“อ่า น่าอายชะมัดเลย”
ภาพตะวันทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนใต้ตึกคณะ ก่อนจะหยิบแก้วน้ำที่เพิ่งซื้อมายกขึ้นดื่มดับกระหาย รวมถึงดับความอายที่ทำเธอไม่กล้าสบตาประธานเจียตลอดชั่วโมงที่เขาบรรยายอยู่หน้าคลาส กว่าจะหมดชั่วโมงเธอนึกว่าตัวเองจะขาดอากาศหายใจตายไปซะแล้ว
พอได้ออกจากห้องปอดก็เหมือนจะได้รับออกซิเจนจนพลอยหายใจได้ทั่วท้องหน่อย เอาซะนึกภาพออกเลยว่าคนที่ได้ทำงานกับเขาจะต้องเจอกับสายตาและความกดดันแบบไหน
แต่ถึงอย่างนั้นภาพตะวันก็ยังอยากทำงานในบริษัทของประธานเจียอยู่ดี..
“เหมือนประธานเจียจงใจให้แกอายเลยนะตะวัน” ภูพิงว่าอย่างออกรสชาติ เธอมองภาพตะวันออกว่าเพื่อนตัวเกร็งแล้วก็ดูกังวล แต่ก็ทำได้แค่จับมือให้กำลังใจอีกฝ่ายเท่านั้น
น้ำอิงที่ยกแป้งตลับขึ้นมาแต่งแต้มใบหน้า พับฝาปิดแล้วลอบกลอกตามองบนใส่ภูพิง
“มองโลกในแง่ร้ายจังนะพิง ประธานเจียเขาก็แค่ถามคำถามนักศึกษา ยัยตะวันตอบไม่ได้เอง.. แกลนอะไรขนาดนั้น” น้ำอิงหันไปถามภาพตะวันที่ดูเหม่อๆ
“ฉันว่าเขาจงใจนี่ ก็เห็นอยู่ว่าตะวันมันลน เขาก็จี้ถามเหมือนกำลังสอบปากคำผู้ร้ายเลย” ภูพิงออกตัวปกป้อง
เพราะเธอเองก็รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มเย็นเยือกเหมือนหมอกสีขาว ราวกับอยู่ในหนังผีน่ากลัวสักเรื่องของประธานเจียได้เหมือนกัน
ใครจะไปรู้ว่าภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉย คำพูดที่ดูน่าเชื่อถือ จะแฝงความอันตรายอะไรเอาไว้บ้าง
“เพราะตะวันมันเงียบต่างหาก เขาก็เลยถามจี้ให้ตอบ”
“อย่าเข้าข้างผู้ชายได้ป่ะอิง นี่เพื่อนเรานะเว้ย”
“ฉันแค่พูดตามความจริง แกกับฉันก็แค่มองคนละมุม”
“มุมไหนล่ะ..”
“พอได้แล้วทั้งคู่เลย” ภาพตะวันที่นั่งฟังทั้งคู่เถียงกันยกมือขึ้นปราม ก่อนจะนั่งไหล่ห่อคอตก หยิบน้ำขึ้นมาดื่มดับความเขินอายที่ร้อนผ่าวอยู่ในลำคอ
ถึงจะแอบเห็นด้วยกับภูพิง ว่าประธานเจียดูจงใจจี้ถามให้เธอลนลาน แต่พอมานั่งคิดดูว่าเหตุผลในการทำคืออะไร ภาพตะวันก็คิดไม่ออกอยู่ดี เพราะงั้นเลยอยากปล่อยผ่านมากกว่าเก็บเรื่องเล็กน้อยมาใส่ใจ
“ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจหรอก” ภาพตะวันพูดพลางระบายยิ้มน้อยๆ แต่แววตายังคงเจือรอยความกังวลอยู่
“เออใช่ อย่าไปคิดมากเลย..” ภูพิงเสริมทัพอย่างเห็นด้วย
“แล้วตกลงแกเคยเจอประธานเจียมาก่อนจริงเหรอตะวัน” น้ำอิงเกริ่นถามทันทีหลังนึกขึ้นได้
“จริงเหรอ แกเคยเจอประธานจริงเหรอตะวัน”
“นั่นสิ เล่ามาเลยนะคะเพื่อนรัก น้ำอิงรอฟังอยู่ค่ะ”
เพื่อนทั้งสองดูคาดหวังกับคำตอบ จนเผลอจ้องภาพตะวันเป็นตาเดียว
เธอที่ถูกกดดันโดยตรงรีบฉีกยิ้มกลบเกลื่อน พลางไหวไหล่คล้ายจำผิดคน ทั้งที่ความจริงภาพตะวันจำสายตาของผู้ชายคนนี้ได้แม่นยำเลย
“ฉันอาจจะจำคนผิดก็ได้ แค่คนหน้าคล้ายล่ะมั้ง อย่าคิดมากเลย แกก็รู้ว่าฉันชอบพูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย” เธอพูดแล้วหลุบตามองแก้วน้ำแข็งตรงหน้า
“แต่ประธานเจียดูตกใจเหมือนกันนะ แค่เสี้ยววินาทีอ่ะ” น้ำอิงเสตาไปด้านข้างอย่างใช้ความคิด
“เหรอ ฉันอ่านสีหน้าเขาไม่ออกเลย..” ภาพตะวันได้แค่ยิ้มเจื่อนให้เพื่อนสนิท
“ฉันก็เหมือนกัน สายตาเขาทำอึดอัดยังไงก็ไม่รู้เนอะ” ภูพิงพยักหน้ารับ ก่อนจะระบายยิ้มกว้างเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่ก็ช่างเถอะ เย็นนี้ไปกินน้ำแข็งใสร้านเดิมกัน”
“ฉันไม่ไปด้วยนะ พอดีช่วงเย็นต้องไปดูหนัง” น้ำอิงโบ้ยมือปฏิเสธ
“ทิ้งเพื่อนไปหาผู้ชาย” คนชวนถึงกับยู่ริมฝีปากใส่อย่างแง่งอน
“เอาไว้แกมีบ้างแล้วจะเข้าใจนะภูพิงเด็กน้อย หือ”
“ฉันไปกับยัยตะวันสองคนก็ได้”
ภูพิงหันมาเกี่ยวแขนภาพตะวัน ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับคำว่าจะไปกินน้ำแข็งใสด้วย
แต่ทว่าท่ามกลางเสียงพูดคุยระหว่างภูพิงกับน้ำอิง สายตาของภาพตะวันก็ดันเหลือบไปเห็นร่างสูงที่กำลังเดินขึ้นรถคันหรูไป
ประธานเจียนิสัยใจคอเป็นยังไงกันแน่..
คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวของภาพตะวัน ครันเมื่อเจอกันที่ญี่ปุ่นผู้ชายที่ภาพตะวันมั่นใจว่าเป็นประธานเจียนั้น เขาช่างเป็นสุภาพบุรุษที่มีรอยยิ้มเป็นอาวุธ จนทำให้เธอตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น
ถึงเวลาจะผ่านไปเกือบสามปีแล้ว แต่ปลายฟ้ายังจำสายตาของเขาได้ไม่ลืม
“ประ.. ประธานเจีย” ภูพิงเบิกตาโพลง พลางใช้ศอกสะกิดน้ำอิงให้ดูด้วยเช่นกัน
“ประธานเจีย..” น้ำอิงหันตามสายตาของอีกฝ่ายที่เพยิดหน้าให้ดู พลันเธอก็รีบจัดแจงผมเผ้าให้เข้าที่ ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้เจ้าของรถหรูที่ขับมาจอดตรงหน้าพวกเธอพอดี
ยกเว้นภาพตะวัน..
เธอนั่งขมวดคิ้วมุ่นมองเจ้าของรถที่เดินลงมา เปล่งประกายรัศมีออร่าความหล่อที่เบ่งบาน ทำเอาเพื่อนสาวอย่างน้ำอิงมองเขาแบบไม่ละสายตาเลยทีเดียว
“ภาพตะวัน“
เจ้าของใบหน้าสวยที่มีดวงตาหวานฉ่ำเป็นเอกลักษณ์เปรยขึ้นมองต้นตอเสียง แล้วก็พบว่าประธานเจียยื่นนามบัตรบางอย่างมาให้เธอ
“รับไปสิ วันนี้ฉันประทับใจพวกเธอนะ ระหว่างที่ฉันพูด.. พวกเธอก็คงจะปรึกษากันไปด้วย” สุ้มเสียงที่คล้ายว่าจะเอ่ยชม แต่กลับแฝงด้วยการจิกกัดเพียงเล็กน้อยเอาไว้ เพราะเขาเห็นว่าพวกเธอแอบคุยกันระหว่างที่เขากำลังบรรยายหน้าคลาส ถึงได้ประชดออกมาแบบนั้น
“อันนี้บัตรอะไรเหรอคะ” น้ำอิงไม่ได้สนใจที่เขาพูด แต่ยิ้มแฉ่งเพราะนามบัตรที่รับมาแทน
“ผมเชิญพวกคุณทั้งสามคนไปทานข้าว ถ้าไม่ติดอะไร.. พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
“ได้สิคะ พรุ่งนี้อิงว่างพอดีเลยค่ะ”
“ไอ้อิง”
ภูพิงมุ่นคิ้วดุน้ำอิงที่รับบัตรมาโดยไม่ปรึกษากันก่อน โดยเฉพาะภาพตะวันที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผลมาจากนัยน์ตาคู่คมที่ตวัดมองมา รอยยิ้มเย็นเยือกบนมุมปากสวยทำให้เธอรู้สึกร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก
คนเราสามารถยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่ให้ความรู้สึกเหมือนเกลียดขี้หน้าคนอื่นอย่างนั้นได้ยังไงกันนะ
“หวังว่าเธอจะมาด้วยกันนะ.. ภาพตะวัน” ร่างสูงพูดพลางปรายหางตามองภาพตะวัน ที่ทำเอาอีกสองคนบนโต๊ะอ้าปากค้างที่ประธานเจียเรียกชื่อเธอถูก
“คุณเรียกชื่อฉันถูกได้ยังไงคะ เราไม่เคยเจอกันนี่”
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ตีหน้านิ่งกลับมาแทน
“ประธานเจีย..” เธอขมวดคิ้วแล้วกดดันเขาบ้าง แต่เหมือนจะไม่เป็นผลเลยสักนิด
“ชื่อเล่นของเธอมันอยู่หัวมุมในใบที่ฉันแจกให้” คนหน้านิ่งตอบกลับเสียงราบเรียบอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ภาพตะวันอ้าปากค้างเถียงไม่ออก ก่อนจะหลุบตาแล้วเหลือบมองภูพิงที่สะกิดไม่ให้ต่อปากต่อคำกันไปมากกว่านี้
“หวังว่าจะได้เจอกันนะครับ.. ทุกคน”