สามปีผ่านไป
06:00 AM
ต้าหนิง
ฉันยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ข้างสนามหลังจากวิ่งรอบสนามฟุตบอลครบสามรอบ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของการก้าวเข้าสู่รัวมหาลัยของฉัน
ฉันสอบติดคณะเดียวกับเฮียโต้งคือคณะบริหารธรุกิจ
ฉันไม่ได้เจอเฮียโต้งหลายเดือนแล้ว เฮียไม่ค่อยกลับบ้านเลยช่วงสามปีที่ผ่านมา โทรไปหาก็ไม่ค่อยว่าง
เฮียโต้งย้ายไปอยู่ที่คอนโดหลังจากที่เรียนจบมัธยมปลาย ตอนแรกป๊ากับม้าก็ไม่ยอมหรอก แต่เฮียให้เหตุผลว่ามันสะดวกต่อการไปเรียนเพราะจากบ้านไปมหาลัยก็ไกลพอสมควร
พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยฉันก็เดินลงมายังชั้นล่างเพื่อมาทานอาหารเช้าที่ม้าเตรียมไว้ให้
“สวัสดีครับม้า”
เสียงคนขับรถประจำตัวฉันมาแล้ว พี่ไผ่ ฉันคบกับพี่ไผ่มาสามปีแล้ว เราคบกันแบบเรียบง่าย พี่ไผ่เขาเป็นสุภาพบุรุษมากไม่เคยล่วงเกินฉันเลยสักครั้ง ช่วงหลังๆ มานี้ พี่ไผ่ค่อนข้างยุ่งเพราะพี่เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติเหมือนกับเพื่อนๆ ของเขา ก็เลยไม่ค่อยมีเวลา แต่ฉันก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร แบบนี้มันก็โอเคดี และวันนี้พี่เขาว่างพอดีก็เลยอาสาจะไปส่งฉันที่มหาลัย
“ทานข้าวเช้ามาหรือยังล่ะลูก ทานกับน้องไหม” เสียงม่าม้าชวนพี่ไผ่อย่างใจดี
“เรียบร้อยแล้วครับ” พี่ไผ่ตอบ
“ม้า ต้าไปเรียนก่อนนะ” ฉันเดินเข้าไปกอดม้าพร้อมกับหอมแก้มม้าหนึ่งที
“จ้ะ ขับรถดีๆ นะลูก” ม้าหันไปบอกพี่ไผ่
“ครับ”
“พี่มารับเร็วไปหรือเปล่า ทานข้าวอิ่มไหมนั่น”
พี่ไผ่ถามมาเป็นชุดเมื่อฉันเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว พี่ไผ่ก็ขับรถออกสู่ถนนทันที
“ต้าไม่ได้กินจุขนาดนั้นสักหน่อย” ฉันหันไปทำหน้าง้อใส่พี่ไผ่
“ก็อยากให้กินเยอะๆ นิ ผอมเกินไปแล้วนะ” พี่ไผ่บ่น
“ถ้าอ้วนเป็นหมูก็ไม่มีใครชอบนะสิ”
“พี่นี่ไง ไม่ว่าจะเป็นลูกหมูหรือหมาน้อยพี่ก็รักเหมือนเดิม” พี่ไผ่หันมาสบตากับฉัน พอดีกับที่รถติดไฟแดง
“หมาน้อยเลยเหรอ” ฉันแกล้งทำตาโตใส่ เมื่อโดนเขาเปรียบเทียบ
“น่ารักดีออก” พี่ไผ่หันมาส่งยิ้มหวานให้กับฉัน
“ค่า...” ฉันแกล้งตอบลากเสียงยาวพร้อมกับยิ้มหวานไปให้
พี่ไผ่เลี้ยวรถเข้ามาในมหาลัย เขาจอดที่บริเวณให้จอดพอดี
“เดินไปคนเดียวเหรอให้พี่เดินไปส่งไหม” พี่ไผ่ถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวต้าโทรหาแก้มใสก่อนว่ามาถึงรึยัง”
ตุ๊ด......ตู๊ด.......
“ฮัลโลต้า แก้มกำลังจะเดินเข้ามหาลัยแล้ว ต้าอยู่ไหน” เสียงแก้มใสตอบมาอย่างรีบเร่ง
“อยู่แถวหน้ามหาลัยเหมือนกัน โอ๊ะ! ต้าเห็นแก้มแล้ว ยืนรอตรงนั้นแหละเดี๋ยวต้าเดินไปหา” ฉันกดวางสายจากแก้ม เมื่อมองเห็นแล้วว่าเพื่อนอยู่ตรงไหน
“ต้าหนิง” พี่ไผ่รั้งแขนฉันไว้
“คะ” ฉันหันหน้ากลับมาหาพี่ไผ่
จังหวะนั้น พี่ไผ่ก็โน้มหน้าลงมาจูบที่ริมฝีปากบางของฉันอย่างรวดเร็ว ฉันนั่งอึ้งตัวแข็งทือ ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ตั้งใจเรียนนะครับ” พี่ไผ่พูดพร้อมกับอมยิ้ม
“ค่ะ ต้าไปก่อนนะ”
ฉันรีบเปิดประตูเดินลงจากรถอย่างรวดเร็ว เขาทำอะไรของเขาเนี่ย... แต่เขาก็มีสิทธิ์แหละ เพราะเขาคือแฟนของฉัน
“อะไร ยังไง...”
เมื่อฉันเดินมาถึงตัวเพื่อน แก้มใสก็เริ่มพูดแซวฉัน
“ไม่ต้องมาแซวเลย รีบไปได้แล้ว วันนี้มีรับน้องด้วยนิ รีบไปเหอะ” ฉันดันหลังให้แก้มใสเดินไปข้างหน้า เพราะไม่อย่างนั้นก็จะโดนแซวอยู่อย่างนี้แหละ
หน้าคณะบริหารธุรกิจ
“น้องๆ นักศึกษาใหม่ทั้งหลายมาลงชื่อกันตรงนี้นะครับ แล้วก็มารับป้ายชื่อของตัวเอง พี่จะได้รู้ว่าใครไม่มาบ้าง” เสียงรุ่นพี่คนหนึ่งประกาศออกไมค์ลอย
“ต้าหนิง แก้มใส”
ฉันหันไปมองตามเสียงเรียกนั่น แพรวกับน้ำนี่ ฉันเดินไปกอดเพื่อนอย่างดีใจไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือนเนะ
“อ้าวๆ อย่ามัวแต่ดีใจที่เจอกันครับ รีบมาลงชื่อกันก่อนเลย” เสียงรุ่นพี่คนเมื่อกี้ประกาศบอกอีกครั้ง
ฉันกับเพื่อนเดินไปลงชื่อที่โต๊ะด้านหน้าตามที่พวกพี่เขาบอก มีรุ่นพี่ผู้หญิงสองคนนั่งรอประจำอยู่ที่โต๊ะ ฉันมองหาชื่อของตัวเองบนแผ่นกระดาษสีขาว พอหาเจอฉันก็จดปากกาเซ็นชื่อของตัวเอง
“ชื่อเล่นอะไรคะ” รุ่นพี่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ กันถามขึ้น ฉันมองดูป้ายชื่อที่พี่เข้าคล้องคอไว้ ซินดี้ นั่นคือชื่อพี่เขาสินะ
“ต้าหนิงค่ะ” แล้วพี่ซินดี้ก็ยื่นป้ายชื่อมาให้ฉัน
“ทำไม นามสกุลเหมือนโต้งเลยล่ะ” พี่ผู้หญิงที่คอยรับลงชื่อถามขึ้น พี่เขาชื่อพี่แป้งสินะ ฉันมองดูที่ป้ายชื่อของพี่เขา
“ก็น้องฉันนิ” ฉันหันไปตามเสียงนั่น
“เฮีย” ฉันเดินเข้าไปกอดเฮียโต้งอย่างดีใจเพราะไม่ได้เจอกันหลายเดือน
“อ้าว โต้งมีน้องสาวด้วยเหรอ น่ารักซะด้วย” พี่แป้งบอก ฉันส่งยิ้มบางๆ ไปให้พี่แป้ง
“น้องมึงเหรอโต้ง น่ารักว่ะ มีแฟนยังครับ” เสียงเพื่อนผู้ชายของเฮียที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดขึ้น
“ตีนกูก่อนไหม” เฮียโต้งหันไปพูดกับเพื่อน
นั่นไง แซวไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็โดนเฮียโต้งกวนเข้าให้
“แล้วน้องชื่ออะไร” เสียงพี่ซินดี้ถามแก้มใส
“แก้มใสค่ะ”
“เรียนคณะนี้ด้วยเหรอ”
ฉันหันไปมองเพื่อนก็เห็นพี่บิ๊กไบค์เดินเข้าไปถามแก้มใส แต่ดูเหมือนเพื่อนฉันไม่อยากจะเจอพี่บิ๊กไบค์เลยเหะ แก้มใสดูตื่นๆ ยังไงก็ไม่รู้
“ค่ะ” แก้มใสก้มหน้าตอบ
“แล้วเจอกัน” พี่บิ๊กไบค์บอกกับแก้มใสพร้อมกับเดินชนไหล่แก้มใสอย่างเฉียดๆ
สองคนนี้มันยังไงกันนะ
จังหวะที่กำลังจะหันหลังไปนั่งรวมกับเพื่อนๆ ก็ชนเข้ากับใครบางคน
“ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้าพูดขอโทษ
“ไม่เป็นไร”
ตึก ๆ ๆ ๆ ตึก ๆ ๆ ๆ
พอได้ยินเสียงที่ตอบกลับมามันก็ทำให้ใจของฉันที่เคยเต้นเป็นปกติมาตลอดสามปี ตอนนี้เหมือนเลือดในร่างกายของฉันสูบฉีดอีกครั้ง ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเริ่มเร็วขึ้น เหมือนเมื่อก่อน... เมื่อสามปีที่แล้วไม่มีผิด พี่ราเรซ
ตั้งแต่วันนั้น... ที่โรงเรียนฉันก็ไม่ได้เจอพี่ราเรซอีกเลย แล้วก็เหมือนว่าพอเฮียโต้งไม่อยู่ พวกพี่ๆ เขาก็ไม่มาเตะบอลกันอย่างเคย ฉันเลยไม่รู้ว่าแต่ล่ะคนเป็นอย่างไรกันบ้าง
ฉันไม่มีความกล้าพอที่จะเงยขึ้นไปมองหน้าเขา ฉันก้มหน้ามองเพียงแค่รองเท้า Converse ของเขาสลับกับรองเท้าผ้าใบของตัวเอง
“ไปไหนมาคะ” เสียงหวานใสพูดขึ้น
รองเท้าส้นสูงสีแดงเดินมาหยุดอยู่ข้างรองเท้า Converse ของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ถ้าฉันเดาไม่ผิดนะ เจ้าของรองเท้าสีแดงคู่นี้คือ พี่ซินดี้
ฉันขยับตัวเดินเลี่ยงๆ พวกเขาทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ ใจฉันมันอยากจะเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขาแทบตาย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ร่างกายมันไม่ยอมทำตามที่ใจต้องการ
“เอาล่ะครับ เมื่อน้องปีหนึ่งลงชื่อกันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินต่อแถวกันไปยังหอประชุมเลยครับ จะได้เริ่มกิจกรรมต่อไป” เสียงรุ่นพี่ผู้ชายคนเดิมที่ถือไมค์อยู่ประกาศบอก ฉันชำเลืองไปมองที่ป้ายชื่อของพี่เขาเขียนว่า P’ บาส
หอประชุม
“เอาล่ะครับน้องๆ ให้น้องปีหนึ่งแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละหกคนนะครับ ขาดเกินอย่างไรเดี๋ยวพี่ดูให้ เริ่มครับ”
เมื่อสิ้นคำพูดของพี่บาส ฉันกับเพื่อนๆ ก็ต่างจับกลุ่มกันยกใหญ่ ฉันกับแก้มใสดึงมือแพรวกับน้ำมาเข้ากลุ่ม
“อีกสองคนใครดี” แพรวถามขึ้น
“แต่ล่ะกลุ่มให้มีชายหญิงด้วยนะครับ อย่าชายล้วนหญิงล้วน” เสียงพี่บาสประกาศบอกอีกครั้ง
“แพรวแกถนัด ไปดึงผู้ชายมาสิ” น้ำกระซิบบอกแพรว
“ดั้ยค่ะ คริๆ ๆ” แพรวหัวเราะอย่างชอบใจ
และแล้วแพรวก็ไปดึงเพื่อนผู้ชายมาสองคน ซึ่งก็ถือว่าน่ารักทั้งคู่เลยล่ะ ตอนที่แพรวไปดึงเขามาเหมือนทั้งสองคนจะไม่ค่อยพอใจ แต่พอมาเจอฉันกับแก้มใส สองคนนี้กลับยิ้มแป้นอย่างเห็นได้ชัด
“เอาล่ะ กลุ่มไหนคนครบแล้วนั่งลงนะครับ พี่จะได้ดูว่าเหลือใครบ้าง”
ฉันกับเพื่อนนั่งลงเป็นวงกลมทันทีที่คนในกลุ่มครบแล้ว
“ต่อไปก็แนะนำตัวเองกับเพื่อนๆ ในกลุ่มเลยนะครับ” พี่บาสบอก
“เราชื่อธามนะ” เพื่อนผู้ชายคนแรกแนะนำตัว
“เราชื่อเฟรมนะ” เพื่อนผู้ชายคนที่สองบอก
“คนที่ขาวๆ หมวยๆ ชื่อต้าหนิง คนที่น่ารักๆ ชื่อแก้มใส ชื่อแพรวและนี้ก็ชื่อน้ำ” แพรวแนะนำแทนฉันกับเพื่อนๆ เสร็จสับ
“มาจากโรงเรียนเดียวกันเหรอ” ธามถาม
“ใช่” ฉันตอบ
“ต่อไปเรามาเล่นเกมกัน เพื่อทดสอบความสามัคคีกันนะ แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาหนึ่งคน เพื่อมารับแผ่นกระดาษกับพี่แป้งกลุ่มละหนึ่งแผ่น”
ฉันกับเพื่อนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วก็เป็นแพรวที่เดินออกไปรับแทนเพื่อนๆ ในกลุ่ม
“ได้แผ่นกระดาษครบทุกกลุ่มแล้วนะ ทีนี้ให้น้องปีหนึ่งยืนบนแผ่นกระดาษ ต้องยืนให้ครบทุกคนในกลุ่ม โดยห้ามแยกออกจากกันแล้วพี่จะจับเวลา เอาล่ะ เริ่ม!”
สิ้นคำสั่งจากพี่บาส ฉันและเพื่อนๆ ในกลุ่มต่างก็ยืนขึ้นพยายามอยู่บนแผ่นกระดาษให้ครบทุกคน
“แก้มกับต้าแกตัวเล็กเข้ามาอยู่ตรงกลางเร็ว” แพรวบอก
ฉันกับแก้มใสรีบทำตามอย่างว่าง่าย ฉันกับแก้มยืนกอดกันอยู่ตรงกลาง แล้วแพรว น้ำ ธาม เฟรม โอบกอดฉันสองคนแน่น รู้สึกว่าธามจะกอดฉันแน่นเหลือเกินนะ
“เริ่มจับเวลา” พี่บาสบอก
ฉันกับแก้มใสกอดกันแน่นที่สุดในชีวิตล่ะ และเพื่อนๆ ในกลุ่มด้วยรัดแน่นเกิ๊น
“นิ่งไว้นะ กลุ่มไหนล้มก่อนโดนทำโทษ” พี่บาสบอก
ฉันเริ่มไม่ไหวแล้วนะ ทำไมกลุ่มอื่นดูชิวกันจังเลยล่ะ แขนก็เริ่มสั่นหน่อยๆ แล้ว
“ต้า แก้มเริ่มจะไม่ไหวแล้ว” แก้มใสบอก
ตุบ!
และแล้ว... กลุ่มฉันก็แตกจากกัน แต่ที่น่าตกใจก็คือฉันล้มลงไปทับร่างธาม มองเผิ่นๆ เหมือนกับว่าธามกำลังโอบกอดฉันก็ไม่ปาน ฉันหันไปหาแก้มใส นั่นยิ่งหนักกว่าฉันอีก เพราะแก้มใสอยู่ใต้ร่างเฟรม ดูเหมือนว่าเฟรมจะเอามือของตัวเองรองหัวแก้มใสไว้
แพรวเข้ามาพยุงฉันลุกขึ้น น้ำก็เข้าไปดึงเฟรมขึ้นก่อนแล้วค่อยไปดึงแก้มใสตาม
“เราจะทำโทษเพื่อนกลุ่มนี้ยังไงดีครับ” พี่บาสหันไปถามเพื่อนกลุ่มอื่นๆ
“เดี๋ยวกูพาไปทำโทษเอง” พี่บิ๊กไบค์พูดขึ้น
ถ้าเป็นพี่บิ๊กไบค์ค่อยชื่นใจหน่อย หวังว่าพี่บิ๊กไบค์คงไม่ทำโทษพวกฉันหนักหรอกนะ
“เดินตามพี่มาครับ” พี่บิ๊กไบค์เดินมาบอกพวกฉัน
“ปะ ไอ้เรซ”
ฉันแทบกัดลิ้นตัวเอง เมื่อได้ยินอีกชื่อคนที่จะมาร่วมทำโทษฉันกับเพื่อนๆ ฉันก้มหน้างุด เมื่อพี่ราเรซเดินเข้ามาใกล้กลิ่นหอมจางๆ แตะจมูกฉันอย่างจัง มันเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่ฉันเคยได้กลิ่น... เมื่อตอนนั้น ตอนที่ฉันกอดเขาจากด้านหลังเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือเฮียโต้ง
พี่บิ๊กไบค์เดินนำพวกฉันมายังห้องหนึ่ง มองดูแล้วน่าจะเป็นห้องสัมมนาหรือห้องประชุมย่อย
“น้องต้าหนิงกับน้องแก้มใสทำความสะอาดห้องนี้นะครับ” พี่บิ๊กไบค์บอก
ฉันมองดูแล้วห้องก็ไม่ได้สกปรกอะไรนะ แต่ว่าเก้าอี้ไม่ค่อยเป็นระเบียบสักเท่าไร
“อีกสี่คนตามพี่มานี่” แล้วพี่บิ๊กไบค์ก็พาอีกสี่คนไปยังห้องอื่น
ฉันกับแก้มใสช่วยกันจัดเก้าอี้ให้เข้าที่ ก็คงทำได้แค่นี้แหละ เพราะไม่มีอุปกรณ์ในการทำความสะอาดเลยสักชิ้น
“น้องแก้มใสครับ ช่วยไปเอาผ้ากับน้ำยาเช็ดกระจกมาให้หน่อยสิ” เสียงพี่ราเรซบอกแก้มใส
ถ้าแก้มใสไปฉันก็อยู่กับเขาสองคนนะสิ
“เดี๋ยวต้าไปด้วย” ฉันหันไปบอกแก้มใส
“นี่พี่ทำโทษน้องอยู่นะครับ น้องปีหนึ่ง” พี่ราเรซพูดขัดขึ้นมาซะก่อน
และนั่นทำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าเขา ทำไมเขาถึง...ดูดีจัง เขาดูเป็นผู้ใหญ่ เหมือนจะดูดีกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ใจของฉันเต้นแรงพร้อมทั้งสั่นไหว
“ไม่เป็นไรหรอกต้า เดี๋ยวแก้มมา” แก้มใสหันมาบอกฉัน
“แล้วต้องไปเอาที่ไหนเหรอคะ” แก้มใสเดินไปถามพี่ราเรซ
“อยู่ที่ห้องคณะของเรานะ เดินออกไปเลี้ยวซ้ายถัดจากห้องนี้ไปสองห้อง” พี่ราเรซบอก
แก้มใสพยักหน้าเข้าใจแล้วก็เปิดประตูเดินออกไปจากห้อง แล้วฉันจะทำไงล่ะ ทีนี้ ในห้องนี้ก็เหลือแค่ฉันกับพี่ราเรซแค่สองคน
“เดี๋ยวต้าไปรอแก้มที่หน้าห้องก็แล้วกัน”
ฉันเดินตรงไปยังประตู หวังจะเอื้อมมือไปเปิดประตู แต่ก็โดนมือหนาจับไว้ก่อน ฉันรีบชักมือกลับอย่างตกใจ
“ทำไม รังเกียจพี่มากเหรอ” พี่ราเรซถามขึ้น
“เปล่าค่ะ ต้าแค่ตกใจ” ฉันบอกตามความจริง
พี่ราเรซเดินเข้ามาใกล้ ฉันก้าวถอยหลังอย่างระแวง
“กลัวพี่เหรอ” ปากถามแต่ร่างหนาก็ไม่ยอมหยุด ยังเดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ
“เปล่านิ” ฉันเดินถอยหลังมาจนชนเข้ากับโต๊ะตัวยาวในห้อง
“แล้วถอยหนีทำไม”
พี่ราเรซจ้องมองสบตาฉันนิ่ง แววตาของเขาดูราบเรียบ ฉันเดาไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ก็พี่เดินเข้ามาใกล้ทำไมล่ะ” ฉันมองเขาอย่างระแวง
แขนหนาสองข้างยื่นเข้ามากังตัวฉันไว้กับโต๊ะ ฉันรีบยกแขนของตัวเองขึ้นมาดันอกแกร่งไว้ไม่ให้เขาเข้ามาชิดกว่านี้ พี่ราเรซโน้มหน้ามาใกล้ ปลายจมูกโด่งเฉียนแก้มฉันไปนิดเดียว
“คิดถึงมั้ง” เขากระซิบตอบที่ข้างหู
ตึกๆ ๆ ๆ ตึกๆ ๆ ๆ
จะเต้นแรงอะไรหนักหนา ไอ้หัวใจบ้า เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหมดหรอก
“คิดถึงทำไมค่ะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ฉันเผลอสบตากับตาคมเข้าอย่างจัง กลิ่นตัวหอมแตะจมูกชวนหลงใหล
“ต้องเป็น... ก่อนใช่ไหม ถึงจะคิดถึงได้” พี่ราเรซยังจ้องมองสบตาฉันไม่ห่าง
“งะ งั้นมั้ง...” ฉันตอบอย่างตะกุกตะกัก
“พี่คิดถึงต้านะ”
ฉันเบิกตาโตอย่างตกใจเมื่อริมฝีปากหนาของพี่ราเรซโฉบลงมาทาบทับริมฝีปากบางของฉันอย่างรวดเร็ว สัมผัสนุ่มนิ่มดุจปุยเมฆทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มอย่างหลงใหล ลิ้นชื้นแทรกผ่านกีบปากบางเข้ามาตวัดดูดดึงลิ้นเล็กอย่างช่ำชอง พี่ราเรซแม้มริมฝีปากบนล่างสลับกันเล่นอย่างหยอกล้อ ฉันกำเสื้อนักศึกษาบริเวณอกแกร่งแน่นจนมันเริ่มยับยู้ยี้ ไม่เรียบเหมือนก่อนหน้านี้
พี่ราเรซอุ้มฉันขึ้นไปนั่งบนโต๊ะโดยที่ยังไม่ละริมฝีปากออกจากกัน เขาแทรกร่างหนาของตัวเองเข้ามาตรงกลาง ฉันเผลอขยับเรียวขาอ้าออกโอบรอบเอวหน้าไว้อย่างลืมตัว
มือหนาข้างหนึ่งลูบไล้เรียวขางามขึ้นมายังขาอ่อนด้านใน ทำให้กระโปรงพีทของฉันเลิกขึ้นสูงแทบจะเห็นกางเกงชั้นในอยู่แล้ว มือหนาลากไล่วนไปมาสร้างความสยิวไม่หยุดย่อน ไม่นานมือหนาข้างนั่นก็หายฟุบเข้าไปภายในกางเกงชั้นใน
“อื้อ...” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อนิ้วเรียวยาวกรีดแทรกเข้ามายังรอยแยกกลางกาย ริมฝีปากของพี่ราเรซลากไล้มายังลำคอระหง เขาแม้มดูดเสียงดัง จ๊วบ... มันยิ่งทำให้สติของฉันแตกกระเจิงไปอีก
“อ๊ะ!” ฉันไม่สามารถกลั้นเสียงของตัวเองได้เพราะนิ้วเรียวขยับเข้าออกอย่างรัวเร็ว ร่างกายฉันดิ้นเร้าไปตามจังหวะจากมือหนา เขาถอดนิ้วเรียวออกเหลือไว้เพียงความวูบวาบอยู่กลางกาย
พี่ราเรซเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมานั่งลงตรงหน้าฉัน มือหนาข้างหนึ่งของพี่ราเรซเลื่อนเข้ามาใต้กระโปรงพีทรั้งกางเกงชั้นในของฉันลงมายังเรียวขางาม เขาถอดมันออกจากปลายเท้าของฉันแล้วเอาไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ฉันมองหน้าพี่ราเรซด้วยความตะลึง นี่เขาเล่นอะไรของเขาเนี่ย
“เอาไปทำไม”
ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า จ้องมองตาคมอย่างอึ้งๆ นี้เขาจะปล่อยให้ฉันเดินโล่งๆ ไปแบบนี้นะเหรอ
“ถ้าอยากได้คืนก็ไปเอาที่คอนโดพี่นะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พุดขึ้นบนใบหน้าคมคายที่สาวๆ คนไหนได้เห็นเป็นต้องสยบให้เขา
“อย่าเล่นแบบนี้ ต้าไม่ขำนะ” ฉันพยายามเอื้อมมือไปแย่งกางเกงชั้นในของตัวเองคืนมา แต่กลับโดนพี่ราเรซจับเรียวขางามทั้งสองข้างขึ้นพาดบ่าเขาซะงั้น
“ว้าย”
ฉันรีบจับกระโปรงพีทตะปบปิดสิ่งสงวนของตัวเองทันที เล่นบ้าอะไรของเขาเนี่ย
“เอามือออก” พี่ราเรซสั่ง
จะบ้าเหรอ... ถ้าเอามืออกเขาก็เห็นหมดนะสิ
“ไม่ค่ะ” ฉันขึงตาดุใส่พี่ราเรซ อย่างโกรธเคือง
“พี่กำลังทำโทษน้องปีหนึ่งอยู่นะครับ”
พี่ราเรซพูดเสียงหวานพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างยั่วยวน ใครเขาทำโทษรุ่นน้องแบบนี้กัน มันใช่เหรอ
“นี่มันไม่ใช่การทำโทษที่ถูกต้องนะคะ” ฉันพยายามเรียกสติของตัวเองกลับมา อย่าได้หลงกลเขาเด็ดขาด... ต้าหนิง ฉันย้ำเตือนตัวเองอยู่ในใจ
“พี่ไม่ได้ทำโทษในฐานะน้องปีหนึ่งหรอกนะ แต่ที่พี่ทำโทษเพราะต้าปล่อยให้ผู้ชายอื่นมาทับรอยพี่ต่างหาก”
ฉันมองหน้าพี่ราเรซอย่างงงงวย เขาหมายถึงอะไร หรือว่าจะเป็นตอนที่ฉันล้มลงไปทับธามนั่นนะเหรอ นั่นมันอุบัติเหตุปะ ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย
“ถ้าธามไม่รับตัวต้าไว้ ต้าก็ล้มกระแทกพื้นนะสิ” แล้วทำไมฉันต้องมานั่งอธิบายให้เขาฟังด้วยนะ
“ไม่ใช่เรื่องนั้น”
มือหนาข้างหนึ่งลากไล้เรียวขาฉันเล่น ส่วนอีกข้างก็ไล่ไปยังด้านหลังดึงชายเสื้อนักศึกษาของฉันออกจากขอบกระโปรง
“พี่เรซ!” ฉันเรียกชื่อเขาดังๆ หวังให้เขามีสติ จะได้เลิกแกล้งฉันสักที
“ปล่อยให้ไอ้ไผ่จูบได้ไง ลืมรสจูบของพี่แล้วเหรอ”
พี่ราเรซเห็นงั้นเหรอ... ตอนนั้นฉันไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ พี่ไผ่เขาก็โน้มหน้ามาจูบฉัน แต่ว่า... นั่นแฟนฉันนิ
“ก็เป็นแฟนกันนิค่ะ ทำไมจะจูบไม่ได้” ฉันตอบเขาอย่างกั่วขำ ประมาณว่า พี่ถามอะไรออกมา... ควรคิดก่อนไหม
“นั่นสินะ งั้นเรามารื้อฟื้นกันหน่อยไหม... จะได้ไม่ลืมกัน”
พูดจบมือหนาก็เลิกกระโปรงของฉันขึ้น ส่วนมืออีกข้างของพี่ราเรซก็เอื้อมมาจับมือบางของฉันไว้ด้วยมือหนาเพียงข้างเดียวของเขา
“ว้าย”
เขาฟุบหน้าลงที่กลางกายสาวของฉัน ลิ้นร้ายแทรกเข้ามาสะกิดจุดเสียวกลางกายสาว เขาดูดแม้มแรงๆ ทำให้ร่างกายของฉันถึงกับเกร็งไปทั้งตัวอย่างเสียวซ่าน
“อื้อ...พี่เรซ” ฉันไม่รู้รับอะไรอีกแล้ว หูได้ยินเพียงเสียงจั๊วเจ๊ยะ ที่มันดังออกมาจากริมฝีปากของคนตรงหน้าที่กำลังเล่นกับกลางกายของฉันอย่างเพลิดเพลินมันยิ่งทำให้สติของฉันกระเจิดกระเจิงเข้าไปอีก
จากที่ทรมานอยู่แล้ เขาก็เพิ่มความทรมานด้วยการแทรกนิ้วเรียวเข้ามาถึงสองนิ้ว มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดแน่นไปหมด นิ้วเรียวเริ่มขยับเข้าออกอย่างช้าๆ แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ เขาเร่งจังหวะนิ้วเร็วขึ้น ถี่ขึ้น ลิ้นร้ายยังไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย ยังปาดปัดไปทั่วโถงถ้ำสลับดูดแม้มแรงๆ กับจุดเสียว เมื่อโดนเล้าโลมอย่างต่อเนื่องมันก็ทำให้ร่างกายของฉันเริ่มบิดเกร็งไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนตัวลอยละลิ่วไปยังท้องฟ้าแล้วก็หล่นวูบลงมาอย่างสุขสม
พี่ราเรซเลื่อนริมฝีปากขึ้นมาประกบจูบฉันอย่างเร่าร้อน ฉันกอดร่างหนาไว้แน่นไม่ยอมให้เขาถอยห่างไปไหน มือหนาเอื้อมมาปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาเม็ดบนของฉันออกสามเม็ด ใบหน้าคมซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนลากไล้ลิ้นร้ายลงมายังเนินอก พี่ราเรซก้มลงดูดแม้มแรงๆ ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่เนินอก
“จำไว้นะต้าหนิง อย่าให้ใครมาทับรอยพี่อีก ไม่งั้น พี่จะคูณสองเท่า”
เราสองคนสบตากันนิ่ง ฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบเขายังไง นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของฉันมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ฉันควรจะห้ามเขา... แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำอย่างนั้น มันเต็มใจให้เขาทุกอย่าง
“นี่! น้องปีหนึ่งสองคนนั้นนะ เห็นราเรซไหม คนที่หล่อๆ ขาวๆ น่ะ” นั่นเสียงพี่ซินดี้นิ เสียงของพี่ซินดี้ดังขึ้นอยู่หน้าห้อง
ฉันมองหน้าพี่ราเรซ แล้วความรู้สึกในใจของฉันบางอย่างมันก็ก่อตัวขึ้น ฉันโกรธเขา โกรธที่มีผู้หญิงมาตามหาเขา
“ไม่เห็นค่ะ” นั่นเสียงแพรวนิเพื่อนฉันอยู่ด้านนอก
พี่ราเรซอุ้มฉันเดินไปหลบยังหลังผ้าม่านฝื่นหนาภายในห้องประชุมเมื่อมีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา
ปึก!
เสียงประตูหน้าห้องถูกเปิดออก ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบกับพื้นกระเบื้อง เสียงเหมือนรองเท้าส้นสูงเลย แต่ฉันมองไม่เห็นหรอกว่าเป็นใครเพราะพี่ราเรซยืนกอดฉันไว้อยู่ ฉันเผลอกอดเขาตอบอย่างลืมตัว แอบสูดดมกลิ่นกายหอมจากตัวเขาเข้าเต็มปอด มันรู้สึกอบอุ่นมากที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้...
“ไปไหนของเขานะ” เสียงรองเท้าส้นสูงเดินกระแทกพื้นกระเบื้องออกไป
พอได้สติฉันก็ปล่อยมือออกจากร่างหนาทันที น่าอายชะมัด แล้วจะมองหน้ากันยังไงล่ะทีนี้ เขาไม่อายฉันบ้างหรือไง อร๊ายยยยย อยากจะบ้าตาย
ฉันเดินออกมาจากด้านหลังผ้าม่าน มือบางรีบติดกระดุมเสื้อของตัวเองอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะมันหลุดออกด้วยฝีมือของเขา ฉันแอบบ่นพึมพำตัวเองอยู่ในใจแล้วก็ทึ่งผมแรงๆ อย่างหัวเสีย
“ทำอะไร”
พี่ราเรซเดินเข้ามาชิดที่หลัง เขาจับมือฉันที่กำลังทึ่งหัวของตัวเองออกแล้วแขนหนาก็สวมกอดจากด้านหลัง
ตอนนี้ฉันสับสนไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร สิ่งที่เขาทำกับฉันนั้นมันคืออะไร การลงโทษอย่างนั้นเหรอ หรือที่เราทำไปมันเพราะความสนุกของวัยรุ่นแค่นั้นหรือเปล่า
“ขะ ขอคืนด้วย”
ฉันไม่กล้าหันหน้าไปพูดกับเขา ที่สำคัญร่างหนายังโอบกอดฉันอยู่ไม่ยอมปล่อยสักที
“อะไร”
“ก็... กางเกง” ตอนนี้หน้าฉันนี่คงแดงกว่าลูกตำลึงแล้วมั้ง
“อยากได้ก็มาเอา... ที่คอนโดพี่นะ” พี่ราเรซกระซิบบอก
“แล้วต้าจะกลับบ้านยังไง ให้เดินไปโล่งๆ แบบนี้นะเหรอ” ฉันหันหน้าไปถามด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง แล้วก็เจอกับสายตาเจ้าเล่ห์ที่มองฉันอย่างมีเลศนัย ฉันเบือนหน้าหนีทันทีที่รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า
พี่ราเรซยื่นกุญแจของเขามาให้ ฉันหันไปมองหน้าเขาอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ
“ไปรอในรถ สตาร์ทเครื่องรอ... แล้วก็ล็อกประตูรถไว้ด้วย ห้ามเปิดให้ใครขึ้นนอกจากพี่” พอสั่งจบเขาก็เดินออกไปจากห้อง
ฉันก้มมองกุญแจรถหรูของเขา แล้วจะรู้ไหมล่ะว่าคันไหน แต่ก็ไม่น่าจะหายากเพราะเป็นรถรุ่นเดียวกันกับเฮียโต้งเลย