เสียงฝีเท้าค่อยก้าวมายังหน้าประตู ที่หลินโคว่เอ๋อยืนอยู่ ในใจของนางพลันหาวิธีหลบหลีกให้มากที่สุด ใช่ว่านางจะไม่เคยพบเหตุการณ์นี้ แต่นางก็ไม่ปฏิเสธว่าชายตรงหน้าจะหล่อเหลา บาดใจหญิง แต่แน่นอนไม่ใช่นางที่จะหลงเสน่ห์จอมปลอม
“ท่านต้องการอะไร?” เสียงห้วนเอ่ยปากด้วยความระแวดระวังภัย
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าแซ่อะไร”
“จะแซ่อะไร มันกงการอะไรของท่านเล่า ข้าว่าท่านควรจะบอกลูกน้องท่านด้านนอกให้ปล่อยข้าไปดีกว่า และข้าสัญญาว่าท่านจะปลอดภัยดี”
“เช่นนั้นรึ?” เขาถามยียวนพร้อมๆ กับก้าวเท้าเข้ามาจนชิดติดตัวนางพลางเอ่ย “ข้าอยากรู้ว่าเจ้าแซ่หลินหรือไม่ และข้าอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเจ้า หวังว่าเจ้าคงให้ความร่วมมือ” น้ำเสียงแผ่วเบาเพื่อให้นางได้ยินเพียงคนเดียว นางได้ยินเช่นนั้นจึงผลักเขาเต็มแรงพร้อมกับรีบหลบไปอีกด้านหนึ่ง
“ใช่หรือไม่ใช่ มันเกี่ยวอะไรกับท่านเล่า”
“เกี่ยว! และเกี่ยวมากด้วย ข้าก็รู้ด้วยว่าเจ้าใช่ เพียงแต่ข้าแค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้น”
“พิสูจน์อะไร” นางฟังคำพูดของคนตรงหน้าในใจเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเขามากยิ่งขึ้น
“ง่ายมาก แค่เจ้ายอมเปิดบั้นท้ายของเจ้าและดูว่ามีรอยสักรูปดอกเหมยหรือไม่ หากไม่มีเรื่องคืนนี้ก็ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ามีเราคงต้องตกลงกันสักหน่อย”
“ท่านเสียสติหรือไง จู่ ๆ ให้ข้าเปิดบั้นท้ายให้ดู ไม่มีทาง!”
“หรือถ้าเจ้าไม่สะดวกดูเอง ให้ข้าช่วยดูก็ได้นะ”
“ขอบใจในความหวังดี แต่ข้าไม่ต้องการ และได้โปรดหลีกทางด้วย ข้ามีงานต้องทำอีกมาก” นางพูดตัดบทใช้มือผลักชายที่ทำท่าจะคุกคามนาง
“ถ้าเจ้าหมายความว่างานที่เจ้าทำอยู่ทุกคืนหลังร้านปิด คงไม่ต้องกระมัง ข้าสั่งคนให้จัดการเรียบร้อยแล้ว และชั้นนี้มีแค่เจ้ากับข้า ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมารบกวน” เขาพูดพร้อมทำหน้าลอยไปลอยมาอย่างอารมณ์ดีและมันยั่วโทสะของหลินโคว่เอ๋อได้ดีทีเดียว
“ท่านต้องการอะไรกันแน่ และท่านเป็นใคร”
“ข้าต้องการรู้ว่าเจ้ามีรอยสักที่บั้นท้ายหรือไม่ ส่วนข้าเป็นใครข้าจะบอกหลังเจ้าทำตามข้อตกลงของข้าเสียก่อน”
“ข้าบอกให้ก็ได้ ข้าไม่มีหรอกรอยสักบ้าบออะไรนั่น และท่านก็ไม่ต้องมาวุ่นวายกับข้าด้วย และอีกอย่างต่อให้ท่านเป็นใครข้าก็ไม่สนใจหรอกนะ ตอนนี้ปล่อยข้าไปได้แล้ว ข้าเบื่อเล่นเกมกับท่าน”
“ไม่มีหรือไม่กล้าดู ให้ข้าช่วยดูดีไหม วิธีช่วยของข้าง่ายมาก แค่ร่วมรักกัน เจ้าได้เงิน ข้าได้ความสุข อีกอย่างข้าจะมอบเงินให้เจ้าเพิ่มอีกนิด ว่าไง...สนใจไหม?”
“ไอ้สารเลว ร่วมรักกับมารดาเจ้าเถอะ” นางไม่พูดเปล่า หาของติดมือปาไปที่บุรุษอย่างฉีเทียนเหล่ย เขาหลบหลีกโดยมือปัดอย่างไม่กลัวเจ็บพร้อมๆ กับเอ่ยขึ้น
“ข้าชอบนักปราบม้าพยศเช่นนี้ ดุดัน ดื้อด้าน” เขาพูดจบและตรงมาที่นาง เขารวบกอดนางทางด้านหลังเพื่อให้นางหยุดดิ้น นางก้มกัดที่ลำแขนแกร่งอย่างแรงจนเกือบจมเขี้ยว เขาสะบัดนางออก เหวี่ยงไปที่เตียงโดยไม่ทะนุถนอมแต่อย่างใด
“แรงมากนักใช่ไหม กล้าทำร้ายข้าจนเกิดแผล ไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือยังไง”
“ทำไมข้าจะร้ายเจ้าไม่ได้ ไอ้สารเลว ไอ้สวะ คิดว่าตัวเจ้าเป็นใคร ฮ่องเต้หรือไง”
“ข้าคือ ชิน-อ๋อง” เขาเน้นคำว่าตนเองคือใคร มีตำแหน่งใหญ่เพียงใดหากแต่คำพูดของเขาหาทำให้หาได้นางสลดลงเลยแม้แต่น้อย