ตอนที่ 5

2363 คำ
ครู่ต่อมาประตูตรงหน้าก็เปิดออกจนเขาที่พิงอยู่เสียหลักแบบชนิดที่เรียกได้ว่าตั้งตัวแทบไม่ทัน “โอ๊ย..อะไรนักหนาแต่เช้าวะ!!” ซ่งเหว่ยหนานเปิดประตูออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกจนเขาทั้งเหนื่อยทั้งง่วงแทบตาย เช้านี้เขายังจะมาถูกไอ้น้องชายตัวดีนี่มาก่อกวนปลุกกันแต่เช้าอีก “พี่ฮึก ไอ้เลว ไอ้บ้าทำแบบนี้กับผมได้ไงวะ” ซ่งเทียนเหิงกระชากคอเสื้อคนเป็นพี่ชายแน่นด้วยความแค้นก่อนจะผลักอีกฝ่ายเข้าไปในห้องเพื่อด่าให้สะใจและป้องกันไม่ให้คนอื่นมาได้ยินเรื่องนี้ อีกฝ่ายที่เพิ่งตื่นนอนจึงยังงัวเงียอยู่เลยไม่ทันตั้งตัวดังนั้นจึงถูกน้องชายผลักเข้าไปในห้องได้โดยง่าย “อะไรของแก ประสาท” ซ่งเหว่ยหนานผลักอีกฝ่ายออกห่างด้วยท่าทีรำคาญเต็มทีก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างไม่สนใจอีกฝ่ายเพราะเขายังง่วงอยู่ “พี่เกลียดผม เกลียดแม่ผม ผมเข้าใจ แต่ทำไมต้องทำลายผมด้วยวิธีสกปรกแบบนี้ด้วย พี่ก็รู้ว่าเมื่อวานผมโดนหมอนั่นมอมเหล้าจนเมา พี่ยัง.. นี่เพราะแบบนี้ใช่ไหมพี่ถึงได้เจรจาสำเร็จพี่ขายผมได้ไงวะ” ซ่งเทียนเหิงกล่าวอย่างเหลืออดด้วยความคับแค้นใจ จำต้องปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างเสียไม่ได้เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เขาถูกคุณชายจางล่วงละเมิดทั้งที่พี่ชายอยู่ด้วยแบบนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าซ่งเหว่ยหนานจะเกลียดเขาจนถึงขนาดนี้ได้ หรือเพียงเพราะพวกเขาสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่แค่คำว่าเพื่อนของพวกเขามีค่ามากกว่าน้องชายร่วมสายเลือดอย่างงั้นหรือ ทำไมเขาต้องถูกพี่ชายตัวเองขายให้คนอื่นอย่างเลือดเย็นแบบนี้ด้วย แล้วนี่จะไม่ให้ซ่งเทียนเหิงรู้สึกแค้นได้อย่างไร “พูดจบยัง” ซ่งเหว่ยนหนานเอ่ยออกมาอย่างรำคาญใจ ที่แท้ถูกปลุกแต่เช้าเพราะเรื่องไร้สาระของน้องชาย “อะไร นี่ไม่รู้สึกผิดสักนิดเลยเหรอ” ซ่งเทียนเหิงมองคนตรงหน้าด้วยความโกรธแค้นมือของเขาตอนนี้กำหมัดแน่นจนสั่นไปหมดเพราะอยากซัดหน้าพี่ชายให้ช้ำดูสักครั้ง “เห้อ... หุบปากแล้วฟัง เมื่อคืนนายเมามากฉันต้องลากนายกลับมาอย่างลำบากแล้วทำไมนะเหรอ กว่าจะลากมาได้ล้มบ้าง เดินมั่วไปทั่วบ้าง ฉันก็เมานิดๆ เหมือนกันจะให้ดูแลนายอย่างไข่ในหินได้ไง นายลากฉันจนล้มไปด้วยตั้งหลายครั้ง นายมันตัวเบาที่ไหน ถึงจะเตี้ยกว่าฉันตั้งสิบกว่าเซ็นต์ก็เถอะ” ซ่งเหว่ยหนานเอ่ยอย่างหงุดหงิด “อะไรพี่หมายความว่าไง ก็ผมปวดไปทั้งตัวยิ่งตรงนั้น” ซ่งเทียนเหิงถามออกไปหน้าแดงเมื่อนึกถึงส่วนที่เจ็บที่สุดในร่างกาย “เออสิ ก็เอาตูดกระแทกขอบบันไดไม่เจ็บให้รู้ไป ฉันคว้านายไม่ทันแต่ก็นายนั่นแหละดิ้นหนีเอง จนล้มลงไปกว่าจะพาเข้าห้องได้อ้วกใส่ฉันอีกจนเลอะเสื้อผ้าเต็มไปหมด เสื้อแบรนด์เนมตัวโปรดฉันต้องไปอยู่ในถังขยะก็เพราะนาย แถมฉันต้องมานั่งเช็ดอ้วกให้นายอีก ขอบคุณสักคำก็ไม่มีกว่าจะเช็ดตัวเปลี่ยนชุดให้ได้เหนื่อยจะตายห่า!” "มะ..หมายความว่า" “ดึกขนาดนั้นแล้วนายคิดว่าจะมีใครยังตื่นมารอรับพวกเราเหรอ ยังปลุกฉันมาฟังเรื่องบ้าๆ แต่เช้าอีกรู้แล้วก็รีบไสหัวออกไปซะจะนอน” ซ่งเหว่ยหนานด่าออกไปยาวเหยียดอย่างรำคาญใจ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองจนมิดแล้วนอนต่อ ขณะที่ซ่งเทียนเหิงที่ได้ฟังเรื่องราวเมื่อประมวลผลดูสักพักจึงค่อยๆ คิดถึงเรื่องเมื่อคืนได้ สุดท้ายแล้วจึงพบว่าตนเองคิดไปเองขนานใหญ่ คิดได้แบบนั้นก็รีบพาร่างกายอันร้าวระบมของตนเองออกจากห้องของซ่งเหว่ยหนานมาอย่างเหม่อลอย คนแบบซ่งเหว่ยหนานดูแลเขาดีแบบนี้เชียวเหรอ แต่เพราะยังแฮ้งค์และยังปวดเนื้อปวดตัวอยู่มากสุดท้ายซ่งเทียนเหิงจึงรีบกินยาแล้วนอนต่อเช่นกัน สองชั่วโมงต่อมาเป็นซ่งเทียนเหิงที่ตื่นขึ้นมาก่อน และเดินไปดูหน้าห้องพี่ชายด้วยความรู้สึกผิดอีกครั้งสุดท้ายก็ลงไปด้านล่างเพื่อชงเอสเปรสโซ่เข้มๆ ขึ้นมาให้พี่ชายพร้อมกับโจ๊กร้อนๆ หนึ่งถ้วยในมือ ก่อนที่จะแอบเปิดประตูเข้าไปในห้องของซ่งเหว่ยหนานเพราะจำได้ว่าเมื่อกี้เขาออกจากห้องพี่ชายมาไม่ได้ล็อกประตู ซ่งเทียนเหิงวางของพวกนั้นลงบนโต๊ะแล้วย่องออกไป ซ่งเหว่ยหนานตื่นขึ้นมาพักใหญ่แล้วแต่ยังขี้เกียจอยู่จึงไม่ได้ลุกขึ้นมาและเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายแอบย่องเข้ามาในห้องเขาจึงแกล้งหลับเพราะไม่รู้ว่าน้องชายตัวดีต้องการอะไรจากเขาอีก สุดท้ายเมื่ออีกฝ่ายออกไปแล้วกลิ่นกาแฟและโจ๊กที่ลอยคลุ้งห้องก็เรียกเขาให้ท้องร้องจนต้องลุกขึ้นมาดู “ใครใช้ให้นายเอาเข้ามากัน ห้องฉันเหม็นกลิ่นอาหารหมด สาระแนไม่เข้าเรื่องหึ” คนเป็นพี่ชายเอ่ยบ่นพลางหยิบกระดาษโน๊ตชิ้นเล็กๆ ขึ้นมาอ่าน ‘ขอโทษที่เข้าใจผิด อาหารนี่ถือว่าผมขอบคุณและชดใช้ให้แล้วกัน’ ซ่งเหว่ยหนานร้องหึในลำคออีกครั้งก่อนจะโยนเศษกระดาษนั้นลงขยะอย่างไม่แยแส แล้วจึงหยิบกาแฟตรงหน้าขึ้นมาซด ‘แค่ไม่อยากให้เสียของหรอกนะ’ หลังจากงานแถลงข่าวผ่านไป ซ่งเหว่ยหนานก็ได้ผลงานชิ้นใหญ่เป็นที่พอใจของบอร์ดบริหารประธานซ่งเห็นว่าเป็นจังหวะดีจึงประกาศกลางที่ประชุมยกตำแหน่งให้ลูกชายสืบทอดต่อเพื่อเกษียณตัวเองท่ามกลางความยินดีและตกใจเล็กน้อยของผู้ร่วมงาน รวมไปถึงซ่งเหว่ยหนานและซ่งเทียนเหิงที่ไม่ทราบมาก่อนว่าพ่อของตัวเองจะประกาศยกตำแหน่งให้กับพี่ชายสืบต่อเร็วแบบนี้ ซ่งเทียนเหิงแม้จะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างที่ไม่อาจสู้ซ่งเหว่ยหนานได้สุดท้ายตัวเองก็พลาดตำแหน่งประธานที่ต้องการมาตลอดไป แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของพ่อเพราะเห็นแล้วว่าพี่ชายตนเองคู่ควรกับตำแหน่งนี้ ที่ผ่านมาแม้เขาจะพยายามแข่งขันแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถสู้ซ่งเหว่ยหนานได้เมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ ซ่งเทียนเหิงจึงได้แต่ยอมรับและยินดีไปกับพี่ชายจอมเย็นชาที่แม้จะได้ตำแหน่งสืบทอดต่อเขากลับไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือแสดงท่าทางว่ายินดีให้ใครได้เห็น ซ่งเหว่ยหนานไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับเรื่องนี้เพราะคิดว่าเขาที่เป็นลูกชายคนโตและความสามารถที่ตนเองมีนั้นสมควรได้รับมันอยู่แล้ว เพราะหากพ่อกล้ายกตำแหน่งนี้ให้ลูกคนรองอย่างซ่งเทียนเหิงเขาคงไม่มีวันยอมเพราะบริษัทนี้เติบโตมาได้ถึงวันนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากทรัพย์สินของแม่ที่ทิ้งไว้ให้พ่อได้ทำทุนและตัวเขาเองที่ทุ่มเทเข้ามาช่วยบริหารอยู่หลายปีจนบริษัทเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม ซ่งเทียนเหิงได้เลื่อนขึ้นมาเป็นรองประธานแทนพี่ชาย หลังจากซ่งเหว่ยหนานขึ้นรับตำแหน่งประธาน ตอนนี้ซ่งเทียนเหิงกลับเริ่มรู้สึกเสียดายตำแหน่งประธานขึ้นมาเล็ก ๆ เสียแล้วเพราะเพิ่งรู้ความจริงว่าการเป็นรองประธานนั้นต้องรับผิดชอบงานมากมายกว่าประธานบริษัทอย่างพี่ชายเสียอีก เพราะประธานบริษัทมอบหมายงานส่วนมากมาให้เขา หนึ่งเดือนที่ผ่านมาหลังจากซ่งเหว่ยหนานปรับตัวได้แล้วและจัดการทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก็รู้ว่าเป็นประธานนี่ดียังไง เขาโอนงานที่ไม่จำเป็นต้องทำเองทุกเรื่องให้ซ่งเทียนเหิงจัดการแทนส่วนเขานั้นทำเพียงคอยควบคุมและตรวจสอบอยู่เบื้องหลัง และทำเฉพาะงานที่สำคัญจริง ๆ เท่านั้น ดังนั้นงานในตำแหน่งประธานทำให้เขาว่างกว่าสมัยที่เขาเป็นรองประธานอยู่มาก แม้จะยังต้องอ่านเอกสารหลายสิบหน้าต่อวันเหมือนเดิมแต่ก็ไม่ได้เหนือความสามารถที่มีของตนเอง ระยะเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันนับจากที่เกิดเหตุการณ์วันนั้นในใจเขากลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างติดค้างอยู่ ผู้หญิงคนนั้นทำให้เขาคิดถึงเธอมาเสมอแม้จะโกรธที่ถูกเธอหลอกและแบล็กเมลแต่กลับคิดถึงสัมผัสนุ่มนวลและกลิ่นกายอันหอมกรุ่นของเธอที่ยังคงตราตรึงอยู่ในความรู้สึกทุกวัน ซ่งเหว่ยหนานพยายามสลัดความคิดของตนเองทิ้งแต่ทุกครั้งที่เผลอใจลอยไม่รู้ตัวสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเธอคนนั้น “หงุดหงิดชะมัด” ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดดังนั้นท่านประธานคนใหม่จึงกดโทรศัพท์เรียกเลขาหน้าห้องคนสนิทให้เข้ามา “หยางไห่เข้ามาพบผมหน่อย” “ครับบอส” “คุณสืบหาร่องรอยผู้หญิงคนนั้นที่ผมให้ตามหาพบหรือยัง” แม้ท่าทางเขาจะไม่ได้แสดงอาการกระวนกระวายออกมาแต่จากน้ำเสียงที่ถามนั้นดูแล้วค่อนข้างจะหงุดหงิด หยางไห่ไม่กล้าชักช้าจึงรีบตอบไปตามที่ได้สืบเรื่องนี้มาเพราะรู้สึกว่าท่านประธานกำลังให้ความสำคัญต่อเธอดังนั้นหลายวันมานี้เขาจึงทุ่มเทตามหาเธอจนพบ “ครับ เธออาศัยอยู่นอกเมืองคนเดียวครับ ทำงานเป็นพนักงานในร้านขายดอกไม้ร้านหนึ่งแถวชานเมือง” “แล้วรออะไรอยู่ล่ะ” “ครับ” “รู้ว่าเธอเป็นใครอยู่ที่ไหนแล้วก็เอาตัวมาให้ผมสิ พาไปคฤหาสน์นอกเมืองที่ผมเพิ่งสร้างไว้ซะ” “แต่บอสครับจะดีเหรอครับแบบนี้มันผิดกฎหมายนะครับ นั่นมันเท่ากับลักพาตัวเธอเลยนะ” “ไม่มีแต่สั่งคนของเราไปเอาตัวเธอมาคนแบบฉันไม่ยอมเสียเปรียบใครง่ายๆ หรอก เวลาหนึ่งเดือนสำหรับเธอมันมากพอแล้วที่จะได้อยู่อย่างสบาย” “ค..ครับ” หยางไห่รับคำอย่างเกรงๆ เพราะคิดว่าเรื่องนี้ดูจะใจร้ายไปสักหน่อยและผิดกฎหมาย แต่ด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลซ่งเรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้ซ่งเหว่ยหนานเดือดร้อนได้ง่ายๆ หลิวรุ่ยหลินกำลังเก็บร้านอย่างเหม่อลอยหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอทำงานทุกวันไม่เคยหยุดพักเพราะกลัวที่จะอยู่คนเดียวการอยู่คนเดียวสำหรับเธอมันเหงาเกินไปและรู้สึกไม่ค่อยชินนัก แม้ก่อนหน้านี้พ่อของเธอจะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแต่อย่างน้อยเธอก็ยังรู้ว่ามีเขาอยู่ในชีวิตไม่เหมือนกับตอนนี้ที่ต้องกลายเป็นตัวคนเดียวในโลก หลิวรุ่ยหลินเป็นคนเพื่อนน้อยเพราะเธอยากจนจึงไม่ค่อยมีใครอยากคบหา ทุกคนล้วนกลัวว่าเธอจะหยิบยืมเงินจากพวกเขา เพราะเรื่องที่พ่อของเธอป่วยก่อนหน้านี้ทำให้เธอพยายามหาเงินจนสุดท้ายต้องขอหยิบยืมคนอื่นไปทั่ว แน่นอนว่าทุกคนล้วนบ่ายหน้าหนีเธอด้วยความระอาใจ แม้ว่าเธอหยิบยืมแล้วจะนำมาใช้คืนตามสัญญาก็ตาม แต่เพราะฐานะที่ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่และต่างก็มีเหตุผลในการใช้เงิน ดังนั้นเธอจึงได้รับการช่วยเหลือแค่เพียงจากเจ้าของร้านที่สงสารและเห็นใจเธอเท่านั้น หลังจากเก็บร้านเสร็จเธอก็เดินอย่างเหม่อลอยไปในสวนสาธารณะที่เป็นทางผ่านเพื่อกลับบ้านเหมือนเช่นทุกวัน สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นที่ที่เธอมักจะมานั่งเล่น มาปิกนิกกับพ่อแม่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังพื้นหญ้าริมบึงน้ำกว้างใหญ่ท่ามกลางบรรยากาศที่ไร้แสงเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย ที่ตรงหน้านี้เคยเป็นบริเวณที่เธอและพ่อแม่เคยมานั่งเล่นด้วยกัน พลันภาพเก่าๆ เมื่อวันวานก็ลอยขึ้นมาในหัวราวมีชีวิต ภาพของสองสามีภรรยาที่รักใคร่กันอย่างมากและลูกสาวตัวน้อยที่นั่งเล่นหัวเราะชอบใจกับพ่อแม่อย่างมีความสุขปรากฎขึ้นตรงหน้าราวภาพฝัน เธอมองเห็นมันอย่างมีความสุขและเจ็บปวดเพราะความคิดถึง รอยยิ้มน้อย ๆ แย้มออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบลงมาด้วยความเหงาจับขั้วหัวใจ “พ่อขา แม่ขาหนูคิดถึงพ่อกับแม่จังเลย ฮึก... ทำไมทิ้งหนูไปกันหมดเลยคะ” หลิวรุ่ยหลินปล่อยให้น้ำตาไหลอาบลงมาทั้งอย่างนั้นมองไปเบื้องหน้าอย่างเหงาๆ ท่ามกลางความเงียบงันเพราะคนที่มาเที่ยวที่นี่ล้วนกลับกันไปจนหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ที่นี่จึงมีเหลือเพียงแต่เธอและแสงไฟจากเสาไฟฟ้าสาธารณะที่ให้แสงสว่างลางๆ โดยที่หลิวรุ่ยหลินนั้นไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยเลยว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าหมาย รถตู้คันใหญ่ขับมาด้านข้างเธอและเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีผู้ชายสองคนดึงเธอขึ้นรถและรีบปิดประตูบึ่งรถออกไป “กรี๊ด!! พวกคุณเป็นใครปล่อยฉันนะ คิดจะทำอะไร” เธอถามขึ้นด้วยความตกใจท่ามกลางสายตาของชายฉกรรจ์มากมายตรงหน้าที่ดูน่ากลัวเหลือเกิน TBC.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม