เธอเฝ้าคิดกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้นและยังจดจำใบหน้าคมสันแต่เย็นเยือกกว่าน้ำแข็งได้ติดตา หากเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของราช เหตุใดจึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว คนที่เธอเคยรักนุ่มนวล ช่างฝันและอ่อนโยนยิ่งนัก ทว่าคนที่เธอพบมาเมื่อครู่ทีท่าร้ายลึก เหี้ยมกรียม พูดจาไม่ใส่ใจความรู้สึกของใครทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในหลืบความคิดก็คือหน้าตา ท่าทางที่คล้ายกับคนๆ นั้นของเธอ แต่จะอย่างไรเสีย เขาก็คือราม ไม่ใช่ราช ผู้ชายที่ยังอยู่ในหัวใจของหญิงสาวเสมอมา
ร่างบางระหงยังอยู่ในชุดที่สวมใส่ไปสัมภาษณ์งาน เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นไม่เป็นจังหวะเพราะเจ้าของฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่ง อารามรีบไหล่บางจึงไปกระทบกับใครคนหนึ่งตอนวิ่งขึ้นบันไดจนเกือบถึงชั้นสอง
“ขอโทษค่ะ....ขอโทษ”หญิงสาวรีบหันไปขอโทษขอโพย แต่แล้วใบหน้านั้นก็เปลี่ยนไปในทันใดเมื่อมองเห็นคนที่ตนวิ่งชนชัดเจน
“คุณพ่อ!......” ลักษมีอุทานออกมาเบาๆ เสียงที่เปล่งออกมานั้นอีกฝ่ายแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ร่างสูงกำยำของชายวัยกลางคนสวมเสื้อโปโลกางเกงแสล็คสีเข้ม ใบหน้าที่มีริ้วรอยแต่ดูเอื้ออารีเพ่งพินิจหญิงสาวสักครู่จึงอุทานด้วยเสียงทุ้มลึก
“มีมี่...มีมี่ลูกพ่อ”
ความสับสนถาโถมเข้าหาหญิงสาวจนแทบรั้งตัวเองให้ยืนไม่ไหว พ่อหรือ?.....เธอยังจดจำใบหน้าของบิดาได้ดีเพราะผู้ชายคนนี้ทิ้งมารดาไปตั้งแต่เธออายุได้สิบขวบ ทุกคืนที่เธอเฝ้าฝันว่าพ่อกลับมาหาแต่เมื่อตื่นขึ้นกลับต้องพบความจริงอันปวดร้าวว่าไม่มีอ้อมแขนของใครเลยที่จะโอบกอดให้อบอุ่น ลักษมีฝืนใจทำท่าจะเดินเลี่ยงหนีทว่าต้องหยุดตามแรงรั้งของมือหนาใหญ่ที่เอื้อมมาจับแขนไว้
“เดี๋ยวสิลูก...มีมี่คุยกับพ่อก่อน ลูกมาหาใครที่นี่ แม่อยู่บ้านใช่มั๊ย แม่....” เสียงของพงพจน์ขาดหายไปในลำคอเมื่อมีเสียงใครอีกคนดังมาจากชั้นบน
“คุณพ่อ....คุณพ่อขา รอนุชด้วย”
ฝ่ามือที่กุมแขนหญิงสาวเลื่อนหลุดออกอย่างตั้งใจ สักครู่ร่างเด็กสาวในชุดนักศึกษาก็วิ่งลงมาถึงตัวของชายวัยกลางคน แขนเรียวโอบรอบเอวนั้นอย่างรักใคร่
“คุณพ่อมาไม่รอนุชเลย นุชโกรธคุณพ่อนะ....เอ๊ะ....ใครคะคุณพ่อ”
ผู้มาใหม่หันมาทางลักษมี หญิงสาวจึงเห็นชัดเจนว่าเป็นเด็กสาวใบหน้าหมดจดรับกับทรงผมบ๊อบสั้นสีน้ำตาล เธออยู่ในชุดนักศึกษาสวมกระโปรงจีบรอบอกบอกให้รู้ว่าเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปีแรก ดวงตากลมใสคู่นั้นแสดงความสงสัยเต็มที่แต่พงพจน์อึกอักเหมือนมีอะไรติดคอ
“โทษค่ะ....คุณลุงคงทักคนผิด ขอตัวนะคะ” ลักษมีชิงตัดบทก่อนจะรีบเดินขึ้นบันไดพร้อมกับน้ำตาที่คนเป็นพ่อไม่มีโอกาสได้เห็น
“มีมี่สัมภาษณ์เสร็จแล้วหรือลูก”มิ่งขวัญที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้เอ่ยทักบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ทันทีที่เธอเปิดประตูเข้ามา เมื่อลักษมีเห็นสภาพของมารดาที่นอนอยู่เช่นนั้นก็รีบโผเข้าไปกอดและอดไม่ได้ที่ต้องร้องไห้อีกคำรบ
“แม่จ๋า....แม่เป็นอะไรมากมั๊ย คุณหมอตรวจแม่หรือยัง”
“แม่ไม่เป็นไร ป้าตุ๊กกับลุงอ่ำกลับกันไปแล้ว บอกว่าจะมาอีกทีตอนค่ำๆ” เสียงของมิ่งขวัญอ่อนระโหย แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไรทว่าหญิงสาวกลับสังเกตเห็นความผิดปกติจากดวงตาที่เหือดแห้งคู่นั้นมีบางอย่างวูบไหวอยู่
“แม่....แม่มีอะไรปิดบังมีมี่อยู่หรือเปล่า แม่ไม่ได้ป่วยธรรมดาใช่ไหม”คำถามของบุตรสาวทำให้มิ่งขวัญสั่นสะท้าน หญิงวัยกลางคนนึกสะท้อนใจหนัก
“หมอบอกว่าแม่......เป็นมะเร็ง....ระยะที่สอง” เสียงนั้นขาดเป็นห้วงๆ ทั้งน้ำตาเจ้ากรรมยังไหลออกมาไม่หยุด
“ค่ารักษาประมาณห้าแสน...แม่อาจจะหาย...แต่มีมี่...เราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น แม่คิดว่าจะปล่อยมันไป...ถึงที่สุดแล้วคนเราก็ต้องตายกันทุกคนนี่นะ”คำพูดที่ปลิดปลงยิ่งกว่าโลกทั้งโลกหนักอยู่บนเบื้องบ่าของหญิงสาว เธอตัดใจที่จะไม่ซ้ำเติมความเจ็บปวดของมารดาด้วยการลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไปเสีย พ่อมีเมียใหม่และลูกคนใหม่แล้ว เด็กคนนั้นหน้าตาน่ารัก ช่างอ้อนเอาใจ นี่เองคงเป็นเหตุผลที่พ่อจะไม่มีวันกลับมาเหลียวแลคนที่เคยรักอีก ช่างเถิด...จะอย่างไรเสีย เธอจะขอเป็นผู้แบกรับโลกที่บอบช้ำของมารดาไว้เองไม่ว่ามันจะหนักหรือรวดร้าวสักเพียงใด ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของลักษมี มันรวดเร็วพอๆ กับความทุกข์ท้อที่เข้าจู่โจมชีวิตในตอนนี้
“ไม่ค่ะแม่ แม่จะต้องหาย มีมี่ได้งานใหม่แล้วค่ะ...งานที่...เงินดีมากๆ เจ้านายใหม่ของมีมี่ใจดีมากค่ะแม่ มีมี่จะเริ่มไปทำวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวหนูจะปรึกษาคุณหมอนะคะว่าจะรักษาแม่ยังไง หนูจะไม่ยอมให้แม่ทิ้งหนูไปเด็ดขาด หนูรักแม่ค่ะ”
หญิงสาววางศีรษะลงแนบอกมารดา น้ำตาที่เมื่อครู่เหือดแห้งไปแล้วกลับไหลออกมาอีก “แม่จ๋า” เสียงนั้นดังอยู่ข้างใน
“เวลาของหนูจะช่วยต่อชีวิตของแม่ หนูจะแลกเวลากับผู้ชายเย็นชาคนนั้น ถ้าเวลาของแม่จะยืดยาวต่อไปอีกนานๆ”