ทางชีวิต
โลกใบนี้อากาศคือสิ่งสำคัญ ซึ่งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจำเป็นต้องใช้ สรรพสิ่งจึงเวียนว่ายตายเกิดเฉกเช่นมนุษย์ แล้วจะทำตัวไร้ค่าหรืออยู่สร้างภาระให้คนอื่น นั้นคือคนที่มีสติและสามัญนึกเท่านั้นที่จะต่อยอดให้กับลมหายใจที่ใช้!
ถนนใหญ่สายหลักห่างไกลหมู่บ้าน
ตะวันตกดินไปแล้วหลายชั่วโมง แต่บนถนนซึ่งมีเนินดินทับถมจนมีขนาดสูงต่ำลดหลั่นกันไปตลอดแนวทางหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งมีรถวิ่งผ่านนานๆ ครั้ง
“มึงแน่ใจนะว่าไอ้ลูกสาวมานพมันจะใช้เส้นทางนี้แน่” น้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกถึงความร้อนรนในเงามืด เพราะเวลาที่ล่วงเลยมาหลายชั่วโมง แต่ยังไร้วี่แววสิ่งที่รอคอย
ในมุมมืด ทำให้บุคคลที่พยายามเพ่งมองไปบนถนนอย่างใจจดจ่อ ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันมาตอบ
“แน่ใจครับ”
คำตอบที่ได้ยังค้างคาจึงถามย้ำ “มึงแน่ใจได้ไง”
“ไอ้ภูมันไปหาข้อมูลมาชัดเจนแน่ครับ” คำยืนยันย้ำชัดกว่าเก่า คนฟังชักสีหน้าไม่ไว้ใจอยู่ดี
“แล้วนี่มันไปไหนทำไมยังไม่โผล่หน้ามาอีก”
“มันเอารถอีกคันมาครับ”
“ทำให้ยุ่งยากทำไมวะ”
“ก็มาคันเดียวกัน แล้วใครจะเป็นคนยืนยันว่าแม่คุณหนูนั่นจะมาทางนี่เล่า” อีกเสียงที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นเพื่อตัดความรำคาญ กับความระแวงของเพื่อนร่วมทีมที่มีจนออกนอกหน้า
“เออออกับมันไปเถอะ ” คนทำงานร่วมกันมานานหันไป เอ่ยแดกดันใส่หน้า แล้วขยับไปนั่งอยู่ใกล้เนินอีกฟาก ด้วยสีหน้าขุ่น
“ถึงมันจะเพิ่งมาร่วมงานกับเรา ส่วนฝีมือหากเจ้านายการันตีมาแล้วใครจะค้านได้ อีกอย่างตอนฝึกทุกคนก็เห็น ว่าฝีมืออย่างไอ้ภูไม่ใช่ขี้หมูขี้หมา”
คำพูดสับทับยิ่งทำให้อีกคนชักสีหน้าขบกรามแน่นด้วยความขัดเคือง เพราะรู้ว่าวงการนี้ คนมีฝีมือดีเท่านั้นที่จะถูกเชิดชูให้อยู่เคียงคู่กับผู้เป็นนาย
“ระวังจะกลายเป็นหมาหัวเน่ากันหมด” เสียงเครียดตึงยังเอ่ยต่อ
“ถ้ายังคิดอยู่แบบนี้ ใจมึงนั้นแหละจะอยู่ไม่สุข” คนที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนเพราะเพียงแค่ทำหน้าที่ที่รับมอบหมายมาให้เสร็จตอบสวน
“ก็ไม่สุขกันหมดนั้นแหละ”
ความอิจฉาสุมจนร้อน เมื่อนึกถึงไม่ยอมลงให้เด็กใหม่ที่เก่งข้ามหน้าข้ามตากว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ จนได้รับไว้วางใจให้ทำงานใหญ่ร่วมกับพวกตน
ทินขยับลุกขึ้นแล้วเดินวนไปมา บ่งบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตัวเอง
“ทำงานร่วมกันเป็นทีม หากทำสำเร็จมันก็ได้ความชอบเหมือนกัน ตอนนี้ฉันว่านายควรมีสมาธิกับงานนี้ ดีกว่ามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องขี้หมูขี้หมา ส่วนไอ้ภู ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะทำตัวเด่นอะไร ดีเสียอีกที่มันกล้าทำแบบนั้น ส่วนเราก็แค่นั่งรอฟังมันรายงาน แล้วทำงานนี้ให้สำเร็จจะได้จบ ๆไป”
เสียงนั้นยังคงเอ่ยถึงอีกคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ อย่างเป็นมิตร โดยมีความเชื่อใจ ว่าเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาร่วมงานใหญ่กับพวกตนจะไม่ทำงานพลาดแน่นอน…
“คุณหนูจะไม่บอกคุณท่านจริง ๆ หรือครับ” สีหน้าเป็นเป็นห่วงเหลือบมองหน้าคุณหนูที่อยู่ดูแลมาตั้งแต่เด็ก แล้วหันกลับไปมองเส้นทาง
“ลุงก็รู้ว่าคุณพ่อต้องห้าม ทั้งที่ไม่ได้สนใจว่าหนูจะอยู่ยังไง จะมีใครตามทำร้ายหรือเปล่า ทั้งที่รู้ว่าตัวเองมีศัตรูเยอะ ก็ไม่ยอมวางมือ ที่สำคัญไม่สนใจหนูด้วย” น้ำเสียงตัดพ้อ แววตาปวดช้ำยามเอ่ยถึงผู้เป็นพ่อ
นัยน์ตาที่เคยกระจ่างใสวูบแสงลง เหม่อมองผ่านเงามืด จับจ้องไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมีกลุ่มดาวเรืองแสงให้เห็น
แม้มีเงินกองอยู่ตรงหน้าแต่ความอบอุ่นและอ้อมกอดเพียงหนึ่งเดียวที่ต้องการ คนเป็นพ่อก็ยังไม่มีให้ เธอจึงตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มอาสาโดยเลือกไปเป็นครูสอนเด็กในหมูบ้านที่ห่างไกลความเจริญ และปกปิดสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่กับทุกคน ซึ่งมีเพียงเพื่อนสนิทที่รู้ ซึ่งก็กำชับให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ และตัดสินใจให้ลุงแทนติดตามไปในครั้งนี้ด้วย เพราะกันไม่ให้คนของพ่อเค้นหาความจริงจากคนใกล้ตัวได้ นั่นหมายถึงเธอต้องปกป้องลุงแทนจากความไม่ปลอดภัยจากพ่อผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือเสมอ…
“แล้วนี่ ไปถึงอย่าไล่ลุงกลับนะครับ เพราะลุงไม่กลับแน่” ลุงแทนวัยห้าสิบห้าปี ซึ่งอยู่รับใช้คุณหนูอย่างภัคดีมาโดยตลอดเอ่ยดัก
ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มนัยน์ตาเศร้าเหงาแปลเปลี่ยน ฉายแววขี้เล่นขึ้น “หากใครถามบอกว่าเป็นพ่อหนูนะคะ”
สายตาที่มองหากทางอย่างใจจดจ่อตวัดมองพร้อมกับอ้าปากค้าง แต่ก็ต้องรีบหันกลับไปมองเส้นทาง แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ “เอางั้นเลยหรือครับ”
“ใช่ จะได้ไม่ต้องตอบคำถามใครต่อใครให้มากความ”
“แล้วใครจะเชื่อครับ” ก้มมองดูตัวเองขนาดสีผิวยังบ่งชัด แล้วส่ายหน้ากับความคิดน่าเอ็นดูของคุณหนู ที่แม้ว่าจะโตขึ้นเท่าไหร่แต่ก็ยังเป็นเด็กน้อยในสายตาลุงแทนเสมอ
“แหม้…” เสียงหวานลากยาน หันมาแหย่ “ลุงแทนก็รุ่นเดียวกับพ่อหนูนี่คะ อีกอย่างลุงแทนทำหน้าที่ผู้ปกครองมาตั้งแต่หนูอยู่โรงเรียน ตอนนี้หนูเรียนจบแล้ว ก็เป็นผู้ปกครองหนูไปเถอะ นะนะ” แล้วทำสายตาออดอ้อนจนคนสูงวัยใจอ่อน
…ไม่ว่าจะประชุมผู้ปกครองวันพ่อหรือวันแม่ ลุงแทนก็ทำมาตลอด ไม่เคยปริปากบน ที่สำคัญเธอไม่เคยอายใครที่มีคนขับรถเป็นผู้ปกครอง มิหนำซ้ำยังกล้าบอกเพื่อน ๆว่าเป็นผู้ปกครองที่เธอเคารพรักที่สุด
รถเก๋งประจำตัวลูกสาวนักธุรกิจสีเทา ซึ่งฉากหน้าเป็นนักธุรกิจใจบุญ ชอบบริจาคเงินให้กับเด็กกำพร้าและสถานสงเคราะห์หลายแห่ง ยังคงวิ่งไปตามความเร็วบนถนนสายหลักมุงตรงไปยังจุดหมายปลายทาง ระหว่างนั้นไฟส่องสองข้างทางเริ่มมืดลงเพราะพ้นเขตชุมชน จึงมีเพียงแสงไฟหน้ารถส่องนำทาง
“ลุงแทนคะ ลุงแทนเห็นเหมือนหนูเห็นไหมคะ”
เมื่อตลอดทางมีแต่ความมืด ญารินจึงสังเกตุว่ารถคันที่ขับจ่อท้ายมานานยังไม่มีทีท่าจะแซงนำ ทั้งที่เส้นทางก็สะดวกโล่ง ไร้รถวิ่งสวน
“ครับ” ลุงแทนเองก็สังเกตมาสักพักแต่ไม่คิดว่าคุณหนูของตัวเองก็สังเกตได้เช่นเดียวกัน
“รู้สึกว่าเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วรถคันนั้นยังไม่แซงไปเลย”
“ครับ คุณหนูนั่งดี ๆนะครับ หากมีอะไรเกิดขึ้นก้มหมอบเอาไว้” รับรู้ความไม่ชอบมาพากล แล้วเร่งเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว เพื่อให้พ้นเส้นทางนี้ให้ไวที่สุด
“ลุงข้างหน้าระวัง กรี๊ดดด!...”
โครม!!