ตอนที่ 2 ยาในสุรา1

1638 คำ
รัชศกจิ้นหยวนปีที่สิบเก้า กลางเดือนสาม ในโถงงานเลี้ยงอันโอ่อ่าหรูหรา เบื้องบนฝั่งแท่นประธานปรากฏเรือนร่างสูงศักดิ์ขององค์รัชทายาทเด่นสง่า ใบหน้าคมสันหล่อเหลาและงดงามเป็นเอกมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับริมฝีปากสีแดงสดตลอดเวลา ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่าค้นหา ทั้งน่าหลงใหลชวนฝันถึง พระองค์สวมผ้าแพรสีม่วงลายมังกรสีขาวปักดิ้นสีทองอร่าม ขับเน้นให้เผยคำว่า ‘รูปงาม’ ยากหาใดเทียม เขาคือองค์รัชทายาทแคว้นจิน นามจ้าวไท่หรง ด้านข้างพระวรกายสูงค่าขององค์รัชทายาทจ้าวไท่หรงคือเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำเข้มของเฉิงอ๋อง นามจ้าวเฟิ่ง เดิมทีหากไม่มีบุรุษสูงศักดิ์ผู้อื่นนอกจากรัชทายาท ทุกสายตาของบรรดาคุณหนูวัยกำดัดทั้งหลายต่างย่อมต้องมองเพียงว่าที่ประมุขแผ่นดินผู้นี้ผู้เดียว ทว่าวันนี้นั้นแตกต่าง เมื่อในงานเลี้ยงมีเฉิงอ๋องอยู่ด้วย ทุกสายตาจึงเปลี่ยนมาจับจ้องที่จ้าวเฟิ่งเป็นตาเดียว เหล่าสาวงามนางรำในห้องรับรองก็เช่นกัน พวกนางต่างแอบมองบุรุษหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายอย่างจ้าวเฟิ่งจนตาเป็นมัน หากเอ่ยว่ารัชทายาทหนุ่มทรงหล่อเหลารูปงามเหนือผู้คน บุรุษผู้เหมาะสมเปรียบเทียบเท่าเทียมย่อมมีหนึ่งเดียวคือเฉิงอ๋อง เพราะนอกจากความคมคายสง่างามที่มีเฉกบุรุษสูงศักดิ์ เขากลับมีความคมคร้ามโดดเด่นเหนือพี่ชายอย่างจ้าวไท่หรง เฉิงอ๋องผู้นี้ร้อยวันหมื่นราตรียากนักจะมีโอกาสได้พบพาน ความทรงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์นี้เป็นที่โจษจัน แค่สายตาของเขาที่มองมาอย่างไม่ตั้งใจก็สามารถสะกิดใจสตรีให้ว้าวุ่นหวั่นไหวได้แล้ว เหล่าสตรีได้เห็นเขาเพียงครั้ง ล้วนเก็บไปฝันสมคำร่ำลือ งานเลี้ยงในตำหนักบูรพาเกิดขึ้นและดำเนินเหมือนทุกครา ทว่าในจอกเหล้าวันนี้คล้ายมีสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไป มิใช่รสชาติ แต่เป็นความรู้สึกหลังดื่มเข้าปากเพียงไม่กี่จอก จ้าวเฟิ่งรู้สึกร้อนรุ่มอย่างประหลาดมากขึ้นทุกขณะ ภายในงาน ผู้คนต่างสรวลเสเฮฮา จ้าวไท่หรงร่ำสำราญกับสาวงามที่คอยประกบสงบยอมอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา หันไปด้านหนึ่งมือเรียวเสลาก็ยื่นกับแกล้มถึงริมฝีปากอันสูงค่า หันอีกฝั่งยังมีมือนุ่มประคองจอกสุราส่งให้อย่างแช่มช้าชดช้อย เขาหันมายกจอกสุราขึ้น สองตาเจ้าชู้เสเพลเหล่มองน้องชายผู้ทำตัว ‘สุภาพชนผู้สง่างาม’ ด้วยรอยยิ้มเยาะ “น้องพี่ เจ้าเอาแต่วางท่าเช่นนี้ไม่เมื่อยหรือไร?” คำพูดรัชทายาทแฝงนัยชัดเจนว่ารู้ตัวตนที่แท้จริงของน้องชายที่เหมือนเสือร้ายไม่ต่างจากพี่ชายคนนี้สักนิด ช่วงเวลางดงามยามค่ำคืน คนย่อมหื่นกระหายไม่ต่างกัน คำพูดเมื่อครู่หาใช่ต้องการคำตอบใดเพียงหยอกเย้าเท่านั้น ยิ่งเห็นน้องชายมีสีหน้านิ่งครึมข่มอารมณ์ก็ยิ่งชอบใจ รัชทายาทมองยิ้มๆ ก่อนหันไปสนใจสองสาวงามเหนือสามัญข้างกายตนต่อ จ้าวเฟิ่งสวมชุดสีดำสนิทปักลายสีแดงสดตัดกันอย่างดุดัน ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อแลดูทรงเสน่ห์เกินบรรยาย เขานั่งนิ่งๆ เอนกายอิงพนักเก้าอี้เงียบๆ ทำตัวสงบราวกับไร้ตัวตน แต่กลับไม่มีผู้ใดมองข้ามรัศมีเปล่งประกายของเขาได้ อ๋องหนุ่มมิอาจปลีกตัวออกได้ตามแต่ใจ จำต้องนั่งมองนางรำโยกย้ายบั้นท้าย พาตัวนุ่มนิ่มราวไร้กระดูกพลิ้วกายยั่วเย้าเร้าอารมณ์ไม่สิ้นสุด ยังไม่นับรวมสาวงามหยาดเยิ้มอย่างหาตัวจับยากนางหนึ่งที่นั่งขนาบอยู่ข้างกายคอยปรนนิบัติรินสุราพะเน้าพะนอเอาใจ แสดงออกชัดเจนว่าปรารถนาตำแหน่งใดในตำหนักอ๋องก็ได้ ขอเพียงคืนนี้ได้มีช่วงเวลาหอมหวานด้วยกันจนล่วงพ้นราตรีวสันต์ นางผู้นี้มีกลิ่นกายหอมหวนชวนสนเท่ห์ยิ่งนัก “ท่านอ๋อง สุราเพคะ” สาวงามยื่นเรียวนิ้วขาวผ่องนวลเนียนส่งจอกสุราให้จนถึงริมฝีปากหยักได้รูปด้วยกิริยาเย้ายวน น้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน ดวงตาพราวระยับมองอย่างเชิญชวนพร้อมขึ้นเตียงตลอดเวลา งานสังสรรค์ค่อยๆ ล่วงพ้น คนหลายคนร่ำสำราญมัวเมา ข้างกายพวกเขามีสาวงามเอาใจ พวกเขาจึงเอาแต่ใจกับสาวงาม เปลวเพลิงในตะเกียงเผาไหม้เวลาไปพอควร ทั้งสุราปลุกอารมณ์และคนงามเร้าอารมณ์ บุรุษผู้หนึ่งจะทนอยู่อย่างไรไหว ในที่สุดจ้าวเฟิ่งก็สะกดกลั้นไฟในใจเอาไว้มิได้ เขาแค่นสบถเสียงหนึ่ง มองอย่างเย็นชา แววตาดำดิ่งราวบ่อลึก ยื่นมือเรียวยาวที่มีเส้นเลือดปูดนูนเด่นปัดจอกสุราออกห่าง พรวดพราดลุกขึ้นทันที เดินไปอย่างไม่ไยดีต่อมารยาทพึงมีด้วยซ้ำ รัชทายาทจ้าวไท่หรงมองตามยิ้ม ในดวงตาดอกท้อเผยความเจ้าเล่ห์ร้าย ร่างสูงในชุดดำแลดูสง่างามเป็นพิเศษแม้เดินโอนเอนในความมืดสลัว จ้าวเฟิ่งที่ลำตัวร้อนผ่าว กลางกายปวดหนึบเพราะดื่มสุราที่มียาบางอย่างผสมอยู่ ยามนี้ริมฝีปากบางเม้มแน่น เร่งรุดเดินไปตามทางศิลาอย่างคนที่ยากสะกดกลั้นอาการรุ่มร้อนเกินทานทน จู่ๆ ตรงหน้าพลันปรากฏหญิงสาวในชุดงามหรูหราบอกฐานะไม่ธรรมดา ใบหน้าสะสวยหมดจด เดินมาขวางทางเอาไว้ “พี่เฟิ่ง” นางเรียกจ้าวเฟิ่งอย่างสนิทสนมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง อ๋องหนุ่มหรี่ตาลง ความงามพิสุทธิ์แต่กลับยวนใจตรงหน้าทำกล้ามเนื้อตึงแน่นยิ่งเคร่งครัดกว่าเดิม “น้องเหยา เจ้ามาทำอะไรที่นี่” จ้าวเฟิ่งถามเสียงพร่า หญิงผู้นี้มีนามว่า หวังซูเหยา บิดาคือหวังซวี่ ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก นับเป็นขุนนางน้ำดีผู้หนึ่ง ส่วนมารดาคือญาติผู้น้องของอดีตฮองเฮาผู้ล่วงลับซึ่งเป็นมารดาของเฉิงอ๋อง กล่าวก็คือ หวังซูเหยานับเป็นสตรีที่ไม่อาจดูเบาในเรื่องสายสัมพันธ์ หวังซูเหยามองจ้าวเฟิ่งด้วยสายตาตัดพ้อ มีน้ำตาเอ่อคลอน่าสงสาร สื่อนัยคล้ายต่อว่าสามีที่มิค่อยกลับบ้านมาดูดำดูดีภรรยา “พี่เฟิ่ง รัชทายาททรงให้เหยาเอ๋อร์เข้าวังมาเพื่อพูดคุยกับท่านเรื่อง...เอ่อ...การหมั้นหมายของเราเจ้าค่ะ” ไม่พูดเปล่า นางยังโถมกายอ้อนแอ้นเข้าใกล้ ส่งกลิ่นหอมเชิญชวนให้คนต้องโอบกอดเกินห้ามใจ สองแขนงามราวหยกที่เกาะเกี่ยวไหล่หนาคล้ายเกาะเกี่ยวเข้าไปในอณูเนื้อตรงอกด้านซ้าย ความรู้สึกนี้แทรกผ่านเสื้อผ้าเข้าปะทะกล้ามเนื้อหน้าอกทำเอาหัวใจเต้นรัว จ้าวเฟิ่งขนลุกเกรียว ลำคอบุรุษแห้งผาก หากเขาคล้อยตามนางสักเล็กน้อย แม้จะกึ่งผลักไสกึ่งโอนอ่อน นางย่อมเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ดังใจ ทว่าจ้าวเฟิ่งแค่ขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากบาง ก้มมองนางนิ่งๆ มิได้กอด แค่ไม่หลบเลี่ยง อาจเพราะร่างกายของเขาตอนนี้กำลังมีความต้องการที่เข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ สตรีผู้หนึ่งจึงเข้าประชิดได้อย่างง่ายดาย หวังซูเหยายื่นมือจับสาบเสื้อตรงคอแกร่งแน่นขึ้น นางเงยหน้านวลที่มีแก้มแดงเรื่อ ช้อนดวงตาวาวฉ่ำ ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ราวกับกลีบดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน มีน้ำหวานมากมายในนั้นเข้าใกล้เขามากกว่าเดิม “พี่เฟิ่ง...” จ้าวเฟิ่งมิทันได้ตอบหรือเผยปฏิกิริยาใด พอสิ้นเสียงหวาน นางยื่นหน้า ประกบริมฝีปากกับเขาทันที ทั่วตัวนางมีกลิ่นหอมไม่เว้นโพรงปาก รสชาติยังหวานมาก ยามนางยื่นปลายลิ้นนุ่มชื้นมาไล้เลียริมฝีปากเขา สัมผัสวาบหวามจากกลีบปากอ่อนนุ่มยิ่งแผ่ความร้อนขุมหนึ่งซาบซ่านไปทั่วร่าง ชายหนุ่มเบิกตากว้าง สั่นสะท้านไปทั้งตัว แต่ยังไม่ทันที่ปลายลิ้นน้อยๆ จะอาจหาญมากไปกว่านั้น จ้าวเฟิ่งพลันเบี่ยงหน้าเม้มปากอย่างรังเกียจ หมัดของเขากำแน่น เพียรระงับโทสะมิให้เผลอฟาดฝ่ามือใส่ร่างเล็กจนตายตก หวังซูเหยาเองก็ไม่ย่อท้อ นางรวบรวมความกล้าที่มีทั้งหมดในชีวิตสิบหกปี ปลิดความขวยเขินสะเทิ้นอายไปสิ้น เบียดกายนุ่มแนบชิดแผงอกแข็งแรง สองมือเล็กโอบเอวสอบไว้แน่น ลูบเบาๆ ส่งสัญญาณพร้อมทอดกายให้เขา ช่วยเขาจากยาเยี่ยงคนใจงาม “พี่เฟิ่ง ข้ารักท่าน อย่าหมางเมินเย็นชาต่อข้าอีกเลย” ด้านข้างเพียงสามก้าวคือห้องๆ หนึ่ง ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้แล้ว พยานรู้เห็นที่ไว้ใจได้ก็พร้อมพรั่ง คืนนี้คือการเดิมพันครั้งสุดท้าย นางต้องได้แต่งงานกับเขา เป็นพระชายาเฉิงอ๋อง “พี่เฟิ่ง แค่ท่านพยักหน้า ข้าหวังซูเหยา ต่อให้มิได้เป็นเอก มิได้รอง ข้าก็ยินดีทั้งนั้น ข้าพร้อมเคียงท่านโดยไม่โต้แย้งเจ้าค่ะ” หากไม่ทำเช่นนี้ บุรุษที่หวงเนื้อหวงตัวเกินเอื้อมเช่นเขา นางก็ไม่รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครอบครอง เงาร่างสองสายพลันปรากฏเป็นภาพให้เห็นว่ากำลังกอดกระหวัดรัดรึงเข้าไปในห้องจนถึงเตียงนอน สองแขนบุุรุษโอบกอดสตรีร่างนุ่มอย่างคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทั้งคู่พากันพลิกตัวจนพบความสุขสมหวานล้ำ เรือนร่างชุ่มเหงื่อไร้อาภรณ์ห่มกายเสียดสีกันครั้งแล้วครั้งเล่า พายุอารมณ์ที่จู่โจมทำคนเคี่ยวกรำจนรุ่งสาง…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม