จบการศึกษา

1339 คำ
มิกส์ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นด้วยอาการค่อนข้างจะมึนงงเล็กน้อย พอกวาดตามองรอบๆ ก็พบว่าตนนอนอยู่บนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นบ้านนายจ้าง บอดี้การ์ดหนุ่มจับแก้มตัวเองพลางกับร้องโอดครวญในลำคออย่างเจ็บปวด เขาจำได้ว่าโดนดิสต่อยหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดไปทันที ‘นี่หมัดเขาหนักจนต่อยทะลุหมูเหล็กเลยเหรอเนี่ย? ’ ขณะที่คิดในใจ มือสองข้างก็จับประคองแก้มอย่างทะนุถนอม พอสัมผัสได้สักพักเขาก็รับรู้ได้ว่ามันปูดบวมอย่าวหนัก มิกส์ถอนหายใจอ่อน แบบนี้เขาต้องเจ็บไปอีกหลายวันแน่ๆ ‘ดีนะเนี่ยที่ไม่เสียโฉม’ รอดมาได้แบบเหลือเชื่อคงเพราะดีมีหมูเหล็กช่วยรับแรงกระแทกอยู่ ถ้าเป็นคนปกติรับรองว่าคงตายหยังเขียด เมื่อคิดได้แบบนั้นมิกส์ก็ถอนหายใจ ‘ก่อนหน้านี้ไม่ได้ต่อยแรงขนาดนี้หนิ หรือครั้งแรกออมมือให้เรา? ’ มิกส์เกิดความสงสัยแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ อย่างที่รู้กันคนที่พรสวรรค์ตื่นขึ้นจะมีพลังเท่าเดิมตั้งแต่เกิดไปจนตาย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ดิสจะมีพละกำลังมากขึ้น สิ่งเดียวที่เป็นไปได้คืออีกฝ่ายออมมือให้เขา แต่ก็ยังฟันธงอะไรไม่ได้ “ต้องลองถามดูให้ได้เลย… โอ้ย” พอว่าจบมิกส์จึงยกมือขึ้นกุมแก้มตนเองอีกครั้งด้วยความเจ็บปวดทรมาน ไม่นานนัก ในขณะที่บอดี้การ์ดกุมแก้มตัวเองด้วยความปวดร้าวและเจ็บใจ ดิสก็ค่อยๆ เดินเข้าในห้องนั่งเล่นพร้อมกับผ้าเย็น ชายหนุ่มมองไปทางบอดี้การ์ดตน พร้อมเดินไปหยุดตรงหน้า “ตื่นนานแล้วเหรอครับ?” มิกส์หันไปมองนายจ้างเล็กน้อย “ตื่นเมื่อกี้เลย” เมื่อดิสได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะเดินเอาผ้าเย็นวางบนโต๊ะตรงหน้าอีกฝ่าย “เอาไว้ประคบรอยช้ำนะครับ” เมื่อมิกส์เห็นแบบนั้นก็หยิบผ้าตรงหน้ามาประคบแผลปูดบวม ก่อนจะร้องโอดโอยเบาๆ อูยย… ดิสทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ บอดี้การ์ดของเขา พร้อมกับหันไปมองอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย “ไปโรงพยาบาลมั้ย?” มิกส์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับปัดมือไปมา “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย อูยย….” เมื่อกล่าวจบมิกส์ก็ไม่รอช้า ถามดิสเข้าประเด็นที่ค้างคาทันที “คุณออมมือให้ผมมาตลอดเลยใช่มั้ย?” เมื่อดิสได้ยินแบบนั้น ก็ทำความเข้าใจกับคำถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะร้องอ๋อออกมา ‘เขาจับสังเกตได้ถึงพละกำลังที่มากขึ้นของเราสินะ’ ดิสเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมมิกส์ถึงตีความการพัฒนาของตนไปในทิศทางนั้น อีกฝ่ายไม่รู้ว่าตนนั้นสามารถเพิ่มระดับความสามารถไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด จึงตีความไปว่าตนออมมือให้ เพื่อเก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับ เขาควรจะหาข้ออ้างให้ได้ ไม่ก็ตามน้ำอีกฝ่ายไป ดิสนิ่งคิดหาคำตอบ ทำให้มิกส์ที่นั่งรอฟังอีกฝ่ายขมวดคิ้วมอง “คุณคิดอะไรเยอะแยะ แค่ตอบผมมาว่าออมมือรึเปล่าแค่นั้น ผมรับได้น่า” ระหว่างที่ถูกอีกฝ่ายคะยั้นคะยอให้ตอบคำถามนั้น ดิสก็คิดหาทางออกได้ “จริงๆ ผมก็ออมมือให้นะ แต่ไม่ทั้งหมดหรอก ผมมีพละกำลังที่เยอะกว่าคุณมากคุณก็รู้ ทักษะที่คุณสอนมีไว้เพื่ออุดรอยรั่วที่เหลือไง คุณคงจะไม่อยากสอนคนที่วางท่าว่าเก่งกว่าหรอกใช่มั้ยล่ะ” “ผมทำแบบนี้เพราะให้เกียรติคุณในฐานะอาจารย์” เมื่อมิกส์ได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้วสูงทันที “เอาจริงดิ… โคตรเนียน” ในมุมมองของมิกส์นั้น เขาเชื่อในคำพูดของอีกฝ่ายแค่ครึ่งๆ เพราะตลอดเวลาที่เขาสอนอีกฝ่าย มิกส์ดูออก ดิสเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้น้อย การที่เขาจะปกปิดความสามารถได้แนบเนียนแบบนั้นเป็นไปได้ยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ก็ไม่มีคำตอบไหนมาอธิบายความสงสัยได้เลย นอกจากอีกฝ่ายจะออมมือให้แบบที่เขาคิดในตอนแรก มิกส์ถอนหายใจ ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายที่ยิ้มให้พร้อมกับประคบรอยฟกช้ำด้วยผ้าเย็นเบาๆ “ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ยังดีนะที่ให้เกียรติผม” มิกส์ว่าเสร็จก็ร้องอูยออกมาเบาๆ ก่อนจะกล่าว “ถึงจะไม่ค่อยชอยแต่ก็ขอบใจครับ” ดิสที่เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีก็พยักหน้ารับคำขอบคุณ “ตอนนี้ก็ถือว่าคุณเรียนจบแล้วนะครับ ยินดีด้วย” มิกส์ว่าก่อนจะยื่นมือมาทางเขา ดิสที่เห็นแบบนั้นก็ยื่นมมือไปจับตอบ ตอนนี้ทั้งการต่อสู้ของมิกส์ การปรับบุคลิคของยานเกราะ ดิสได้จบการเตรียมตัวฉบับเร่งรัดจนหมดแล้ว การเรียนการสอนเสร็จสิ้นในวันนี้ หลังจากนี้เขาต้องเผชิญโลกแห่งพรานทมิฬ เริ่มสั่งสมประสบการณ์และเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเขาเอง….. [21:47 น.] ณ มหาลัย ‘DFGK’ ยามราตรี (มหาลัยที่ดิสเรียนอยู่) เสียงจั๊กจั่นร้องเรไร มันทำให้สถานที่นี้ตอนกลางคืนไม่สงัดเกินไปนัก ทั้งเสียงกบร้องหรือเสียงแมลงหากินกลางคืน มันปลุกให้ยามทั้งสองที่เฝ้าดันเจี้ยนหลังมหาวิทยาลัยไม่หลับไประหว่างทำหน้าที่ รปภ.วัยกลางคน เดินวนไปมาหน้าดันเจี้ยนขนาดใหญ่นี้ พวกเขามีหน้าที่ในการปกป้องปากทางเข้าในทุกๆ คืน นี่เป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก หากใครสักคนมาพลาดเปิดมันเข้าล่ะก็… นั่นหมายถึงชีวิตของคนในระแวกนี้ทั้งหมดจะเสี่ยงภัยทันที เพราะระดับของมันอยู่ในขั้นอันตราย ซึ่งนี่คือดันเจี้ยนแรงค์ A พนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองทำตามหน้าที่ตนจนชิน โดยไม่รู้เลยว่าวันนี้ภัยอันตรายได้เมาเยือนพร้อมพรากชีพพวกเขาแล้ว เสียงปีกกระพรือดังกลางอากาศ วิหคสีชาติบินโฉบลงมาด้านล่างคว้าศีรษะของยามคนหนึ่งจนขาดไป ก่อนอีกคนจะกะพริบตา เฮ้ยยยย! ปั้งง! เสียงร้องตกใจของยามอีกคนดังขึ้นก่อนที่จะลั่นไกลยิงสิ่งที่โบยบินอยู่กลางเวหา สิ่งนั้นบินค้างอยู่กลางอากาศ มองมายังเหยื่อบนพื้นดินที่เล็งปืนลูกโม่ในมือมาอย่างสั่นกลัว เมื่อไฟฉายส่องกระทบสิ่งที่อยู่เหนือหัว ยามคนนั้นก็ชะงักไปก่อนจะลดปืนลง เขายอมจำนนแต่โดยดี เพราะรู้ว่าต่อสู้ขัดขืนไปยังไงก็ไม่เป็นผล เสียงกระซิกดังมาจากลำคอเขา… ก่อนจะกล่าวรำพันเบาๆ “พญาครุฑ….” อั่กกกก! สิ้นเสียงไม่ทันขาดคำ ครุฑากลางเวหาก็ถลาลมเข้ามาฟาดหลังมือสุดแรงจนร่างยามคนนั้นลอยหายไปลับตาในความมืด พญาครุฑขนสีแดงในชุดเกราะ ค่อยๆ หุบปีกลงหลังแสดงฤทธานุภาพของตนเสร็จ ร่างสูงตระหง่านสะบัดมือที่เลอะเลือดเล็กน้อย แววตานั้นดูไม่ได้ยินดียินร้ายต่อเหยื่อทั้งสองเลย เหมือนว่ามันจะมองผู้คนทั้งสองไม่ต่างจากเห็บหมัดหรือแมลง มันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าดันเจี้ยน ก่อนจะเอื้อมมือผลักเปิดประตูขนาดใหญ่ออกโดยใช้แรงเพียงน้อยนิดเท่านั้น จากอุโมงค์ทางเข้านั้นมองไม่เห็นอะไรจากความมืด แต่ไม่นานหลังจากดันเจี้ยนเปิดออก เสียงระนาด กลอง ขลุ่ย ฉิ่ง ก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ พญาครุฑยืนนิ่งไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาแต่อย่างใด “ออกมาเสียเถิดสหายข้า บัดนี้เจ้าเป็นอิสระแล้ว” To be continued →
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม