ฉีเทียนเหล่ยผินหน้าไปมองตามนิ้วของคณิกานางนั้น พร้อมกับผู้ติดตามทั้งสอง เขาเห็นหญิงสาวสวมอาภรณ์ปกปิดเรือนร่างเสียจนมิดชิด ชุดสีชมพูอ่อนลายดอกเหมยประดับที่เนื้อผ้ายิ่งขับให้นางดูบอบบางน่าทะนุถนอม หากแต่เมื่อพิจารณาให้ดีนางมีรูปร่างค่อนไปทางผอมบางสักนิด เมื่อดูจากลักษณะภายนอกรวมๆ แล้วงดงาม แต่ติดที่ว่ามิสามารถมองเห็นใบหน้าได้ว่างดงามจริงหรือไม่ เนื่องด้วยนางใช้ผ้าปกปิดใบหน้า เห็นเพียงหน้าผากและนัยตาทั้งสองข้างเท่านั้น
การเยื้องย่างของนางเป็นที่จับตามองของคนด้านล่าง นางมาหยุดยืนข้างโต๊ะซึ่งวางพิณนั้น ดูแล้วเหมือนได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี นางค่อยๆ ย่อตัวทำความเคารพแขกเหรื่อทั้งหมดที่มาดื่มกินยังหอแห่งนี้ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าพิณที่ได้จัดเตรียมเอาไว้
นางหลับตาเพื่อเรียกสมาธิเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นเมื่อนางลืมตาพร้อมกับวางนิ้วมือทั้งสองข้างเพื่อบรรเลงเพลงพิณซึ่งเคยสร้างความสุขสำราญให้แก่ผู้คนมานักต่อนักแล้ว สายตานางจับจ้องไปที่พิณ นิ้วมือทั้งสองข้างดีดตามเนื้อเพลงที่นางเคยได้ร่ำเรียนมาอย่างมิขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด ริมฝีปากยกยิ้มลามไปถึงดวงตาที่แสดงใช้เห็นว่านางผู้นี้พึงพอใจกับการแสดงของตนอย่างมาก
ผู้คนที่ได้ฟังการบรรเลงเพลงของนางต่างเคลิบเคลิ้ม รวมไปถึงบุคคลทั้งสามคนที่แต่เดิมมิได้สนใจกับสถานที่แห่งนี้มากนัก แต่เมื่อการมาเยือนของสาวงามซึ่งดีดพิณอยู่เบื้องหน้า เขาทั้งสามต่างหันไปมองโดยมิกล้าละสายตา นางดีดพิณได้ไพเราะยิ่ง ถึงแม้จะมิได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าแต่ดนตรีของนางแปลกใหม่ ไม่เหมือนใครทั้งท่วงทำนองและความรู้สึกที่ได้ถ่ายทอดออกมา
ช่วงแรกของเนื้อเพลงได้บรรยายเหมือนอยู่ในช่วงฤดูร้อนที่มีความสนุกสนาน พอมาถึงกลางบทเพลงนางเริ่มเปลี่ยนทำนองให้ช้าลง เหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่ได้เปรียบใบไม้ที่โรยรากับความรัก และสุดท้ายจบในฤดูคิมหันต์อันนำแต่ความเศร้าใจจนสามารถสร้างเรียกน้ำตาต่อผู้คนได้ฟัง
เมื่อการแสดงจบลง ผู้คนต่างปรบมือชื่นชมนางพร้อมกันส่วนนางนั้นเพียงลุกจากพิณตรงหน้า ทำความเคารพโดยมิกล่าวสิ่งใดหันหลังเดินจากไปจากเวทีแสดง การกระทำของนางทำให้ฉีเทียนเหล่ยหลุดจากภวังค์และสงสัยเหตุใดจบการแสดงนางมิกล่าวขอบคุณ แต่เดินเข้าฉากออกไปเสียดื้อๆ
“นั่นรึ เหมยซาน” นั่นเป็นคำถามที่แฝงไปด้วยข้อกังขา
“เอ่อ... เจ้าค่ะ นั่นแหละนาง สงสัยวันนี้นางคงป่วยแหละเจ้าค่ะ แต่งตัวมิดชิด ดูสิเจ้าคะอากาศภายนอกหิมะตกซะขนาดนั้น นางคงจำใจแต่งเช่นนั้น" นางคณิกาตอบอย่างฉะฉานเพราะคิดว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าคนที่ดีดีพิณแท้จริงเป็นใคร
เมื่อได้ยินคำตอบฉีเทียนเหล่ยมิได้กล่าวสิ่งใดแม้เนื้อเสียงจะเต็มไปด้วยข้อพิรุธทั้งนั้น เขาเพียงแต่ใช้สายตามมองไปยังโต๊ะข้าง ๆ ซึ่งมีชายฉกรรจ์สี่คนนั่งอยู่
ชายผู้หนึ่งสบตากับเขาแวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับทราบว่าฉีเทียนเหล่ยต้องการอะไร เขาลุกออกจากที่นั่งทำท่าเหมือนจะเดินไปถ่ายเบาและเดินออกไปหลังร้านทันที เมื่อเห็นว่าคนของตนไปแล้วเขาจึงหันมาสนใจน้ำจัณฑ์ตรงหน้าอีกครั้ง
ผ่านไปเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ชายผู้นั้นก็กลับมา พร้อมเดินมาหาฉีเทียนเหล่ยและเอ่ยเสียงเบาราวยุงบินจนคณิกาที่นั่งอยู่ด้วยไม่รับรู้ว่าพวกเขากำลังสนทนากัน
“นางหายไปขอรับ”
“หายไปเร็วขนาดนั้นเลยรึ”
“ข้าน้อยอาจตรวจดูไม่รอบคอบ นายท่านโปรดให้อภัย”
“กลับโต๊ะเจ้าได้แล้ว อย่าส่อแววพิรุธ”
“ขอรับ” หลังรับคำสั่งเขาจึงเดินไปยังโต๊ะของตนเอง ฉีเทียนเหล่ยนั่งนิ่งสักพักในหัวขบคิดบางอย่างก่อนจะตัดสินใจให้เซียวหรูจัดการที่พักที่นี่ เขาสั่งให้เหมาชั้นบนสุดของหอแห่งนี้เพื่อความเป็นส่วนตัว เซียวหรูรับคำจึงให้นางคณิกาคนหนึ่งนำทางไปคุยกับเถ้าแก่เนี๊ยจูด้วยตนเอง
เมื่อจูชุนลี่ได้ยิน ริมฝีปากยิ้มไม่หุบ ดวงตาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตนดีใจแค่ไหน “มิมีปัญหาเจ้าค่ะ คุณชายแต่ไม่ทราบคุณชายจะพักที่นี่สักกี่คืนดีเจ้าคะ” จูชุนลี่เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ขอสักสามคืนก็เพียงพออีกอย่างคุณชายของข้าต้องการพบแม่นางเหมยซาน เถ้าแก่เนี๊ยพอจะตามนางมาพบตอนนี้ได้หรือไม่”
“เอ่อ... พอดีนางไม่ค่อยสบายนะเจ้าค่ะ ขอเป็นพรุ่งนี้นะเจ้าคะ ข้าน้อยจะรีบพานางมาทันทีเจ้าค่ะ” จูชุนลี่เอ่ยอย่างดีใจที่มีลาภลอยก้อนใหญ่มาให้
“งั้นข้าไม่รบกวนแล้ว” คำปฏิเสธนี้ทำให้เซียวหรูมั่นใจว่าสตรีเมื่อครู่ไม่ใช่ซานเหมยแน่ เพราะต่อให้นางป่วยอย่างไรคนเป็นเถ้าแก่ย่อมต้องพามาพบลูกค้าเพียงครู่ก็ยังดี
“รบกวนอันใดเล่าเจ้าคะ ข้าน้อยยินดีอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
เซียวหรูเมื่อได้ทำตามคำสั่งแล้วจึงหันกายเดินจากไปโดยมีนางคณิกาเดินตาม ซึ่งนางย่อมหวังว่าจะได้ลาภก้อนใหญ่กับเขาบ้าง ส่วนจูชุนลี่อารมณ์ดีนั่งนับตั๋วเงินที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ อย่างกระหยิ่มใจ หลังจากนั้นจึงสั่งให้เด็กๆ ช่วยกันขึ้นไปทำความสะอาดห้องชั้นบนสุดให้สะอาดเอี่ยมทั้งกำชับให้ตกแต่งห้องแต่ละห้องให้สวยงามเพื่อต้อนรับคุณชายเงินหนาที่มาพักยังหอนางโลมของนาง