่องบนโต๊ะรกรัง กับเก้าอี้วางระเกะกะ กระจัดกระจาย ทำให้บรรดาตำรวจทั้งหลายต่างย่นคิ้ว ปิดจมูก
“ขออนุญาตตรวจค้นนะครับ”
เสียงตำรวจท่านหนึ่งประกาศกร้างดังก้อง
จากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่จากสน.กว่าสิบนายต่างบุกทลายรังผีเสื้อราตรีจนวิ่งหนีแตกกระเจิง โดยเฉพาะสาวน้อยสาวใหญ่ที่ลักลอบเข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย ต่างกระโจนออกทางหน้าต่างด้านหลังร้าน
หนีตายราวกับนกแตกรัง
ตุ่บ!
เสียงกระเป๋าเป้ใบใหญ่ร่วงตกพื้น
โมรี ที่เพิ่งกลับมาถึงในยามโพล้เพล้ ทรุดนั่งลงตามกระเป๋า ใบหน้าหวานนัยน์ตาเศร้ายืนมองร้านคาราโอเกะที่เปรียบเสมือนบ้านของเธอกำลังถูกผู้คนมากมายช่วยกันรื้อสิ่งปลูกสร้างออกตอนนี้เหลือแค่ซากเสา
“แม่” เธอรีบควักเอามือถือในกระเป๋ากางเกงยีนส์กดโทรหาแม่
“ห๊ะ!”
เธอรับฟังข่าวร้ายจากปลายสายแล้วแทบทรุด แต่ก็รีบดึงสติ สับเท้าวิ่งขึ้นรถเก๋งสีแดงคันเก่าอายุยาวนานกว่าเก้าปี รองเท้าผ้าใบเหยียบคันเร่งรถมุ่งหน้าไปที่สถานีตำรวจ
..................................
“พี่จ๋า พี่ แหม ทำเป็นไม่รู้จักกันเลยเน้อ”
“ใช่ๆ พวกหนูแค่ร้องเพลงให้ความบันเทิงเฉยๆหรอกน่า นะ นะปล่อยเราไปเถอะ เราจะไปหาเงินสี่ซ่าห้าหมื่นจากไหนมาให้พี่ ตอนนี้เหลือแต่หมอ..กะรอยยิ้ม พี่เอามะ”
ที่โรงพักตอนนี้แทบจะกลายเป็นกลางตลาดสด อันเกิดจากเสียงของสาวคาราโอเกะทั้งน้อย-ใหญ่ที่อยู่ในกรงขัง บ้างก็ยื่นมือ แหกปากร้องขอความยุติธรรมกับพนักงานสอบสวนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ บ้างก็พูดคุยกันสรวลเสเฮฮากันดังแซ็งแซ่ก่อให้ก่อให้เกิดความรำคาญ
“ว้าย นั่นไง นังโมรีมาแล้ว พี่..”
แม่โสภีผู้เอาแต่นั่งกอดเข่าอยู่มุมห้องไม่สนจะเสวนากับใคร พอได้ยินเสียงคนเอ่ยถึงชื่อลูกสาว เธอรีบลุกขึ้นปรี่เข้าไปยืนติดกรงขัง มองหน้าลูกสาวอย่างสงสัย
“โมรี แกไปไหนมา?!”
โมรีรีบโบกสะบัดข้อมือเดินผ่านกรงขังที่เหมือนกรงนกเบลเบิร์ด แสบหู น่ารำคาญแล้ววิ่งตรงไปยังโต๊ะเจ้าพนักงานที่โรงพัก
“ทำไมไม่อ่านแชทผม?”
ทว่า ร้อยตำรวจตรี ชาติชาย ผู้มีใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาเดินเข้ามายืนขวางจนร่างเพรียวบางในชุดเสือยืดกางเกงยีนส์หยุดกะทันหัน พร้อมทำหน้ามุ่ยใส่เขา
“ค่อยคุยกันค่ะ ฉันรีบ”
“นี่จะว่าตู่ว่าผมแจ้งเบาะแสไม่ได้นะ นี่แหละโทษฐานที่ไม่ชอบอ่านแชท”
“แล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นล่ะคะ?”
“ตามผมมา”
เขาเดินนำหญิงสาวให้ออกไปคุยกันด้านนอก เธอเดินตามไปพลางเปิดอ่านข้อความจากเขาที่ส่งเข้ามารัวๆ แต่เธอดันเพิกเฉยเพราะมัวขับรถอยู่
เธอจึงส่งอิโมจิไหว้ พร้อมคำขอโทษไปให้เขา
ผู้หมวดหนุ่มควักสมาร์ทโฟนออกจากกางเกงรัดติ้วที่สาวๆในคาราโอเกะต่างพรรนาอ่านกินเป้าของเขากันเป็นพรวน
เมื่อเกือบเผลอมองเป้า หญิงสาวรีบเบือนหน้าออกด้านข้าง
“ส่งไปเป็นร้อยๆ ตอบกลับมาแค่นี้?”
“ก็เจอหน้าฉันแล้วนี่?” เธอแก้ตัวเสียงเบา
ชาติชาย หันซ้ายแลขวา ก่อนเอ่ยเสียงดังพอประมาณ
“ขึ้นรถ ไปทานข้าวกัน!”
เธอยอมขึ้นรถไปกับเขา ระหว่างทางบนรถยุโรปคันหรูสีขาวสะอาดสะอ้านและออกจะหนาวเย็นจนเธอต้องยกแขนขึ้นกอดอก
“เราจะไปคุยกันที่ไหนคะ?”
“ที่นี่แหละครับ”
เขาเอ่ยก่อนหักเลี้ยงวรถยนต์เทียบจอดข้างทางที่มืดสนิท
“นายใหญ่โดนเด้ง ข้อหาแอบเป็นเจ้าของกิจการสถานบันเทิง และแอบทำการค้าประเวณี นั่นก็คือที่ ‘ริมทางคาราโอเกะ’ แถมยังโดนข้อหาลักลอบซื้อเหล้าและบุหรี่หนีภาษีด้วย คราวนี้โดนถอนรากถอนโคน เรียกว่างานล้มช้างเลยล่ะ”
“แล้ว แม่กับพี่ๆที่อยู่ในห้องขังล่ะคะ?”
“แม่คุณวิ่งหนีไม่ทัน บางส่วนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปหลายคน และหลายคนมีเงิน มีญาติประกันตัวออกไปได้แล้ว เหลือก็แต่รายที่ไม่มีเงินประกันตัวและเป็นต่างด้าว ทั้งหมดเก้าคน”
“โอย ฉันจะช่วยยังไงดี?”
เธอยีผมยาวประไหล่จนหัวยุ่ง
ถ้าแม่รู้ว่าเงินเก็บทั้งหมดเธอแอบนำไปใช้ส่วนตัวจนเกลี้ยงคงได้โดนด่าลั่นโรงพักให้อับอายขายหน้าแน่ๆ!
ดูจากแววตาแม่ที่มองเธออย่างมีหวังแล้วเธอรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกขนพอง
แทนที่แม่จะดีใจกับข่าวดีของเธอในวันนี้
จะกลายเป็นข่าวร้ายได้โดนแม่ตีหัวแตกน่ะสิ!
“เดี๋ยวผมช่วย”
เสียงของผู้หมวดหนุ่มฉุดให้เธอชะงัก
“หา?”
พูดไม่ทันขาดคำ เธอได้ยินเสียงแจ้งเตือนในมือถือ
เธออ้าปากค้าง หรี่ดวงตามองแสงหน้าจอในรถมืดสนิท มองเห็นยอดเงินโอนเข้าบัญชีจำนวน 450,000 บาท
“สี่แสนห้า! นะ..นี่อย่าบอกนะว่า หมวดจะช่วยฉัน?”
“อืมฮื้ม?”
“ไม่เอาล่ะ”
เธอรู้ได้ในทันทีว่ายอดเงินนี้จะกลายเป็นสิ่งผูกมัด เธอรู้ดีว่าเขาคิดกับเธออย่างไร
แต่ให้ตายเถอะ
ตลอด 9 ปีที่ผ่านมาเธอไม่กล้าเปิดใจให้กับใครใหม่ได้สักที!!
แม้แต่ชายผู้นั่งอยู่ใกล้ๆนี้ เขาดีแสนดี ทั้งหน้าที่การงาน รูปร่างหน้าตาก็เป็นที่ลือเลื่องเคยเป็นไวรัลในโลกโซเซี่ยลมาแล้วเมื่อปีก่อน เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับชีวิตของคนอย่างโมรี
แต่ตอนนี้ เธอชักหวั่นๆ
“พักคิดมากเรื่องเงินจำนวนนี้ แล้วรีบไปประกันตัวทุกคนก่อนเถอะ”
“เห้อ”
เธอยกฝ่ามือขึ้นโปะหน้าผาก พลางเอ่ยอย่างจำยอม
“ก็ได้ค่ะ”
ผู้หมวดหนุ่มหล่อยกยอ้มมุมปากละมุม คอยชำเลืองมองหญิงสาวด้วยแววตาหวานซึ้งเจือปนไว้ด้วยความเป็นห่วง
นี่จะเป็นบันไดขึ้นแรกที่เขาจะสามารถเลื่อนขั้นจากตำรวจหนุ่มที่เธอไม่ไว้วางใจ หวังว่าต่อแต่นี้เธอจะเริ่มเห็นความจริงใจที่เขามีต่อเธอบ้าง
.
.
“หึ เอาตัวเข้าแลกในรถเลยหรือ?!”
เสียงทุ้มเอ่ยเล็ดรอดไรฟัน สันกรามขบกันแน่นด้วยแววตาคุกรุ่น ทว่าริมฝีปากค่อยๆคลี่ยิ้มหยัน คล้ายกำลังเข้าใจในอาชีพและตัวตนของหญิงสาว
“โมรี เธอกลายเป็นโสเภณีไปแล้วสินะ”
เจคอป เจ้าของไร่หนุ่มผู้มีเคยอดีตที่หวานซึ้งกับโมรี เด็กสาวผู้ใสซื่อ และเขาเป็นคนแรกของเธอ
แต่ตอนนี้ ใช้นิ้วเท้านับรวมก็คงนับไม่หมดแล้วสิ ว่าผ่านผู้ชายมาแล้วเท่าไหร่