“พี่ติณณ์ไม่ได้ทำอะไรหนูแน่นะ” ฉันถามขึ้นอีกครั้งเพราะท่าทางของพี่ติณณ์มันดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
“ทำไมถามฉันแบบนี้” คนตรงหน้าพูดขึ้นซึ่งมันไม่ใช่แค่ท่าทางของเขาที่ไม่น่าไว้ใจแต่...
“ก็เป้ากางเกงพี่มันตุงอะ” ใช่ ! ตรงนั้นของเขามันตุงขึ้นมาจนสายตาของฉันต้องหันมองและทันทีเมื่อฉันพูดจบ เขาก็ก้มมองส่วนล่างของตัวเอง
“เหี้ยเอ้ย” พี่ติณณ์สบถขึ้นพร้อมกับสองมือกอบกุมเป้าของตัวเองไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องฉันไป
จะไม่ให้ฉันคิดได้ยังไงว่าท่าทางของเขาแปลกเพราะขนาดเป้าของเขามันยังตุงต่อหน้าฉันเลย
หากพูดถึงเรื่องกระเป๋า ฉันก็ไม่กล้าออกไปเอาเพราะฉันไม่มีหน้าที่จะเจอหน้าเขาด้วยซ้ำแต่ดันเป็นเขาที่เอาหน้ามาให้ฉันเห็น
“วันนี้บ่ายไปลองชุดแต่งงานเตรียมตัวไว้ ฉันจะมารับ” เสียงของพี่ติณณ์ดังเข้ามาจนฉันที่อยู่ในห้องได้ยิน
พูดไปฉันลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลยเพราะเอาแต่อายกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“โอเค” ฉันตอบกลับเพราะเดี๋ยวเขาจะว่าเอาได้ว่าฉันเป็นเด็กไม่มีมารยาท
“ฉันซื้อข้าวมาให้แล้ว หิวก็ค่อยออกมากิน” เสียงของพี่ติณณ์ดังเข้ามาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ฉันไม่ตอบอะไรกลับไปเพราะได้ยินเสียงประตูด้านนอกถูกเปิดออกไปแล้วและเขาก็คงออกไปแล้วเช่นกัน
ฉันจึงไม่รอช้าที่จะแต่งตัวดีๆและออกไปกินข้าวที่เขาซื้อไว้ให้และที่ฉันต้องแต่งตัวให้มันดีๆเพราะฉันกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนเป็นครั้งที่สองเพราะงั้นอะไรที่ระวังได้ ฉันก็จะระวัง
แน่นอนว่าอาหารบนโต๊ะมีอย่างเดียวคือข้าวผัด ฉันจึงไม่รอช้าที่จะกินเพราะฉันไม่ใช่คนกินยาก ขอแค่ไม่หนังไม่เผ็ดก็พอ
จวบจนเวลาผ่านไปพี่ติณณ์ก็โทรเข้ามา ฉันก็ได้แต่รีบลงไปด้านล่างของคอนโดเพราะกลัวว่าเขาจะรอนาน
“เธอใส่ชุดนี้” คนบนรถทักฉันขึ้นทันทีเมื่อฉันก้าวขาขึ้นมาบนรถ
“ชุดนี้แปลกตรงไหนคะ” ฉันถามกลับไปเพราะมันเป็นชุดที่ดูแล้วโอเคในระดับหนึ่งเพราะมันสะดวกสบายหากต้องเปลี่ยนและลองชุดแต่งงาน
“เธอควรแต่งตัวให้เหมือนคนโตที่เขาจะแต่งงานกัน แต่งเหมือนตอนไปคลับก็ได้” ฉันหันหน้าไปมองเขาทันที
ตอนนี้ฉันใส่เสื้อยืดกางเกงยีนขาสั้น ถ้าจะให้ฉันชุดเหมือนตอนไปคลับ ฉันว่าคงไม่ดีแน่ๆ
“แค่ไปลองชุด หนูก็ควรใส่ชุดสบายๆสิจะได้เปลี่ยนง่ายๆ” ฉันพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมหยิบโทรศัพท์มาเล่นเพราะไม่อยากสนใจอะไรคนข้างๆอีกแล้ว
“แบบนี้ก็เกินไปเหมือนฉันหลอกเด็กมาแต่งงานยังไงก็ไม่รู้” แน่นอนว่าฉันไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งที่พี่ติณณ์พูดมาเพราะทั้งหมดมันคือปัญหาของพี่ติณณ์ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน
“ไปเถอะค่ะ พูดไปหนูก็ไม่เปลี่ยน” ฉันพูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่พี่ติณณ์จะออกรถเพราะฉันคงไม่เสียเวลาขึ้นไปเปลี่ยนชุดแน่ๆ
แน่นอนหากถามว่าพี่ติณณ์แต่งตัวยังไงก็ต้องบอกว่าดีมาก ใส่สูทเต็มยศมาในมาดผู้บริหารระดับสูงและมันต่างกับฉันพอสมควร
แต่ใช่ว่าฉันจะสน
“สวัสดีค่ะ คุณติณณ์กับคุณไอรินที่นัดไว้ใช่ไหมคะ” พนักงานต้อนรับถามขึ้นทันทีเมื่อเราสองคนเปิดประตูเข้ามา
“ค่ะ” ฉันพูดขึ้นก่อนจะแยกตัวออกมาดูชุดแต่งงานอีกด้านของร้าน
“คุณไอรินสนใจแบบไหนเป็นพิเศษไหมคะ” พนักงานถามฉันขึ้น
แน่นอนว่าฉันไม่มีแบบในหัวหรอกเพราะมันไม่ใช่งานแต่งที่เกิดจากความรักแต่มันคือการบังคับ
“หนูไม่มีในหัวเลยค่ะ มีแนะนำไหมคะ” ฉันถามกลับไปแต่เท่าที่ดูมาทุกชุดที่แขวนอยู่ในราวก็สวยชวนสะดุดตาไปหมด
“ชุดนี้ไหมคะ งานใหม่ของร้านเราเลยพึ่งตัดเย็บเสร็จและที่สำคัญดูเหมาะกับคุณไอรินมากเลยนะคะ” พนักงานพูดขึ้นพร้อมชี้ไปยังชุดแต่งงานที่อยู่ในหุ่น
“หนูลองได้ไหมคะ” ฉันถามขึ้นอีกครั้งเพราะฉันเองก็สะดุดตากับชุดนี้เหมือนกัน
ยังไงแต่งงานก็แต่งครั้งเดียวอยู่แล้ว ฉันก็ควรเลือกชุดที่มันสวยๆและเหมาะกับฉันมากที่สุด
หลังจากที่ฉันลองชุด แน่นอนว่าฉันใส่ชุดแต่งงานชุดนี้ได้พอดีแต่มันติดอยู่นิดเดียวตรงที่ฉันเตี้ยเกินไปทำให้ชุดลากพื้นและกองรวมกันไปหมด
“คุณไอรินใส่ส้นสูงไหมคะ ถ้าใส่คงพอดีเลยค่ะ” พนักงานพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหยิบรองเท้าส้นสูงมาให้ฉัน ส่วนฉันที่เห็นแบบนั้นก็ไม่รอช้าที่จะสวมรองเท้าส้นสูงและกลับกลายเป็นว่ามันพอดีกับตัวของฉันไปหมด
“พอดีเลยค่ะ สวยมากเลยด้วยค่ะ”
“หนูก็ว่าแบบนั้น” ฉันตอบกลับไปพร้อมมองตัวเองในกระจก
ชุดนี้แทบจะไม่ต้องแก้อะไรแล้ว ทุกอย่างในชุดมันดูสวยไปหมดรวมถึงฉันด้วย
“ไปกันค่ะ ไปให้คุณติณณ์ดูกัน”
ฉันลงบันไดมาจากชั้นบนก็เห็นพี่ติณณ์ที่นั่งรออยู่แล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทักซิโด้สีดำ เขาดูหล่อจนฉันละสายตาไปไหนไม่ได้เลย
ส่วนพี่ติณณ์ที่นั่งอยู่ด้านล่างก็หันมองมาที่ฉันโดยไม่ละสายตาไปไหน
“เป็นยังไงบ้างคะคุณติณณ์ ชุดนี้ของคุณไอรินถูกใจไหมคะ” พนักงานสาวพูดขึ้นทันที
“คะ...ครับ” พี่ติณณ์ตอบกลับมาก่อนจะลุกตรงมาทางฉัน
“เป็นยังไงบ้างอะ” ฉันถามขึ้นเพราะสำหรับฉันมันสวยก็จริงแต่สำหรับคนที่มองเข้ามา ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง
“สวยมากเหมาะกับเธอ” ฉันยกยิ้มขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ติณณ์
“พี่ติณณ์อยู่ในชุดนี้ก็หล่อมากค่ะ” ฉันเองก็ไม่ลืมที่จะชมเขากลับเพราะพี่ติณณ์ที่อยู่ในชุดทักซิโด้หล่อมากจริงๆ
“ยืนคู่กันแล้วเหมาะมากเลยค่ะ คอนเฟิร์มเป็นชุดนี้เลยไหมคะ” พนักงานถามขึ้นอีกครั้ง
“ครับคอนเฟิร์มเลย” พี่ติณณ์ตอบกลับทันที
“ดีนะคะที่คุณไอรินชอบ ไม่งั้นคุณติณณ์เสียใจแย่เลยเพราะคุณติณณ์เป็นคนส่งแบบชุดแต่งงานให้กับทางร้าน” ทันทีเมื่อพนักงานพูดจบ ฉันก็หันไปมองคนตัวสูงที่ทำท่าทางไม่รู้เรื่องอะไร
“พี่ติณณ์เป็นคนส่งแบบให้ทางร้านหรอคะ” ฉันถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“ก็แต่งงานทั้งที” แน่นอนว่าคำตอบของพี่ติณณ์ไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นต่างกับฉันที่ตอนนี้รู้สึกแปลกๆ
“ที่จริงไม่เห็นต้องสั่งตัดแบบนี้เลย ชุดที่เขาตัดไว้ก็มี” ฉันพูดขึ้นอีกครั้งเพราะร้านนี้ก็ดูท่าแล้วราคาไม่ใช่เล่นๆ
“แต่งงานครั้งเดียวก็ควรทำให้ดีที่สุด ฉันดีใจที่เธอชอบชุดที่ฉันออกแบบ” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง
“แต่งงานครั้งเดียวก็จริงแต่เราแต่งเพราะโดนบังคับ อีกหน่อยก็ต้องเลิกกันไป ต่างคนต่างมีคนรัก มีโอกาสอาจจะได้แต่งครั้งที่สอง”
สำหรับฉันการแต่งงานครั้งที่สองไม่ได้อยู่ในหัวเลย หากถึงวันที่ฉันกับพี่ติณณ์ต้องหย่าและแยกออกจากกันจริงๆ ฉันก็คิดสภาพตัวเองไม่ถูกเหมือนกันเพราะการมากรุงเทพของฉันครั้งนี้ เขาแทบเป็นทุกอย่างให้กับฉัน
“ฉันไม่แต่งรอบสองหรอกเพราะถ้าครบสองปี ฉันจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม” คำว่าแบบเดิมของพี่ติณณ์ที่พูดออกมา ทำฉันต้องหันไปมองหน้าเขาทันที
“แบบเดิมคือแบบไหนคะ”
“แบบที่ไม่ต้องการใครเข้ามาในชีวิต” ฉันพยักหน้ารับเป็นคำตอบเพราะฉันก็พอรู้จากพี่โมจิ พี่น้ำขิงและพี่แพรมาอยู่บ้างว่าพี่ติณณ์ไม่เคยคิดอยากมีแฟนหรือมีใคร
“แต่ถ้าพี่ติณณ์จะแต่งอีกรอบ ถึงตอนนั้นอย่าลืมชวนหนูด้วยนะ”
“ฉันไม่แต่งหรอก” พี่ติณณ์ยังคงยืนยันคำเดิมแต่ฉันก็ไม่ปักใจเชื่อหรืออะไรเพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน
“เชื่อเถอะค่ะ สักวันพี่ติณณ์จะเจอคนที่พี่อยากแต่งงานด้วยและใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกันจริงๆ”
สำหรับฉันตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าอนาคตของฉันจะเป็นยังไงเพราะฉันอายุแค่สิบแปด เรื่องแบบนี้ของฉันมันคงอีกนานและห่างไกลพอสมควร แต่สำหรับพี่ติณณ์เขาเป็นผู้ชายที่กำลังเข้าสู่วัยทำงาน แน่นอนว่าสังคมที่เปลี่ยนไป เขาก็ต้องมีคนมากมายหลายตาเข้ามาอยู่แล้ว
“ถ้ามีจริงๆคนนั้นต้องเป็นเธอ”
“พี่ติณณ์ว่าอะไรนะคะ” ฉันถามขึ้นอีกครั้งเพราะฉันได้ยินไม่ชัดกับสิ่งที่เขาพูดแต่เขากลับเมินเฉยไม่พูดอะไรออกมาอีก
“นัดวันถ่ายพรีเวดดิ้งกันเลยไหมคะ” พนักงานถามขึ้นอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าประโยคที่พี่ติณณ์พูดออกมาเมื่อกี้ฉันไม่สามารถรู้ได้เพราะพี่ติณณ์ไม่พูดอะไรออกมา
“พี่ติณณ์ว่างวันไหนก็วันนั้นเลย หนูว่างทุกวัน” ฉันพูดขึ้นทันทีเพราะฉันอยู่ในช่วงปิดเทอม ต่างจากเขาที่ต้องทำงานทุกวัน
“ว่างทุกวัน เธออยากถ่ายวันไหนก็วันนั้น”
“พี่ติณณ์ทำงานจะว่างทุกวันได้ยังไง” เพราะคนทำงานจะให้ว่างทุกวันเป็นไปไม่ได้ คนเลือกวันควรเป็นเขาเพราะฉันไม่ใช่เด็กที่แยกแยะเรื่องแบบนี้ไม่ออก
“สำหรับเธอ ฉันว่างทุกวัน” ให้ตายสิ ทำไมเดี๋ยวนี้พี่ติณณ์เขามักจะพูดจาแปลกๆกับฉัน
เขาจะรู้ไหมว่าคำพูดแบบนี้ของเขา
ทำหัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะทุกที
“คุณไอรินหน้าแดงขนาดนี้ร้อนหรอคะ” พนักงานถามขึ้นทันที
“หนูร้อนนิดหน่อย” ฉันตอบกลับไป จริงๆฉันไม่ได้รู้สึกร้อนเลยด้วยซ้ำแต่ที่ฉันหน้าแดงมันคงเป็นเพราะคำพูดของพี่ติณณ์ที่พูดออกมา
“หึ” แน่นอนว่าฉันได้ยินเสียงหัวเราะของพี่ติณณ์ดังขึ้นมา
“สรุปนัดถ่ายพรีเวดดิ้งเป็นอาทิตย์หน้านะคะ”
“อาทิตย์หน้าค่ะ” ฉันตอบรับทันทีพร้อมกับเลือกเฟรมที่เราจะถ่าย
แน่นอนว่าเราจะถ่ายพรีเวดดิ้งกันห้าชุดกับห้าสถานที่และที่สำคัญทุกชุดทุกที่พี่ติณณ์ก็เป็นคนจัดการทั้งหมดและเหมือนว่าฉันมีหน้าที่แค่ลองชุดเท่านั้น
จริงๆฉันก็แอบคิดนะ เราสองคนแต่งงานกันเพราะการโดนบังคับแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงดูลงทุนและทุ่มเทขนาดนี้และมันก็ต่างกับฉันที่ไม่รู้อะไรเลย
“พี่ติณณ์เตรียมพร้อมดีจังกับเรื่องงานแต่ง” ฉันพูดขึ้นทันทีเมื่อเข้ามาอยู่ในรถ ยิ่งรู้ว่าชุดแต่งงานรวมถึงชุดพรีเวดดิ้งทั้งห้าชุดเป็นเขาคนเดียวที่จัดการ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าทำไมเขาถึงทุ่มเทขนาดนี้
“ห้าชุดนี่สั่งเร่งให้เสร็จภายในสองเดือนได้เลยหรอคะ” ฉันถามขึ้นอีกครั้งเพราะจวบจนวันนี้เวลาก็ผ่านมาสองเดือนกว่าแล้ว
“ถ้างานเร่งเงินก็ต้องหนัก” แน่นอนมันก็ต้องเป็นแบบนั้น คนทำชุดคงทำกันหัวหมุนเลยทีเดียวเพราะมันเวลาน้อยมาก
“แล้วคิดยังไงถึงจัดการเรื่องออกแบบชุดเองล่ะ” ฉันถามขึ้นเพราะคำถามนี้มันค้างคาอยู่ในใจฉันมาก คนไม่สนอะไรแบบเขาจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร
“ก็อย่างที่บอก งานแต่งมีครั้งเดียวจะให้น้อยหน้าใครไม่ได้”
“แต่เราไม่ได้รักกันจริงๆสักหน่อย แบบชุดก็เลือกเอาตามร้านมีก็ได้ ไม่เห็นต้องสั่งตัด”
“ฉันพอใจจะทำ เธอมีหน้าที่ใส่ก็แค่ใส่”
❤️
ไม่ชอบไม่ใช่สเปค
แต่ทำไมอิพี่เหมือนวางแผนทุกอย่างไว้แล้วล่ะคะ