ที่หอหมื่นบุปผา หิมะอ่อนโปรยปรายลงจากฟากฟ้าสู่เบื้องล่าง นำพาความเย็นชำแรกผิว ยามค่ำคืนกอปรกับมณฑลแห่งนี้ ความรู้สึกเงียบเหงามักมาพร้อมกับความหนาวเหน็บแต่มิใช่กับหอแห่งนี้ ที่นี่มีแต่ความเพลิดเพลินและความสำราญให้แก่ผู้คนที่เยี่ยงกายเข้ามา
“พวกเรามาทำบ้าอะไรที่หอนางโลมที่นี่กันท่านเซียวหรู” ตงเหลียนบ่นขณะมองไปรอบร้าน เห็นเหล่าคณิกาและผู้คนที่หลั่งไหลมาหาความสุข ส่วนตนนั้นมิได้ชื่นชอบสิ่งนี้เท่าไหร่นักจึงเอ่ยถามด้วยความกังขา น้ำเสียงที่ออกมาจึงดูไม่น่าฟังนัก
“เราน่าจะหาโรงเตี๊ยมดี ๆ เพื่อปรึกษากันอย่างน้อยที่นั่นย่อมสงบมากกว่าที่นี่นะท่านเซียวหรู”
“ทำไมหรือท่านตงเหลียน ท่านมีอดีตฝังใจกับหอนางโลมหรือยังไง ท่านถึงต้องเอ่ยท้วงทุกครั้งที่เข้าหอนางโลม” เซียวหรูถามแกมสัพยอกอีกฝ่าย ทั้งสายตาที่มองมิได้ยินดียินร้ายใด ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายถลึงตาใส่ตน
“ไม่ใช่! ข้าแค่สงสัย เรามาปรึกษางานกันมิใช่รึ ย่อมควรหาที่ที่สามารถคุยกันส่วนตัวหน่อยก็เท่านั้น” ตงเหลียนเอ่ย
“ท่านจะบ่นไปไย ดูอย่างชินอ๋องยังมิกล่าวสิ่งใดเลย ท่านดูเอาสิ...ท่านอ๋องนั่งดื่มสุรานิ่งอยู่เช่นนั้น” เซียวหรูเอ่ยพร้อมส่งสายตามองไปยังฉีเทียนเหล่ย
“หึ! เอาเถอะ... พวกท่านอยากพักผ่อนก็บอกกันตรง ๆ ก็ได้มิเห็นต้องหาข้ออ้างกันเลย” ตงเหลียนยกน้ำจัณฑ์ขึ้นดื่ม และจู่ๆ พลันมีหญิงวัยกลางคนเดินนวยนาดเข้ามาทักทาย นางแต่งหน้าจัดหากแต่นั่นก็ไม่อาจปกปิดการผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายชั่วปีได้
กิริยาท่าทางในการออกคำสั่งเหล่าคณิกา เชื่อเชิญและทักทายลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ปั้นแต่งขึ้นมาเดาได้ไม่ยากว่านางคงเป็นเถ้าแก่เนี๊ยของหอแห่งนี้ นางเดินมาถึงโต๊ะของฉีเทียนเหล่ยพร้อมส่งรอยยิ้มโปรยปรายมีเสน่ห์ให้
“ข้าน้อยจูชุนลี่ เถ้าแก่เนี๊ยของหอนี้ หากให้ข้าน้อยเดาพวกคุณชายคงมาจากต่างเมืองใช่หรือไม่เจ้าคะ” จูชุนลี่จีบปากจีบคอถามแต่บุคคลทั้งสามหาได้ตอบคำถามสร้างความกระอักกระอ่วนใจให้จูชุนลี่ไม่น้อย นางไม่รู้จะวางสีหน้าอย่างไรเมื่อตนเองเอ่ยปากกับลูกค้าอย่างมีมิตรไมตรีหากแต่อีกฝ่ายนิ่งเฉยอย่างเสียมารยาทจนกระทั่งเซียวหรูเอ่ยเพื่อทำลายความเงียบ
“อ๋อ เถ้าแก่เนี๊ยนี่เอง ต้องขอโทษด้วยที่นี่เสียงค่อนข้างดัง ทำให้เสียมารยาทแล้วพอดีพวกข้าผ่านมาทางนี้ เห็นผู้คนเข้าออกมาหอแห่งนี้มากเป็นพิเศษจึงใคร่ลองเข้ามาดูความคึกคักด้วย ที่นี่คงมีบุปผางามมากเลยใช่หรือไม่” เซียวหรูเห็นทุกคนเงียบกริบ ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงชินอ๋อง อีกฝ่ายก็พอเดาได้เลาๆ ว่าไม่ชอบสถานที่เช่นนี้ เขาจำต้องเสียสละสร้างความสัมพันธ์โดยเป็นผู้สนทนาเองแต่เพียงผู้เดียว
“แหม... คุณชายท่านนี้กล่าวเกินไปแล้ว ดังที่ไหนกันเล่าเจ้าคะ ที่นี่อบอวลไปด้วยความสำราญถึงจะถูก ส่วนเรื่องเหล่าคนงามล่ะก็... มิผิดหรอกเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นคนแก้สถานการณ์ให้ นางยิ่งใจชื้นเอ่ยปากด้วนจริตสตรี
“ข้าอยากเห็นสาวงามอันดับหนึ่งของที่นี่เหลือเกิน หน้าตาจะงดงามมากกว่าพวกนางเหล่านั้นเพียงใด”
“เอ่อ... ได้สิเจ้าคะ เพียงแต่นางไม่ค่อยสบายน่ะเจ้าค่ะวันนี้นางคงได้แค่ดีดพิณเพื่อขับกล่อมเพียงอย่างเดียว คงรับแขกมิได้” จูชุนลี่นึกถึงเหมยซาน นางงามที่สุดแล้วแต่วันนี้นางไม่มาและมักจะเป็นเช่นนี้ออกบ่อย ถ้าวันนี้นางมาคงได้กำไรอย่างงาม
“งั้นรึ! ช่างน่าเสียดายยิ่งนักที่วันนี้พวกข้าคงพลาดโอกาสอย่างงามที่จะได้ยลโฉมสาวงามแห่งหอหมื่นบุปผา”
“จะพลาดได้เช่นไรเล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวนางก็ขึ้นแสดงแล้ว ท่านลอบมองดูก็ได้นี่เจ้าคะ หากสนใจนางหลังแสดงเสร็จ พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้นางไปพบท่านดีหรือไม่เจ้าคะ ถ้าพวกท่านสะดวกก็พักที่นี่ได้นะเจ้าคะจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางของพวกท่านและเหมยซาน” จูชุนลี่เอ่ยหวังยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวคือ ประการแรกได้ลูกค้าจากการให้เช่าห้องพัก ประการที่สองได้ส่วนแบ่งของเหมยซาน เห็นไหมเล่า นางมีได้กับได้
“มิมีปัญหา ข้าใคร่ขอชมการแสดงของนางก่อนแล้วกันเถ้าแก่เนี๊ย”
“ได้สิเจ้าคะ” นางตอบด้วยประกายในแววตาพร้อมทั้งหันไปหานางคณิกากลุ่มหนึ่งเอ่ยเสียงกังวาน
“เด็กๆ มาม๊ะ... มาดูแลโต๊ะคุณชายทั้งสามให้ดีด้วย ยกน้ำจัณฑ์ชั้นเลิศมาบริการให้ดีเล่า อย่าให้เสียชื่อหอหมื่นบุปผาเอาได้” นางกล่าวจบจึงขอลาไปดูแขกโต๊ะอื่น ส่วนสาวๆ เมื่อได้รับคำสั่งต่างพากันเดินมาบริการ บ้างรินน้ำชาบ้างบีบนวดให้อย่างรู้งาน แต่ทั้งสามก็มิได้แสดงอาการพึงพอใจกับการของเหล่าคณิกาเหล่านั้น เพราะเห็นว่านางอยากทำอะไรก็เชิญ
“คุณชายไม่พอใจกับการบริหารของพวกข้าหรือเจ้าคะ” หญิงสาวหน้าตาธรรมดาแต่แต่งแต้มสีสันจัดซึ่งนั่งใกล้ตงเหลียนเอ่ยถาม
“ไม่ใช่หรอกแม่นางคนงาม เพียงแต่พวกข้าอยากทราบว่าใครคือแม่นางเหมยซาน”
“อ๋อ แม่นางเหมยซานคือคนงามอันดับหนึ่งของที่นี่แหละเจ้าค่ะ วันนี้เห็นเถ้าแก่เนี้ยบอกว่านางลานะเจ้าคะ”
“อ้าว.หรอกหรือ ไหนเถ้าแก่เนี๊ยเพิ่งแจ้งกับพวกข้าว่านางมาดีดพิณ แล้วจะลากลับอย่างไรเล่า "
“อ๋อ... คงเป็นเช่นนั้นกระมังเจ้าคะ นางก็เป็นแบบนี้บ่อยเจ้าค่ะ สักครู่นางก็จะขึ้นแสดงแล้ว” คณิการีบเปลี่ยนความคิดทันทีเพราะรู้ได้ว่านางจะทำเสียเรื่องไม่ได้ เอาเถอะเหมยซานก็เหมยซาน คนเสียชื่อไม่ใช่นางก็แล้วกัน คณิการีบยิ้มเอาอกเอาใจทันที
“จะใช่นางรึ” เสียงเรียบของฉีเทียนเหล่ยเอ่ยถามแต่บางอย่างกดดันหญิงสาวนั่นจนตอบตะกุกตะกัด
“ใช่สิเจ้าคะ เหมยซานมาแล้วนั่นไงเจ้าค่ะ”