มิกส์ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นด้วยอาการค่อนข้างจะมึนงงเล็กน้อย พอกวาดตามองรอบๆ ก็พบว่าตนนอนอยู่บนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นบ้านนายจ้าง
บอดี้การ์ดหนุ่มจับแก้มตัวเองพลางกับร้องโอดครวญในลำคออย่างเจ็บปวด เขาจำได้ว่าโดนดิสต่อยหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดไปทันที
‘นี่หมัดเขาหนักจนต่อยทะลุหมูเหล็กเลยเหรอเนี่ย? ’
ขณะที่คิดในใจ มือสองข้างก็จับประคองแก้มอย่างทะนุถนอม พอสัมผัสได้สักพักเขาก็รับรู้ได้ว่ามันปูดบวมอย่าวหนัก มิกส์ถอนหายใจอ่อน แบบนี้เขาต้องเจ็บไปอีกหลายวันแน่ๆ
‘ดีนะเนี่ยที่ไม่เสียโฉม’
รอดมาได้แบบเหลือเชื่อคงเพราะดีมีหมูเหล็กช่วยรับแรงกระแทกอยู่ ถ้าเป็นคนปกติรับรองว่าคงตายหยังเขียด เมื่อคิดได้แบบนั้นมิกส์ก็ถอนหายใจ
‘ก่อนหน้านี้ไม่ได้ต่อยแรงขนาดนี้หนิ หรือครั้งแรกออมมือให้เรา? ’
มิกส์เกิดความสงสัยแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ อย่างที่รู้กันคนที่พรสวรรค์ตื่นขึ้นจะมีพลังเท่าเดิมตั้งแต่เกิดไปจนตาย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ดิสจะมีพละกำลังมากขึ้น สิ่งเดียวที่เป็นไปได้คืออีกฝ่ายออมมือให้เขา แต่ก็ยังฟันธงอะไรไม่ได้
“ต้องลองถามดูให้ได้เลย… โอ้ย”
พอว่าจบมิกส์จึงยกมือขึ้นกุมแก้มตนเองอีกครั้งด้วยความเจ็บปวดทรมาน
ไม่นานนัก ในขณะที่บอดี้การ์ดกุมแก้มตัวเองด้วยความปวดร้าวและเจ็บใจ ดิสก็ค่อยๆ เดินเข้าในห้องนั่งเล่นพร้อมกับผ้าเย็น
ชายหนุ่มมองไปทางบอดี้การ์ดตน พร้อมเดินไปหยุดตรงหน้า “ตื่นนานแล้วเหรอครับ?”
มิกส์หันไปมองนายจ้างเล็กน้อย
“ตื่นเมื่อกี้เลย”
เมื่อดิสได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะเดินเอาผ้าเย็นวางบนโต๊ะตรงหน้าอีกฝ่าย
“เอาไว้ประคบรอยช้ำนะครับ”
เมื่อมิกส์เห็นแบบนั้นก็หยิบผ้าตรงหน้ามาประคบแผลปูดบวม ก่อนจะร้องโอดโอยเบาๆ
อูยย…
ดิสทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ บอดี้การ์ดของเขา พร้อมกับหันไปมองอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย
“ไปโรงพยาบาลมั้ย?”
มิกส์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับปัดมือไปมา
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย อูยย….”
เมื่อกล่าวจบมิกส์ก็ไม่รอช้า ถามดิสเข้าประเด็นที่ค้างคาทันที “คุณออมมือให้ผมมาตลอดเลยใช่มั้ย?”
เมื่อดิสได้ยินแบบนั้น ก็ทำความเข้าใจกับคำถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะร้องอ๋อออกมา
‘เขาจับสังเกตได้ถึงพละกำลังที่มากขึ้นของเราสินะ’
ดิสเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมมิกส์ถึงตีความการพัฒนาของตนไปในทิศทางนั้น อีกฝ่ายไม่รู้ว่าตนนั้นสามารถเพิ่มระดับความสามารถไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด จึงตีความไปว่าตนออมมือให้
เพื่อเก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับ เขาควรจะหาข้ออ้างให้ได้ ไม่ก็ตามน้ำอีกฝ่ายไป
ดิสนิ่งคิดหาคำตอบ ทำให้มิกส์ที่นั่งรอฟังอีกฝ่ายขมวดคิ้วมอง “คุณคิดอะไรเยอะแยะ แค่ตอบผมมาว่าออมมือรึเปล่าแค่นั้น ผมรับได้น่า”
ระหว่างที่ถูกอีกฝ่ายคะยั้นคะยอให้ตอบคำถามนั้น ดิสก็คิดหาทางออกได้
“จริงๆ ผมก็ออมมือให้นะ แต่ไม่ทั้งหมดหรอก ผมมีพละกำลังที่เยอะกว่าคุณมากคุณก็รู้ ทักษะที่คุณสอนมีไว้เพื่ออุดรอยรั่วที่เหลือไง คุณคงจะไม่อยากสอนคนที่วางท่าว่าเก่งกว่าหรอกใช่มั้ยล่ะ”
“ผมทำแบบนี้เพราะให้เกียรติคุณในฐานะอาจารย์”
เมื่อมิกส์ได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้วสูงทันที “เอาจริงดิ… โคตรเนียน”
ในมุมมองของมิกส์นั้น เขาเชื่อในคำพูดของอีกฝ่ายแค่ครึ่งๆ เพราะตลอดเวลาที่เขาสอนอีกฝ่าย มิกส์ดูออก ดิสเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้น้อย การที่เขาจะปกปิดความสามารถได้แนบเนียนแบบนั้นเป็นไปได้ยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ก็ไม่มีคำตอบไหนมาอธิบายความสงสัยได้เลย นอกจากอีกฝ่ายจะออมมือให้แบบที่เขาคิดในตอนแรก
มิกส์ถอนหายใจ ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายที่ยิ้มให้พร้อมกับประคบรอยฟกช้ำด้วยผ้าเย็นเบาๆ
“ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ยังดีนะที่ให้เกียรติผม” มิกส์ว่าเสร็จก็ร้องอูยออกมาเบาๆ ก่อนจะกล่าว “ถึงจะไม่ค่อยชอยแต่ก็ขอบใจครับ”
ดิสที่เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีก็พยักหน้ารับคำขอบคุณ
“ตอนนี้ก็ถือว่าคุณเรียนจบแล้วนะครับ ยินดีด้วย”
มิกส์ว่าก่อนจะยื่นมือมาทางเขา ดิสที่เห็นแบบนั้นก็ยื่นมมือไปจับตอบ
ตอนนี้ทั้งการต่อสู้ของมิกส์ การปรับบุคลิคของยานเกราะ ดิสได้จบการเตรียมตัวฉบับเร่งรัดจนหมดแล้ว การเรียนการสอนเสร็จสิ้นในวันนี้ หลังจากนี้เขาต้องเผชิญโลกแห่งพรานทมิฬ เริ่มสั่งสมประสบการณ์และเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเขาเอง…..
[21:47 น.]
ณ มหาลัย ‘DFGK’ ยามราตรี (มหาลัยที่ดิสเรียนอยู่)
เสียงจั๊กจั่นร้องเรไร มันทำให้สถานที่นี้ตอนกลางคืนไม่สงัดเกินไปนัก ทั้งเสียงกบร้องหรือเสียงแมลงหากินกลางคืน มันปลุกให้ยามทั้งสองที่เฝ้าดันเจี้ยนหลังมหาวิทยาลัยไม่หลับไประหว่างทำหน้าที่
รปภ.วัยกลางคน เดินวนไปมาหน้าดันเจี้ยนขนาดใหญ่นี้ พวกเขามีหน้าที่ในการปกป้องปากทางเข้าในทุกๆ คืน
นี่เป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก หากใครสักคนมาพลาดเปิดมันเข้าล่ะก็… นั่นหมายถึงชีวิตของคนในระแวกนี้ทั้งหมดจะเสี่ยงภัยทันที เพราะระดับของมันอยู่ในขั้นอันตราย ซึ่งนี่คือดันเจี้ยนแรงค์ A
พนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองทำตามหน้าที่ตนจนชิน โดยไม่รู้เลยว่าวันนี้ภัยอันตรายได้เมาเยือนพร้อมพรากชีพพวกเขาแล้ว
เสียงปีกกระพรือดังกลางอากาศ วิหคสีชาติบินโฉบลงมาด้านล่างคว้าศีรษะของยามคนหนึ่งจนขาดไป ก่อนอีกคนจะกะพริบตา
เฮ้ยยยย!
ปั้งง!
เสียงร้องตกใจของยามอีกคนดังขึ้นก่อนที่จะลั่นไกลยิงสิ่งที่โบยบินอยู่กลางเวหา
สิ่งนั้นบินค้างอยู่กลางอากาศ มองมายังเหยื่อบนพื้นดินที่เล็งปืนลูกโม่ในมือมาอย่างสั่นกลัว
เมื่อไฟฉายส่องกระทบสิ่งที่อยู่เหนือหัว ยามคนนั้นก็ชะงักไปก่อนจะลดปืนลง เขายอมจำนนแต่โดยดี เพราะรู้ว่าต่อสู้ขัดขืนไปยังไงก็ไม่เป็นผล
เสียงกระซิกดังมาจากลำคอเขา… ก่อนจะกล่าวรำพันเบาๆ
“พญาครุฑ….”
อั่กกกก!
สิ้นเสียงไม่ทันขาดคำ ครุฑากลางเวหาก็ถลาลมเข้ามาฟาดหลังมือสุดแรงจนร่างยามคนนั้นลอยหายไปลับตาในความมืด
พญาครุฑขนสีแดงในชุดเกราะ ค่อยๆ หุบปีกลงหลังแสดงฤทธานุภาพของตนเสร็จ ร่างสูงตระหง่านสะบัดมือที่เลอะเลือดเล็กน้อย แววตานั้นดูไม่ได้ยินดียินร้ายต่อเหยื่อทั้งสองเลย เหมือนว่ามันจะมองผู้คนทั้งสองไม่ต่างจากเห็บหมัดหรือแมลง
มันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าดันเจี้ยน ก่อนจะเอื้อมมือผลักเปิดประตูขนาดใหญ่ออกโดยใช้แรงเพียงน้อยนิดเท่านั้น
จากอุโมงค์ทางเข้านั้นมองไม่เห็นอะไรจากความมืด แต่ไม่นานหลังจากดันเจี้ยนเปิดออก เสียงระนาด กลอง ขลุ่ย ฉิ่ง ก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ
พญาครุฑยืนนิ่งไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาแต่อย่างใด
“ออกมาเสียเถิดสหายข้า บัดนี้เจ้าเป็นอิสระแล้ว”
To be continued →