บทนำ
ปฐมบท
เขา…คือลูกชายของผู้มีพระคุณ
คือรักแรกและรักเดียวที่เธอมี
และที่เหนือว่าอะไรทั้งหมด…
คือดวงดาวที่ดอกหญ้าไร้ค่าอย่างเธอ
ไม่อาจเอื้อมถึง
สายลมอ่อนๆ ในฤดูหนาวอันยาวนานพัดโบกไปมาภายในไร่ทานตะวันสีเหลืองอร่ามทองของไร ทอสยาม ที่ตอนนี้นั้นมีร่างบอบบางของเด็กสาวสองคนวิ่งไล่ตามกันท่ามกลางเหล่าคนงานนับร้อยชีวิตที่เดินผ่านไปมาตลอดทั้งวันที่ล่วงเลยผ่าน แต่ดูเหมือนว่าหนึ่งในเด็กสาวนั้นจะไม่ได้รู้สึกสนุกสนาน กับการถูกลูกสาวคนเล็กของเจ้าของไร่แย่งเอาของรักของหวงของตนไปแล้ววิ่งหนีกันสักเท่าไหร่…
“คุณปิ่นคะคืนหมวกให้ตาเถอะค่ะ” วาสิตา ปริมาศ เด็กสาวที่เป็นเพียงลูกสาวคนงานภายในไร่ที่อยู่กันสองคนกับผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นทั้งน้ำตาเมื่อถูกปิ่นมณี ลูกสาวคนเล็กของคุณชัยกับคุณหญิงชิดชบา เจ้าของไร่ทานตะวันชื่อดังแย่งเอาหมวกไหมพรมที่เธอเพิ่งจะได้รับจากแม่ของอีกฝ่าย เป็นของขวัญวันเกิดครบสิบสองขวบเมื่อเดือนก่อนไป
“ไม่ให้! นี่มันของคุณแม่ฉัน ไม่ใช่ของแก ยัยตาขี้แงเป็นเด็กขี้ขโมย! แบร่ๆ” เสียงล้อเลียนที่ดังขึ้นก้องบริเวณบ้านทำให้คุณหญิงชิดชบา บริมาศที่กำลังนั่งจิบชายามบ่ายได้ยินเข้าก่อนนางจะลุกขึ้นและเดินลงมาดักหน้าลูกสาวคนตัวเล็กที่วันๆ ไม่ทำอะไรเลยสักอย่างนอกจากหาเรื่องแกล้งวาสิตาเด็กน้อยผู้น่าสงสารอยู่เรื่อยไม่เว้นวัน
“คุณปิ่นคืนมาให้ตาเถอะคะ” เด็กอีกคนไม่ยอมแพ้ เอ่ยขอร้องทั้งน้ำตานองหน้า เพราะนั่นคือของขวัญชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่เธอมี
“หยุดเดี๋ยวนี้นะลูกยัยปิ่น! ทำไมเราถึงได้ไปแย่งของๆ วาสิตาเขาแบบนั้น คืนหมวกให้เขาไปเดี๋ยวนี้!” เสียงขอมารดาที่ดุขึ้นทำเอาเด็กน้อยหน้ามุ่ยคิ้วขมวดเป็นปมเมื่อถูกผู้เป็นแม่เอ่ยขัดใจ และก็เป็นอีกครั้งที่แม่ของเธอทำตัวเข้าข้างเด็กคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกของตัวเองให้เห็น
“แต่นี่มันหมวกของคุณแม่นี่คะ น้องปิ่นจำได้ว่าคุณแม่เป็นคนถักมันขึ้นมาเองกับมือ ไม่ใช่ของยัยตา!” ปิ่นมณียังคงไม่คิดยอมแพ้ เอ่ยความจริงที่ได้รู้ออกไปพร้อมตวัดสายตาไปมองคนขี้แงข้างหลังเอาคาดโทษที่ทำให้ตนเองต้องโดนแม่ดุ แม้ว่านี่มันจะไม่ใช่ครั้งแรกก็ตาม
“นั่นมันก็ใช่! แม่เป็นคนถักมันขึ้นแล้วก็ยกให้หนูตาเขาเป็นของขวัญวันเกิดเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้มันคือของวาสิตา!” คุณหญิงชิดบราตอบกลับไปตามความจริงเสียงแข็ง ไม่ชอบใจกับนิสัยของลูกสาวนางสักเท่าไหร่ที่นอกจากจะไม่รู้จักการให้แล้วนั้นยังจ้องแต่จะเอา
“ไม่เอาค่ะปิ่นไม่ยอม! ทีวันเกิดของปิ่นคุณแม่ไม่เห็นจะให้หมวกถักแบบนี้กับปิ่นบ้างเลย!” เสียงตัดพ้อที่ดังขึ้นทำเอาผู้เป็นแม่เริ่มปวดหัวหน่อยๆ กับความเอาแต่ใจไม่ยอมคนของลูกสาวของนาง
“เราเองก็ได้ทั้งตุ๊กตาแถมยังมีเสื้อผ้าตั้งเยอะแยะไปแล้วใช่ไหมเหรอลูก แล้วดูสิว่าตาเขาได้อะไรบ้าง คืนหมวกเขาไปเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้นได้เห็นดีกันแน่!” เมื่อเจอเข้ากับคำดุของผู้เป็นแม่ปิ่นมณีจึงยอมหันกลับไปหาวาสิตาอีกครั้งแต่แทนที่จะส่งคืนหมวกในมือให้อีกฝ่ายแต่โดยดีเด็กน้อยกลับทำตรงกันข้ามด้วยการปามันใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างแรงด้วยความโกรธที่มีอยู่เต็มอก เธอเกลียดวาสิตานั่นคือความจริงที่ใครต่อใครก็รับรู้ได้ เพราะอีกฝ่ายมักจะได้รับความรักจากคนอื่นอยู่เสมอ ไม่เว้นแต่กระทั่งแม้แท้ๆ ของเธอที่ทั้งรักและทำดีกับมันตลอด
“ฉันเกลียดแกที่สุดเลยยัยตา! แกได้ยินไหมว่าฉันเกลียดแก!!” เสียงหวานด่าทอเพื่อนรุ่นเดียวกันจะต่างกันก็แค่เพียงสถานะของทั้งสองที่ต่างกันราวกับอยู่คนละโลกดังขึ้นก่อนปิ่นมณีจะวิ่งหนีหายไปยังผู้เป็นพ่อและอธิปพี่ชายที่เพิ่งจะเดินออกมาจากไร่ทานตะวันพร้อมกันทั้งน้ำตานองหน้าเมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ได้ดั่งใจของตัวเองเข้า
“ปิ่น! ปิ่นร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรน้องพี่!” อธิป เด็กหนุ่มวัยสิบห้าเอ่ยถามน้องสาวพร้อมคว้าอีกคนเข้ามากอดเพื่อปลอบประโลมไม่ให้อีกฝ่ายร้องไห้หนักมากไปกว่านี้ เพราะมีปิ่นมณีเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวเลยทำให้เขาและผู้เป็นพ่อตามใจเธอมากกว่าใครๆ และหากใครคนไหนบังอาจทำให้น้องสาวของเขามีน้ำตาเหมือนกับตอนนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าเขาไม่ปล่อยมันเอาไว้แน่ๆ ไม่ว่าจะใครหน้าไหน
“นังตาค่ะพี่ปราณ นังตามันแกล้งน้อง!” ปิ่นมณีได้ทีรีบฟ้องด้วยรู้ดีว่ายังไงเสียพี่ชายและพ่อก็ต้องเข้าข้างเธออยู่วันยังค่ำ ต่างจากผู้เป็นแม่ที่เอะอะไรก็รักแต่วาสิตามาเสมอ อธิปเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รอช้ารีบก้าวย่างตรงไปหาคนที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องร้องไห้พร้อมกับฝ่ามือหนาที่จัดการผลักอีกฝ่ายจนล้มกลิ้งลงกับพื้นไปอย่างรุนแรง
“เธอกล้าดียังไงทำน้องสาวของฉันร้องไห้วาสิตา!!” คนถูกผลักจนล้มลงน้ำตานองหน้า แม้ใจอยากจะพูดความจริงแค่ไหนแต่ก็รู้ดีว่าคงไม่มีใครเชื่อคำพูดของเด็กอายุสิบสองที่เป็นแค่ลูกสาวคนงานในไร่อย่างเธอเป็นแน่ เด็กสาวจึงทำได้แค่เพียงก้มหน้านิ่งเหมือยยอมรับผิด
“หยุดเดี๋ยวนี้นะตาปราณ! วาสิตาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น น้องสาวของลูกเองต่างหากที่เป็นฝ่ายไปแกล้งตาเขาก่อน อย่าให้แม่เห็นว่าเราทำตัวแบบนี้กับผู้หญิงอีกนะปราณ บอกตามตรงว่าแม่ไม่ชอบ!” เป็นคุณชิดชบาเสียเองที่ตวาดลั่นพร้อมล้มตัวลงไปโอบกอดวาสิตาให้ลุกขึ้น สีหน้าของนายหญิงของไร่ที่มีแต่ความโอบอ้อมอารีให้กัน นั่นเลยทำให้วาสิตายิ่งรักและเคารพนายหญิงของเธอมากกว่าใครๆ
“หนูไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมลูกตา” คุณชิดชบาเอ่ยถามอย่างขึ้น
“ตาไม่เจ็บค่ะคุณผู้หญิง” เด็กสาวโกหกกลับไปเพราะไม่อยากทำให้อีกคนเป็นห่วง แม้จะเจ็บแต่ก็ไม่กล้าบอกเพราะกลัวลูกๆ ของอีกฝ่ายจะกล่าวหากันว่าเธอสำออยเรียกร้องความสงสารจากนายหญิง
“คุณแม่อย่าไปกอดมันนะคะ! คุณพ่อกับพี่ปราณดูคุณแม่ทำสิคะ คุณแม่ไม่รักปิ่น! คุณแม่รักแต่มัน” ปิ่นมณีตวาดลั่นอย่างไม่พอใจที่ได้เห็นแม่แท้ๆ ของเธอกำลังมอบความรักความสงสารกับเด็กคนอื่น
“เอาล่ะๆ เรื่องแค่นี้เองพ่ออย่าเราทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเลยนะ รีบกลับไปหาแม่ที่บ้านเถอะตา ป่านนี้บัวตองคงจะชะเง้อคอรอแย่แล้ว ส่วนเราสองคนกลับเข้าบ้านได้แล้วตาปราณยัยปิ่น ไปกันเถอะครับคุณชิดชบา” นายหัวชัยที่เห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยห้ามทัพขึ้นเพราะไม่อยากให้เด็กๆ สามคนต้องมามีเรื่องบาดหมางใจกันเพราะต้องอยู่กันไปอีกนาน
วาสิตารีบพาตัวเองเดินออกมาจากตรงนั้นทันทีที่ได้รับคำสั่งจากนายใหญ่ของบ้าน
แต่เด็กสาวก็ยังไม่วายหันกลับไปมองที่เดิมที่เพิ่งจะจากมาเมื่อรู้สึกว่ามีสายตาของใครจ้องมองอยู่ จนเมื่อพบว่ามันคือสายตาของลูกชายเจ้าของไร่อย่างอธิปหญิงสาวจึงรีบหันหลังและเดินกลับไปยังกระท่อมปลายไร่ของตนและแม่ด้วยความหวาดกลัว กลัวในความอารมณ์ร้ายกาจของเขาที่มักจะแสดงต่อกันทุกครั้งที่พบหน้า