“เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ”
โลกนี้ก็ช่างน่าขันนัก ภพก่อนนางเป็นพี่สาวของฉินเซี่ยหรงได้รับการคำนับจากทั้งน้องเขยและน้องสาว แต่มายามนี้นางกลับต้องเป็นฝ่ายมาคำนับคนทั้งสองเพียงเพราะมาอาศัยร่างของหลานสาวเกิดใหม่
“ตามสบายเถิดลูก แล้วนี่เจ้าไปกินข้าวกับท่านย่ามาก่อนที่จะมาที่นี่แล้วใช่หรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนยามเอ่ยวาจากับบุตรีนั้นต่างจากการเอ่ยกับบรรดาเหล่าลูกน้องของตน
“เจ้าค่ะท่านพ่อ…” สองสามีภรรยายิ้มออกมาเมื่อนึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเอ็นดูบุตรี
“ท่านพี่ขอรับ” น้องชายตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาพี่สาว
“หืม… หลงเอ๋อร์นี่เจ้าวิ่งมาจากทางใดกัน” โจวเจินเจินหันไปถามไถ่น้องชายตัวน้อยพลางส่งยิ้มให้แล้วส่งมือไปลูบศีรษะทุย
“ข้ามาจากสวนท้ายจวนขอรับ”
เด็กชายตัวน้อยตอบพี่สาวก่อนที่จะสวมกอดนางเอาไว้อย่างรักใคร่ ร่างเล็กของเด็กหญิงโอบกอดน้องชายตอบเช่นกัน ทั้งบิดาและมารดารวมไปถึงบ่าวรับใช้ต่างมองมายังเด็กทั้งสองด้วยสายตาเอ็นดู
ในมื้ออาหารเย็นฮูหยินผู้เฒ่าเรียกให้บุตรชาย สะใภ้เอกและหลานทั้งสองไปร่วมกินมือเย็นกับท่านด้วยเพราะอยากจะพูดคุยเรื่องการศึกษาของโจวเจินเจิน ใต้เท้าโจวเห็นด้วยกับมารดาเพราะอยากให้บุตรีมีวิชาความรู้ติดตัว ยามเมื่อนางเติบโตนางก็ต้องแต่งออกไปอยู่สกุลอื่น จะได้มิถูกผู้อื่นดูถูกหรือตำหนิว่าเป็นสตรีที่มิมีความวิชาความรู้อันใด อีกอย่างนางจะได้มีมิตรสหายวัยเดียวกัน เพราะที่ผ่านมานางนั้นร่างกายอ่อนแอเขาจึงมิยอมให้บุตรีออกไปนอกจวน
“หากเจ้าสอบผ่าน พ่อก็จะมิห้ามเจ้าหรอกหนา เพราะการศึกษามันก็เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าในภายภาคหน้า สตรีจะมีรูปลักษณ์งดงามเพียงใดหากมิมีความรู้ติดตัวก็ยากที่จะได้รับการยอมรับจากสกุลที่สูงศักดิ์กว่า ระหว่างนี้พ่อจะให้ท่านอาจารย์มาสอนวิชาความรู้ก่อนสอบเข้าให้เจ้าจงตั้งใจศึกษาให้ดี” ใต้เท้าโจวกล่าวกับบุตรีของตนหลังจากกลับมาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
ถึงมิมีอาจารย์มาสอน นางก็สามารถสอบผ่านเข้าสำนักศึกษาได้อย่างสบาย แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นทั้งบิดาและมารดาของโจวเจินเจินคงจะต้องแปลกใจจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามวัยของนาง
“เจินเอ๋อร์วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะนะลูก” ฉินเซี่ยหรงเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าบุตรีใช้เวลาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ามาหลายชั่วยาม
“ถ้าเช่นนั้นลูกลาเจ้าค่ะ” เด็กหญิงคำนับลาบิดาและมารดาก่อนที่จะเดินออกจากเรือนใหญ่กลับไปยังเรือนนอนของตน
ร่างเล็กนั่งอยู่ริมหน้าต่างภายในห้องนอนของตน สาวรับใช้รินน้ำชาให้คุณหนูใหญ่ก่อนที่จะสังเกตว่าคุณหนูใหญ่ในยามนี้นั้นดูแข็งแรงมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ทว่ากลับมิได้สดใสอย่างที่ควรจะเป็น นางดูเหม่อลอยและดูสุขุมราวกับว่านางนั้นเป็นผู้ใหญ่ผ่านเรื่องราวมามากมาย อี้ถงเข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะคุณหนูใหญ่ของนางอาจจะรู้สึกเศร้าใจที่สูญเสียท่านป้าไปโดยที่นางมิทันได้ไปร่ำลา เพราะยามนั้นคุณหนูล้มป่วยไม่ได้สติไปนานถึงสามคืน พอฟื้นมาร่างของท่านป้าของนางก็ถูกฝังอยู่ในสุสานสกุลฉินแล้ว
“คุณหนูใหญ่ ไปอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ บ่าวเตรียมน้ำไว้ให้คุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” อี้ถงเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าคุณหนูใหญ่เริ่มเหม่อลอยอีกครา
“อือ…. ขอบใจนะอี้ถง”
โจวเจินเจินลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาวที่ตั้งอยู่ติดกับริมหน้าต่างแล้วตรงไปยังห้องอาบน้ำ
ถังน้ำขนาดใหญ่ที่มีควันลอยขึ้นมาจากไอน้ำที่ปะทะกับอากาศที่ยังคงหนาวเย็น ร่างเล็กปลดเปลื้องอาภรณ์ที่สวมใส่ออกก่อนที่จะลงไปแช่ในอ่างน้ำขนาดกลาง อี้ถงเฝ้าดูคุณหนูใหญ่ของนางมิได้ห่างไกล นางช่วยสระผมที่ยาวสลวยสีดำของคุณหนูใหญ่อย่างเบามือ คนที่ได้รับการดูแลหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
หลังจากที่อาบน้ำแต่งกายเสร็จเรียบร้อย คุณหนูใหญ่ก็ได้เข้านอน อี้ถงรออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินไปดับไฟจากตะเกียงแล้วออกจากห้องนอนของคุณหนูใหญ่ไป ร่างเล็กพลิกกายภายใต้ผ้าห่มผืนนุ่มที่ช่วยให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดี แม้กายจะอบอุ่นแต่หัวใจของนางรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งนัก เมื่อนึกคิดไปถึงเรื่องราวในอดีตชาติของตน อดีตชาติ…ก่อนที่จะสิ้นลมแล้วมาอยู่ในร่างของหลานสาวผู้เป็นที่รัก
ช่วงเย็นหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่นางจะสิ้นลม
“ท่านพี่…เหตุใดท่านถึงรังเกียจข้านัก ข้าไปทำอันใดให้ท่านแค้นเคืองนักหนาหรือเจ้าคะ ท่านแต่งข้ามาเพียงเพื่อมอบตำแหน่งภรรยาเอกที่ท่านมิแม้แต่จะร่วมเตียงเคียงหมอนด้วย” นางตัดพ้อใส่สามีที่วันนี้มากินมื้อเย็นร่วมกับนางแต่มิเคยอยู่ค้างอ้างแรม แม้จะอยู่ในฐานะภรรยาเอกมานานถึงหกปี
“เจ้าอยากเป็นเมียของข้าจริงๆ น่ะหรือ…” เขาวางตะเกียบลงพร้อมเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ… แต่ข้ากับท่านเราเป็นสามีภรรยากันมานานหลายปีแล้ว จนฮูหยินรองกับเหล่าอนุของท่านมีบุตรเพื่อสืบทอดสกุล แล้วข้าล่ะ… ท่านรู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ข้าใช้ชีวิตอยู่ในจวนนี้ลำบากเพียงใด”
“มิใช่… แต่อยากให้ข้านอนกับเจ้า มีลูกกับเจ้าเนี่ยน่ะหรือ หึ!!! คำตอบของเจ้าช่างสวนทางกับความต้องการของเจ้านักฮูหยิน ข้าจะบอกอันใดให้ ที่ข้าแต่งเจ้ามาเป็นภรรยาเอกก็เพราะท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเป็นฝ่ายเลือกเจ้า พวกเขาแค่อยากให้เจ้ามาทำหน้าที่เป็นภรรยาที่เชิดชูหน้าตาสกุลของข้า เรื่องฮูหยินรองกับเหล่าอนุเป็นเพราะข้ามีใจรักใคร่พวกนาง ข้าถึงร่วมเตียงเคียงหมอนมีทายาทให้กับสกุลหวง แต่สำหรับเจ้าข้ามิได้คิดอันใดด้วย แค่กินข้าวกับเจ้าข้ายังกลืนลำบากเลย หากมิอยากอับอายก็อยู่ในตำแหน่งภรรยาเอกของข้าอย่างเงียบๆ ไปเถิด เพราะนั่นคือที่ของเจ้า ที่ที่มิใช่ในหัวใจของข้า”
คำตอบเสียดแทงจิตใจทำให้ฉินเซี่ยหรูน้ำตาไหลพราก เขาเก็บคำพูดเหล่านี้เอาไว้มานานถึงหกปี หกปีที่นางต้องสูญเสียวัยเยาว์ไปกับตำแหน่งภรรยาเอกที่เขาไม่รัก
หลังจากวันนั้นนางก็ตรอมใจนอนซมอยู่แต่ภายในเรือนนอนของนาง ไม่ออกมาหุงหาอาหารเพื่อดูแลผู้ใดในจวนอีกเลย บิดามารดาของสามีก็ไม่คิดจะมาสนใจไยดีสะใภ้เอกที่ไร้ค่าเช่นนาง สองบ่าวรับใช้แม้จะซื่อสัตย์ แต่ก็มิสามารถกระทำการสิ่งใดเพื่อนายหญิงใหญ่ได้เพราะอำนาจในจวนยามนี้แม้จะอยู่ในการดูแลของนายหญิงใหญ่ แต่นายหญิงรองกลับมีคนเคารพยำเกรงนางมากกว่าเพียงเพราะมีบุตรีคนแรกให้แก่สกุลหวงต่างจากนายหญิงใหญ่ที่เป็นถึงภรรยาเอกแต่ไร้วี่แววมีทายาทสืบสกุล
น้ำใสๆ ไหลลงอาบแก้มเล็กพร้อมทั้งเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาอย่างห้ามมิได้ ชาติภพก่อนนางเกิดมาอาภัพยิ่งนัก ไร้คนที่รักจริงแม้แต่บิดามารดาก็เห็นหน้าตาของสกุลมากกว่าความสุขของนาง หากชาติภพนี้เฒ่าจันทราจะเมตตาสักนิด ก็ขอความเมตตาผูกด้ายแดงให้นางกับบุรุษที่มีความรักให้นางจากใจ มิได้หวังมีนางไว้เพียงเป็นสิ่งเพื่อประดับหน้าตาของสกุลเช่นกับชาติภพที่ผ่านมา หากหามิได้เช่นนั้นนางก็ขอเป็นสตรีที่ไร้สามีไปจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่