ดิฐา กำเนิดกุล หรือดี วัย 36 ปี ลูกชายคนเล็กของตระกูลเก่าแก่กำเนิดกุล ที่มีชื่อเสียงพอสมควรในแวดวงสังคม ร่างสูงใหญ่สมส่วนในชุดสูทสากลที่คนทั่วไปแต่งกัน แต่มันแตกต่างตรงที่ชุดมันสวมใส่อยู่บนตัวของนายดิฐา กำเนิดกุล เพราะไม่ว่าชุดนั้นจะราคาถูกหรือแพง ถ้ามาอยู่บนตัวของผู้ชายคนนี้ก็มีมูลค่าทั้งนั้น และแน่นอนว่าระดับนักธุรกิจหนุ่มทายาทอันดับสามของตระกูลอย่างนายดิฐา ทุกอย่างบนร่างกายแพงแน่นอน โดยเฉพาะเขาที่ได้รับช่วงธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวยิ่งทำให้เขาต้องดูดีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน เขาต้องเพอร์เฟค ใบหน้ายิ้มแย้ม คำพูดสุภาพนั้นมีด้านมืดแอบแฝงเร้นกายภายใต้ความเพอร์เฟค และไม่มีใครรู้จักตัวเขาดีไปมากกว่าตัวเขา
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด!
มุมปากหนาหยักยิ้มมองดูชื่อที่โชว์หน้าจอโทรศัพท์ราคาแพงทันสมัยของตนเอง ก่อนจะกดรับสายแล้วกรอกเสียงทุ้มเข้มดุดันส่งไปในสาย
“ว่าไง?” เขาส่งเสียงกรอกไปในสายพร้อมกับนิ่งเงียบฟังคนในสายพูดจนจบ ก่อนจะตอบโต้กลับไปสั้นๆ อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
อืม!
แล้วเขาก็กดวางสายทิ้งไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
หึหึ
เสียงดังลอดออกมาจากลำคอหนาพร้อมกับสายตาดุดันจ้องมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกตรงหน้าตนเองพร้อมกับมือหนากำโทรศัพท์แน่นแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงาน
ดวงตาดุดันจดจ้องมองร่างเล็กเพรียวระหงที่ตัวเองตามหามาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา และในวันนี้เขาก็ได้เจอแม่คนตัวเล็ก แต่...หล่อนไม่ได้อยู่คนเดียว อยู่กับผู้ชายที่น่าจะอายุเท่ากันกับสาวน้อย และท่าทางทั้งสองที่เดินพูดคุยกันเข้าไปในตึกแถวนั้นก็ดูสนิทสนมกันเหลือเกิน
“ผัว?” เขาพึมพำถามตัวเอง ทั้งที่ก่อนมาที่นี่ได้รับข้อมูลจากนักสืบมาแล้วก็ตามว่าหญิงสาวได้อาศัยอยู่ที่ห้องเช่ารายเดือนกับเพื่อนผู้ชาย ในตอนแรกคิดว่าเป็นเพื่อนที่มีร่างกายเป็นชายจิตใจเป็นหญิง แต่นักสืบบอกว่าเป็นชายแท้ นั่นแหละที่ทำให้เขาต้องรีบมาที่นี่เพื่อมาดูให้เห็นกับตา ทั้งๆ ที่ตลอดสองเดือนกว่าได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ โดยมีนักสืบรายงานความเคลื่อนไหวเรื่องของจันทร์เจ้าให้ฟังตลอดเวลา แต่สองสามอาทิตย์มานี้ มีผู้ชายเข้ามาในชีวิตของหญิงสาว แถมยังเป็นเพื่อนร่วมห้องกันอีกด้วย ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้มาเช่าห้องอยู่กับผู้ชายแบบนี้ และนั่นคือเหตุผลที่ดิฐาอยู่ในเงามืดไม่ได้อีกต่อไปจนต้องออกมาดูให้เห็นกับตา จากที่เห็นแต่เพียงรูปถ่ายจากนักสืบที่เฝ้าตามติดชีวิตของจันทร์เจ้า
ดิฐาเปิดประตูก้าวลงจากรถยนต์เดินตรงไปหาทั้งสองเข้าไปในตึกแถวความปลอดภัยต่ำ เดินตามทั้งสองที่กำลังเดินขึ้นบันไดไป และเหมือนว่าคนทั้งสองที่เดินนำอยู่ด้านหน้าจะรู้ว่ามีคนเดินตามหลังจึงพร้อมใจพากันหยุดเดินพร้อมหันมามองทางด้านเขาที่เดินหน้านิ่งไปหาทั้งสองที่หยุดอยู่ขั้นบันไดที่สูงกว่าตนเอง
ด้านจันทร์เจ้า ศิริพัฒน์ หรือจันทร์เจ้า วัย 20 ย่าง 21 ปี ยืนนิ่งเกร็งไม่กล้าขยับตัวจะหนีไปจากตรงนี้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คนตัวโตมายืนตรงหน้าตนเองที่อยู่ขั้นบันไดสูงกว่าดิฐาหนึ่งขั้น แม้ไม่เจอกันสองเดือนกว่า เธอก็ไม่เคยลืมใบหน้าหล่อร้ายแบบนี้ของเขา หน้าที่เหมือนจะดี แต่เปล่า...กลับสารเลวเกินมนุษย์ที่เคยเจอ มือน้อยกุมท้องน้อยตัวเองอย่างระวังภัยจากคนร้ายกาจ
“จะไม่แนะนำหน่อยเหรอว่ามันเป็นใครและฉันเป็นใคร?”
“แก!”
ชูว์!
มือหนายกขึ้นปิดปากของเธอไม่ให้พูด
“พูดให้ดีนะ ไม่เจอกันนาน ไม่คิดถึง ‘ผัว’ บ้างเหรอจันทร์เจ้า” คำพูดของดิฐาทำให้หนุ่มหน้าใสที่ร่วมแชร์ห้องพักกับเธอถึงกับหน้าตื่น
“มะ...ไม่ใช่นะอาร์ต”
เธอหันมาส่ายหน้าปฏิเสธอธิบายกับเพื่อนสนิทคนเดียวในคณะของตนเองที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ชาย ก็เธอกับชายหนุ่มเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็กจึงไม่แปลกที่จะพักอาศัยร่วมห้องด้วยกัน และอีกอย่างคือเธอและเพื่อนก็เป็นญาติห่างๆ กันด้วย
“ไม่มีอะไรใช่ไปกว่านี้แล้วจันทร์เจ้า”
“ไม่ใช่! ก็คือไม่ใช่ไงเล่า!”
หึหึ
ดิฐาไม่พูดตอบกลับ แต่เดินเข้าไปแทรกตัวอยู่ตรงกลางของจันทร์เจ้าและเพื่อนบนบันไดขั้นเดียวกับทั้งสองแล้วตวัดแขนโอบเกี่ยวเอวเล็กคอดรัดรั้งเข้ามาหาตัวเอง
ว้าย!
ด้วยความตกใจและไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนี้จึงเผลอตวัดแขนโอบกอดลำคอหนา
“ไปกับฉัน”
แล้วดิฐาก็ย่อตัวเล็กน้อยสอดแขนอีกข้างที่ข้อพับขาของสาวน้อยแล้วยกอุ้มขึ้นแนบอกพาเดินลงบันไดไปทันที ไม่สนใจอาการดิ้นรนขัดขืนและเสียงต่อว่าของจันทร์เจ้า
“ปล่อยฉันนะ แกจะพาฉันไปไหนไอ้คนเลว! ช่วยเราด้วยอาร์ต” เธอร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อน แต่แล้วเสียงเข้มก็ดังขึ้น
“อย่าเสือกเรื่องผัวเมีย ถ้าไม่อยากเป็นหมา!”
นั่นแหละทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้าเดินวิ่งตามตนเองมา ดิฐามองทางลงบันไดพร้อมก้าวเดินอย่างมั่นคง ไม่ว่าสาวน้อยที่ตนบังคับอุ้มมานั้นจะดิ้นขัดขืนไม่เต็มใจแรงมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้านต่อกำลังขาของเขาแม้แต่น้อย พอเดินพ้นบันไดก็เดินตรงไปยังรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ทันที
“แกไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับฉัน ฉันจะแจ้งความ”
“ข้อหาที่จะแจ้ง?” เขาหยุดเดินแล้วก้มหน้าถามคนในวงแขน
“ข่มขืนกระทำชำเรา”
หึหึ
ดิฐาทำเพียงยิ้มขำในลำคอ ‘ข่มขืนกระทำชำเรา? งั้นเหรอ?’ เขาได้แต่พึมพำทวนคำพูดของสาวน้อยในวงแขนในใจแล้วเดินไปรถยนต์เรื่อยๆ จนมาถึงที่หมาย
“รู้ไหมข้อหาที่จะแจ้งน่ะใช้กับเราสองคนไม่ได้หรอกเด็กน้อย ข่มขืนกระทำชำเราที่ไหนครางเสียวมีความสุขขนาดนั้น...ว่าไหม”
เขาปล่อยร่างเล็กของจันทร์เจ้าลงยืนกับพื้น แต่ยังใช้ท่อนแขนแข็งแรงกอดรัดร่างน้อยแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหล่อนหนีตัวเองไป แล้วอีกมือที่ว่างก็ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจรถยนต์คันหรูออกมากดเปิดปลดล็อกแล้วใช้มือข้างที่จับกุญแจในมือนั้นกระชากดึงเปิดประตูรถแล้วยัดร่างน้อยของเด็กดื้อเข้าไปในรถ
โอ๊ย!
หัวทุยเล็กกระแทกกับขอบประตูรถยนต์คันหรูที่เขายัดเธอเข้ามาข้างใน
“ไม่ทันระวัง โทษที” นั่นคือคำขอโทษของผู้ชายสารเลวคนนี้ ผู้ชายที่ย่ำยีความสาวของเธอในคืนเดือนหงาย
“แกจะพาฉันไปไหน และทำแบบนี้ทำไม ทำไมถึงตามมาราวีชีวิตของฉันไม่จบไม่สิ้นแบบนี้”
สำหรับดิฐาแล้วไม่ควรจะพูดเพราะด้วย เขามันคนต่ำทราม เหมาะสมกับความต่ำทรามและหยาบช้า ให้ตายเถอะ ใครๆ ก็ต่างชื่นชมผู้ชายคนนี้ว่าเป็นผู้ชายแสนดี เป็นชายในฝัน เป็นชายที่สาวๆ อยากแต่งงานด้วยมากที่สุดแห่งปี แต่นั่นคือภาพลวงตา เพราะเธอได้สัมผัสกับเนื้อแท้ของผู้ชายคนนี้แล้วว่าทำตัวถ่อย เถื่อนไม่ต่างจากโจรฆ่าข่มขืน