วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเมื่อต้นหอมเอาแต่กังวลว่าจะถูกจู่โจมจีบจากคนร่วมบ้าน แต่ความจริงแล้วมันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย กิจวัตรของกัษษภาคย์ยังคงเหมือนเดิมคือตื่นเช้าไปทำงานและกลับห้องมาในช่วงหัวค่ำ จากนั้นก็ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน แต่บางคืนก่อนนอนที่เขาเกิดมีเรื่องขี้น้อยใจตามประสาคนฮอร์โมนไม่คงที่ก็จะมานั่งกอดกันก่อน หรือถ้าวันไหนเขาฝันร้ายตอนนอนกลางวันฝ่ายอัลฟ่าก็จะมานอนเฝ้า บางทีก็เดินกลับห้องตอนดึก หรือบางคืนก็เนียนนอนข้างกันไปจนเช้า
ถึงจะตื่นทีหลังตลอด แต่ก็รู้เพราะช่วงหลังเขาชอบปวดท้องเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน เวลาตื่นมากลางดึกก็เจอคนนอนกอดอยู่หลวม ๆ เสมอ
รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวกันจริง ๆ ไม่มีอะไรค่อยเป็นค่อยไปเลยสักนิด
โอเมก้าน้อยมองหน้าตัวเองในกระจกอีกครั้ง ตอนนี้ตัวก็อวบอ้วนแถมยังมีสิวขึ้นตามใบหน้า แต่นั่นก็ยังไม่แย่เท่ากับความจริงที่ว่าเขาอยู่คนละสังคมกับคุณชายคนนั้น แม้ใจหนึ่งจะคิดว่าไม่เป็นไร ขอตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้ก่อน แต่อีกใจก็อดกลัวอนาคตที่ยังมาไม่ถึงไม่ได้
วักน้ำล้างหน้าให้สายน้ำเย็นชะล้างเอาความขุ่นข้องหมองใจออกไป เดี๋ยวนี้เขาไม่อาเจียนแล้ว จะมีก็แต่อาการอยากอาหารไม่จบไม่สิ้น ลามไปจนถึงอยากกินอะไรแปลก ๆ อย่างเช่นพิซซ่าหน้าเป็ดย่างร้านสุกี้ หรือคุกกี้เนยจิ้มกับน้ำปลาหวาน
แน่นอนว่าบางอย่างกัษษภาคย์ก็ยอมตามใจ แต่บางอย่างที่ขอแล้วเขาไม่ได้กินก็มี อย่างเช่นเปลือกฟักทองดิบที่ถูกหั่นทิ้ง ต้นหอมเสียดายเหลือเกิน
“ต้องฮึบดิหอม” เขาบอกตัวเองเบา ๆ พลางก้มมองท้อง ขนาดตอนนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงบ็อกเซอร์ย้วย ๆ แล้วยังรู้สึกอึดอัด หวังว่าจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าเจ้าแฝดเจริญเติบโต
ต้นหอมแยกผ้าสีและผ้าขาวออกจากกันก่อนจะตัดสินใจซักผ้าขาวที่มีมากกว่า เขาใส่แคปซูลซักผ้าลงในถังและเทน้ำยาปรับผ้านุ่มตามลงไปในช่องเฉพาะ พยายามอดกลั้นอย่างมากไม่ให้ตัวเองแตะนิ้วลงไปชิม เขาไม่ได้บอกใครว่ามีความรู้สึกอยากลองกินน้ำยาปรับผ้านุ่มมาสักพักแล้ว
โอเมก้าหนุ่มเสิร์ชหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมามากเพราะมีเวลาว่างเยอะ พบว่านี่เป็นอาการปกติของคนตั้งครรภ์ บางคนอยากกินดินกินทราย แปลกกว่าเขาตั้งเยอะ เพราะอย่างนั้นจึงไม่อยากพูดออกไปให้กัษษภาคย์ต้องร้อนรน ดีไม่ดีจะนัดหมอประสาทให้เขาแทนนัดของหมอสูติฯ ไปอีก
หลังจากนั้นก็เป็นการเดินดูดฝุ่นในบ้าน แต่ก็ทำได้ไม่นานเพราะเริ่มปวดหลัง จึงมานั่งพักกินซีเรียลกับนมสำหรับคนท้อง เปิดโทรทัศน์ดูรายการบันเทิงที่สุ่มช่องขึ้นมา ดูไปจนเครื่องซักผ้าส่งเสียงเตือนถึงได้ขยับ แม้จะง่วงแต่ก็คิดว่าจะตากผ้าให้เสร็จ ๆ แล้วนอนสักงีบ
ทว่าพอเปิดประตูออกไปนอกระเบียงก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นเมฆฝนตั้งเค้า หัวใจเริ่มโทษตัวเองที่ซักผ้าอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ
ต้นหอมยกหูโทรศัพท์หาคนที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ แต่รออยู่นานสองนานอีกฝ่ายก็ไม่รับ เขาจึงตัดสินใจโทรหาเลขาฯ อีกฝ่ายแทน
“สวัสดีครับคุณหอม มีอะไรด่วนหรือเปล่าครับ”
“ถ้าไม่ด่วนจะวางเหรอครับ”
“ม… ไม่ใช่อย่างนั้นครับ”
“ผมซักผ้าแล้ว แต่เหมือนฝนมันจะตก”
“ครับ”
“ต้องทำยังไงครับ”
“เอ่อ…” ปลายสายตะกุกตะกัก “มีเครื่องอบผ้าไหมครับ”
“ไม่มีครับ”
“อย่างนั้นตากไว้ก่อน ถ้าฝนตกค่อยเก็บดีไหมครับ”
“ถ้าผมเก็บไม่ทันล่ะครับ วันนี้ซักผ้าขาวด้วย ต้องเปื้อนแน่ ๆ”
“อย่างนั้นค้างไว้ในเครื่องก่อนดีไหมครับ”
“มันก็จะเหม็นอับ ต้องซักใหม่อีกรอบอยู่ดี”
“คุณต้นหอมอยากให้ผมทำยังไงครับ” สุดท้ายแอมป์ก็ต้องถามออกไปตามตรง
“ใช่ไหมล่ะครับ มันไม่มีทางออก” ต้นหอมเสียงเริ่มสั่น “ผม… อยากคุยกับคุณภาคย์”
“คุณภาคย์ยังประชุมไม่เสร็จเลยครับ”
“แล้วเมื่อไรจะเสร็จครับ”
“อาจจะอีกชั่วโมง… หรือครึ่งชั่วโมง”
“ครับ”
“ครับ?” แอมป์งงนิดหน่อยที่อยู่ ๆ คนที่อารมณ์แปรปรวนก็เหมือนจะว่าง่ายขึ้นมา
“ถ้าเขาประชุมเสร็จแล้วบอกให้เขาโทรกลับด้วยนะครับ ขอบคุณครับ แล้วก็ขอโทษที่รบกวน”
ต้นหอมวางสาย ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบ ๆ เจ้าตัวนั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ทานข้าวอย่างสับสน ใจหนึ่งก็รู้ว่าตัวเองกำลังงี่เง่า แต่อีกฝั่งก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ได้แต่ขยี้ผมอย่างหงุดหงิด
มันก็แค่ฝน เขารู้ แต่ความรู้สึกที่ว่าผิดพลาดตั้งแต่เริ่มวันใหม่เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเอาเสียเลย พานไปนึกถึงว่าถ้าปล่อยให้เป็นแม่บ้านมืออาชีพคงจะดีกว่า กัษษภาคย์ต้องใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวไปทำงานทุกวัน แล้วเขาดันมาทำพังแบบนี้อีก ต้องทะเลาะกันแน่ ๆ แล้วครอบครัวที่ยังไม่ทันได้สร้างก็จะพังลง ไหนจะนิสัยขี้แยนี่อีก ใช้ไม่ได้เลย
“มึงมันแย่ต้นหอม”
เสียงสะอึกสะอื้นคนเดียวสะท้อนในห้องกว้างยิ่งทำให้รู้สึกอ้างว้าง ถ้าเพียงแค่จะมีใครสักคนอยู่ข้างเขาในตอนนี้ อะไร ๆ มันคงดีขึ้นไม่มากก็น้อย
ไม่รู้ตัวเลยว่าร้องไห้นานขนาดไหน จนเสียงเรียกเข้าดังขึ้นนั่นแหละถึงได้สะดุ้ง เขากดรับโดยไม่ทันได้มองชื่อ สูดน้ำมูกไปพูดสวัสดีไป
“นายร้องไห้ทำไม”
ต้นหอมชะงัก ดึงมือถือออกมาดูชื่อที่หน้าจอแล้วจึงเพิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายวิดีโอคอลมา ตอนนี้สภาพเขาที่หน้าแดงน้ำมูกไหลจึงถูกฉายออกมาเต็ม ๆ
“หอม ใครทำอะไร” กัษษภาคย์ถามอย่างร้อนรน ถึงจะรู้เรื่องจาก
เลขาฯ มาบ้างแต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้
“มาหาหน่อย” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะกลั้นเสียงสะอื้น “มันแย่มาก”
“อะไรแย่”
“ไม่รู้” ต้นหอมเสยผมอย่างสิ้นหวัง “เป็นอะไรไม่รู้”
“โอเค ใจเย็น ๆ ก่อน” กัษษภาคย์เองก็ร้อนรนตาม รอบก่อนที่ไปหาหมอมาด้วยกันหมอก็บอกให้เขาดูแลสภาพจิตใจคุณแม่ให้ดี แต่จะให้ทิ้งงานไปตั้งแต่เที่ยงแบบนี้…
“ตอนบ่ายมีแค่ video conference คุณภาคย์ประชุมจากที่บ้านก็ได้นะครับ”
เสียงเลขาฯ แทรกเข้ามายิ่งทำให้ต้นหอมสะอื้นหนัก เขาไม่อยากเป็นภาระใคร
“ไม่เอา ไม่ต้องมา ทำงานไป ๆ” แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็หวังว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่เป็นไรแล้วรีบกลับมาหา
แต่กัษษภาคย์กลับตอบแค่ว่าดูแลตัวเองดี ๆ อย่าออกจากห้อง แล้วก็วางสายไป
ให้มันได้อย่างนี้สิโว้ย
ชายหนุ่มยืนถอนหายใจอยู่พักใหญ่ที่หน้าห้องพักตัวเอง ในมือถือถุงบรรจุอาหารจากหลายร้าน มีทั้งพิซซ่า เป็ดย่าง เกี๊ยวซ่าทอด และอีกหลายอย่างที่พอจะคุ้นว่าอีกฝ่ายเคยบ่นว่าอยากกิน
ที่ไม่ได้รีบกลับมาหาทันทีก็เพราะว่ามัวแต่เคลียร์งานและหาซื้อของมาเอาใจนั่นแหละ
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้อง ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือคนตัวเล็กนั่งกอดเข้าอยู่บนโซฟาหน้าทีวีแต่ไม่ได้เปิดรายการอะไรไว้ ในมือถือแอปเปิลที่กัดไปนิดเดียวและรอบ ๆ ก็มีเสื้อผ้าเขากระจายอยู่เต็มไปหมด
ต้นหอมเองเมื่อหันมาเห็นว่าใครเข้ามาก็รีบโผเข้ามากอด แต่แป๊บเดียวก็ผละออกมามองคนที่ไม่ยอมกอดกลับเพราะในมือมีแต่ของพะรุงพะรัง
“วาง” คนเด็กกว่าสั่งอย่างนั้นก่อนจะเข้าไปตะครุบเอวอัลฟ่าไว้แน่น“รีบกลับมาแบบนี้... คุณชอบผมแล้วอ่ะดิ” เสียงเล็กพูดอู้อี้เพราะเอาแต่ฝังหน้าอยู่กับไหล่กว้าง
“อืม” กัษษภาคย์ลูบหัวอีกฝ่าย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหก
“แต่งงานกันเลยไหม”
“ทำไมรีบจัง” ชายหนุ่มหัวเราะ “วันก่อนยังเอาแต่วิ่งหนีอยู่เลย”
“กลัวคุณเปลี่ยนไป ชอบตอนประมาณนี้” ต้นหอมถอยออกมามองหน้าคนตัวโต “ผมไม่เคยคิดจะชอบใครเลย แต่ตอนนี้ดันอยากมีคุณ”
กัษษภาคย์ที่ไม่รู้จะตอบอะไรได้แต่ยิ้มกว้าง ถึงจะเป็นเวลาสั้น ๆ ที่อยู่ด้วยกันแต่ต้นหอมก็เปลี่ยนวิถีชีวิตน่าเบื่อของเขาไปจนหมดสิ้น ความจริงใจ คิดอะไรก็พูดนั่นเป็นจุดที่ทำให้เขาสบายใจเวลาอยู่ด้วย ห้องกว้างที่จืดชืด
ไร้สีสันก็กลับมามีชีวิตชีวา แน่นอนว่าถึงจะป่วนไปหน่อยแต่ก็สนุก คนแรกที่ทำให้เขาอยากเลิกงานแล้วรีบกลับบ้านมาหาก็มีแค่คนคนนี้
“เรื่องแต่งงาน…” ชายหนุ่มพูดขึ้นมา “ฉันคงต้องรอให้ที่บ้านยอมรับนายก่อนค่อยคิด”
“ผมล้อเล่น” ทว่าต้นหอมกลับให้รอยยิ้มเศร้าเป็นคำตอบ “เรามามีความสุขด้วยกันไปจนถึงวันที่ต้องแยกกันก็พอ”
“ทำไมพูดอย่างนั้น” เขาฉุดข้อมือคนที่ทำท่าจะเดินหนีกันเอาไว้
“ผมบอกแล้วไงว่าที่บ้านคุณไม่ยอมรับผมหรอก”
“แต่นายก็ยังตอบตกลง ที่บอกว่าจะลองสร้างครอบครัวกัน”
“ก็ผมชอบคุณนี่ แล้วคุณก็ชอบผมด้วย มันก็ต้องคบกันใช่ไหม” คนเด็กกว่าก้มหน้าลง “แต่ผมไม่อยากให้คุณสัญญา เพราะมันจะทำให้ผมหวังไปกันใหญ่ว่าวันนั้นจะมีจริง”
“ฉันจริงจังนะ”
“ผมก็ไม่ได้เล่น” ต้นหอมยิ้มเศร้า “เพราะงั้นถึงบอกให้เอ็นจอยช่วงเวลานี้เอาไว้ พอถึงตอนนั้น ตอนที่มันสุดทางแล้วจริง ๆ จะได้มีความทรงจำดี ๆ ให้นึกถึงไง”
“งั้นมาสัญญากัน ว่าหลังจากนี้จะไม่พูดเรื่องนับถอยหลังอะไรอีก ได้ไหม”
“อือ”
“ถ้าอย่างนั้น…” กัษษภาคย์ช้อนตัวคนเด็กกว่าขึ้นอุ้มก่อนจะพาไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว “กินอะไรดี มีพิซซ่า เป็ดย่าง เกี๊ยวซ่า นายอยากกินอะไรที่สุด”
“ตอนนี้ผมอยากกินน้ำยาปรับผ้านุ่ม”
“ฮะ?”
“อยากมาสักพักแล้ว” คนเด็กกว่าเลียริมฝีปาก “มันหอม แล้วก็ดูนุ่มนวล”
“แต่มันอันตราย”
“คิดว่าผมไม่รู้หรือไงเล่า ถึงได้อดใจอยู่นี่” ต้นหอมโน้มตัวลงคุ้ยดูของในถุงแทน “โอ๊ะ พิซซ่า”
“ชอบไหม”
“หน้าอะไร” ถามพลางเปิดกล่องออกมา และก็ยิ้มกว้างเมื่อเป็นหน้าที่มีแต่เนื้อและไส้กรอก ไร้ผักสีเขียวที่อยู่ ๆ ก็ไม่อยากจะกินขึ้นมา
“กินกัน” เขาชวนอีกครั้ง
“ครับ”
“อย่าครับบ่อยดิ ใจสั่น”
“ก็ตั้งใจให้สั่นนะ”
“เหอะ” เบะปากใส่คนแพรวพราวแล้วก็หย่อนตัวนั่งลากถาดพิซซ่ามาใกล้ ๆ และหยิบเจ้าแป้งอบรูปสามเหลี่ยมขึ้นมาโดยไม่รอ
“อร่อย” เขาพูดขึ้นทันทีหลังกดไปคำหนึ่ง “ไม่กินเหรอ หรือว่ารอให้ป้อน”
“จะป้อนไหมล่ะ”
“ก็มาดิ” เขาลุกขึ้นปีนโต๊ะข้ามไปหาคนตรงหน้า เอียงหน้าเอียงคอทำหน้าตาน่ารักอย่างเสแสร้ง คิดว่าตัวเองเป็นแม่แมวแสนเซ็กซี่และคนมองต้องมีชะงักไปบ้างแหละ
ต้นหอมขยับหน้าเข้าไปใกล้ กระซิบข้างหูคนที่ยังคงนั่งนิ่ง
“ผมมาป้อนถึงที่แล้วนะ อยากเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ” พูดจบก็แกล้งเป่าลมใส่หูคนแก่กว่าพลางหัวเราะคิกคักที่ทำให้อีกคนขนลุกได้ กำลังจะเคลื่อนตัวกลับมาอยู่แล้วถ้าไม่ใช่ว่าปลายคางถูกยึดเอาไว้ก่อน
“ตรงไหนดีนะ” กัษษภาคย์ถามกลับ เพราะมุมที่นั่งอยู่ต่ำกว่าทำให้เขาต้องเอียงคอเล็กน้อยเพื่อสบตาคนน้อง
ดวงตากลมโตยังคงแฝงแววท้าทาย แต่ท่าทางที่เม้มปากนั่นก็แสดงให้เห็นถึงความประหม่า
อาจเพราะเห็นเขาเอาแต่มองริมฝีปากนั้นเจ้าตัวถึงได้ค่อย ๆ คลายปากที่เม้มอยู่ออก ไหนจะยักคิ้วท้าทายเหมือนกับกำลังบอกว่าถ้ากล้าก็ให้เข้ามาจูบ มุกตื้น ๆ แบบนั้นใครจะยอมหลงกลตกลงไปกัน
“อ๊ะ คุณ!”
ต้นหอมขืนตัวกลับมานั่งดี ๆ ก่อนจะตะครุบลำคอของตัวเองที่เพิ่งจะโดนเลียเอาไว้ด้วยความตกใจ
ใช่ ตาอัลฟ่านี่แตะลิ้นลงบนลำคอเขา
อยากจะกรี๊ด
“ไม่พอใจเหรอ หรืออยากให้กินที่อื่น”
“กินข้าวไปดี ๆ เลย!”
“พรุ่งนี้มีนัดหมอนะ คุณไม่ลืมใช่ไหม” ต้นหอมพูดขึ้นขณะนั่งเช็ดผมอยู่บนเตียง
“ไม่ลืม เดี๋ยวฉันมารับหลังเลิกงาน”
“ผมไปทำงานด้วยได้ไหมพรุ่งนี้”
“จะตื่นเหรอ”
“คุณก็ปลุกสิ กลัวอยู่บ้านแล้วเผลอกินน้ำยาปรับผ้านุ่ม”
“นายก็อย่ากินสิ” อัลฟ่าหนุ่มขมวดคิ้ว ชะงักขาที่กำลังจะเดินเข้าไปอาบน้ำ
“ก็ห้ามใจอยู่” ว่าจบก็นอนกลิ้งไปมาทั้งที่ผมยังไม่แห้งดี “น่าเบื่อ อยากออกไปข้างนอกบ้าง เสาร์อาทิตย์นี่คุณจะต้องไปทำงานมันทุกวันเลยหรือไง”
“ก็เวลาอยู่บ้านฉันไม่มีสมาธิคิดงานนี่”
“แล้วจะต้องคิดอะไรขนาดนั้น บริษัทมันไม่เจ๊งง่าย ๆ หรอกน่า”
กัษษภาคย์ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเปลี่ยนมานั่งข้างกันบนเตียง ท่าทางเขาจะไม่ถูกปล่อยตัวไปอาบน้ำเร็ว ๆ นี้
“นายรู้ไหมว่าบริษัทฉันทำอะไร”
“ไม่รู้”
“ไม่เคยคิดอยากหาข้อมูลเลยเหรอ”
“มันดูละลาบละล้วงนี้”
“ยังจะมาเกรงใจอะไรกันอีก” กัษษภาคย์ส่ายหน้า “บ้านฉันทำอาหารแปรรูป”
“พวกบะหมี่กึ่งเหรอ”
“เปล่า พวกไส้กรอก อาหารกระป๋องน่ะ”
“อ๋อ อ่าฮะ แล้วยังไง อุตสาหกรรมอาหารก็เป็นปัจจัยสี่ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลว่าจะถูก disrupt นี่”
“ทำไมอยู่ ๆ ก็ฉลาด”
“ผมเรียนจบบัญชีนะ เผื่อไม่รู้” ต้นหอมย่นจมูก
“โอเค ๆ ที่นายพูดมาก็ไม่ผิด แต่ในทางปฏิบัติมันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพราะอาหารที่ฉันขายไม่ใช่ของพื้นฐานอย่างข้าวหรือเครื่องปรุงที่จำเป็นต้องมีทุกบ้านหรือแม้กระทั่งในร้านอาหาร แล้วตอนนี้กระแสการกิน plant based ก็เริ่มเข้ามาแล้วด้วย ถึงธุรกิจอาหารจะมั่นคงแต่ก็ไม่เติบโต…”
“ถ้าเงินไม่พอก็ไม่ต้องมาจ่ายเงินเดือนผมก็ได้นะ”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” กัษษภาคย์ดึงชายเสื้อคนดื้อให้ขยับเข้ามาใกล้ ๆ “แต่เพราะการทำธุรกิจ ยิ่งในฐานะผู้บริหาร เราต้องคิดถึงเทรนด์ของอนาคต ไม่ใช่แค่วิ่งตามสิ่งที่กำลังเกิด เพราะฉะนั้นฉันเลยมีเรื่องต้องทำเยอะไง”
“ฟังดูเหนื่อย ไม่เห็นเหมือนในละครเลย เอาแต่เดินไปเดินมา กลัวแม่จะจับคู่ให้เลยต้องจ้างนางเอกมาเป็นแฟนหลอก ๆ”
“นี่ดูไปกี่เรื่องเนี่ย”
“หลายอยู่” ต้นหอมหัวเราะคิกคัก “ว่าแต่บ้านคุณไม่มีใช่ไหม ไอ้แบบ… ดูตัวอะไรนั่น”
“ถ้ามีจริงฉันคงไม่ตกมาถึงนาย”
“นี่ก็แขวะกันเก่ง” เขาผลักอกอัลฟ่าออก “แล้วก็ไปอาบน้ำซะที มาโชว์โป๊อยู่ได้”
“โป๊ตรงไหน ผ้าเช็ดตัวก็นุ่งอยู่” เขาชี้ให้ดูผ้าที่พันเอวปิดส่วนล่างเอาไว้ คิดว่าจะได้เห็นสีหน้าเขิน ๆ ทว่ากลับถูกกลอกตาใส่
“อวดซิกซ์แพ็กเหรอ คอยดูเถอะนะ เดี๋ยวคลอดแล้วผมจะฟิตบ้าง”
“ครับ ๆ แต่ตอนนี้กินให้อ้วนไปก่อนนะ”
ตีกันอยู่อีกครู่หนึ่งต้นหอมก็ปล่อยเขาไปอาบน้ำในที่สุด พอออกมาจากห้องก็เจอคนนอนสะลึมสะลือ ปิดไฟในห้องหมดเหลือแต่โคมหัวเตียง
“ง่วงก็นอนก่อนเลยสิ ไม่เห็นต้องรอ”
“ตื่นเต้น ไม่อยากไปหาหมอพรุ่งนี้”
“อะไรกัน” คนแก่กว่าหัวเราะ “เจอกันมาตั้งสองครั้งแล้ว”
“แล้วต้องเจอกันไปอีกตั้งห้าหกครั้ง”
“เขาก็ไม่ได้ดุอะไรนี่”
“ก็คุณไม่ได้ไปกับผมนี่” เพราะแสงไฟค่อนข้างสลัว เขาจึงไม่ทันได้เห็นสีหน้ากังวลของต้นหอม “ในเน็ตเขาบอกว่าช่วงสี่เดือนลูกจะเริ่มดิ้นด้วย”
“แต่นี่ยังไม่เข้าเดือนที่สี่เลย”
“เขาบอกว่าถ้าเป็นแฝดจะรู้สึกได้เร็วกว่านั้น แถมยังฟังเสียงหัวใจลูกได้ด้วย”
กัษษภาคย์ชะงักมือที่กำลังติดกระดุมเสื้อนอน
“ฟังเสียงหัวใจเหรอ”
“อืม รอบก่อนที่ไปกับคุณแอมป์หมอก็บอกว่าได้ยินตั้งแต่ตอน
อัลตราซาวด์แล้ว แต่รอบหน้าให้พาพ่อมาด้วย เพราะจะมีเครื่องที่ใช้ฟังได้
ชัด ๆ”
“...”
“นี่ อย่าเงียบสิ”
“ฉันตื่นเต้น…” กัษษภาคย์ครางในลำคอก่อนจะรีบกระโดดขึ้นเตียง แอบได้รับสายตาดุกลับมาที่ทำกองรังขยับ แต่สุดท้ายต้นหอมก็ถอนหายใจ ยอมกวาดเสื้อผ้าลงจากเตียง
“คืนนี้นอนกับตัวจริงก็ได้ ช่างแม่งเสื้อผ้า จะเอาไปซักให้หมดเลย”
“ยังโกรธฝนอยู่เหรอ”
“ก็แล้วทำไมมันต้องทำเหมือนจะตกแต่ไม่ยอมตกล่ะ”
“โอ๋ ๆ นะ คุณแม่”
ต้นหอมมองข้ามคำพูดนั่นแล้วเอาหัวไปถูไถกับบ่ากว้าง กลิ่นสบู่อ่อน ๆ ผสมกับกลิ่นกายหวานเย็นคล้ายพิมเสนหอม ๆ เหมือนช่วยขับกล่อม คลายความกังวลทั้งหลายของเขา
แต่มันก็แอบให้ความรู้สึกเซ็กซี่นิด ๆ ด้วย
“ผมรู้สึกเหมือนความสัมพันธ์พวกเรามันข้ามขั้นยังไงไม่รู้” โอเมก้าว่า “ถ้าตอนนั้นผมขายให้คุณจะเป็นยังไงนะ”
“นั่นสินะ” อัลฟ่าคิดตาม “ลองไหม”
“อะไร”
“ลองขายให้ฉัน”
“คุณก็รู้นี่ว่าผมไม่ขาย” ต้นหอมเริ่มเอาขามาก่ายกัน “แต่ผมแถมให้คุณได้นะ”
พูดจบก็ตวัดขาขึ้นคร่อมคนแก่กว่า สองมือลูบไล้ไปตามบ่ากว้าง วิญญาณเด็กบาร์เริ่มเข้าสิงอีกครั้งทั้งที่ท้องป่อง
กัษษภาคย์ยอมรับว่าตกใจ แต่เขาก็จะไม่ยอมเสียเชิงต่อหน้าคนเด็กกว่า มือหนาเลื่อนขึ้นประคองเอวคนด้านบน อาจเพราะเวลาปกติเขาไม่ได้ทำตัวอันตรายให้เห็น อีกฝ่ายจึงอาจลืมไปได้ว่าเขาเองก็เป็นอัลฟ่า
เป็นกองไฟที่ไม่ควรแหย่ขาเข้าไปเล่น ๆ
ระหว่างทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงสายตาที่ประสานส่งผ่านคำพูดนับล้าน
มือของกัษษภาคย์ยังอยู่ที่เดิม แต่ประกายหวานในแววตาของคนด้านบนกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากจะดันบรรยากาศให้ร้อนแรงขึ้น มีเพียงแต่ความรู้สึกที่อยากเรียนรู้ ปกป้อง ทะนุถนอมกันต่อไป
“ทำไมชอบทำเป็นเก่ง” เขาว่าเบา ๆ ขณะไล้มือไปตามแผ่นหลังบาง
“หมายถึงอะไร”
“ก็ดูสิ” อัลฟ่าหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปตามพวงแก้มสีเรื่อ “ตัวก็แค่นี้”
“ตัวแค่นี้แล้วยังไง”
“ไม่เห็นต้องทำงานหนักเลย”
“วันนี้คุณเป็นอะไรเนี่ย” ต้นหอมทำท่าจะลุกลงจากตักแต่เขายังคงรั้งเอาไว้
“วันนี้ฉันได้คุยกับเปรม โทรไปถามเขามาว่านายชอบกินอะไรบ้าง” เขาเกริ่น “ก็เลยรู้ว่านาย… ค่อนข้างลำบาก”
“ชีวิตใครก็ลำบากทั้งนั้นแหละ” คนเด็กกว่าเบะปาก “นี่คุณไม่ได้มาชอบเพราะสงสารใช่ไหม”
“มันเกี่ยวกันยังไงก่อน” เขาส่ายหน้า ทั้งเอ็นดูทั้งขำ
“ก็คุณชอบทำเหมือนสงสาร”
“แล้วสงสารไม่ได้เหรอ แต่มันก็คนละเรื่องกับการชอบกันนี่”
กัษษภาคย์โน้มคอคนเด็กกว่าลงมาใกล้ “ถ้าฉันต้องรู้สึกอยากจูบทุกคนที่น่าสงสาร… ปากคงไม่เหลือมาถึงนายแล้วมั้ง”
“หึ ปากดี” โอเมก้าหนุ่มเลื่อนมือขึ้นประคองใบหน้าได้รูปของคนที่เขานั่งทับอยู่ พินิจมองดวงตาสีเข้มที่มองมาอยู่ก่อนแล้วจึงค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปที่ริมฝีปากได้รูปสีอ่อน เขาเองก็ยังลังเลว่าควรก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้หรือไม่ แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนเดินข้ามไปข้ามไปมาจนสะดุดล้มไปหลายรอบแล้วก็เถอะ
แต่กัษษภาคย์ไม่อยากรอแล้ว จึงเป็นฝ่ายเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ เขาจำได้ดีว่าต้นหอมไม่ขายและไม่เคย เพราะอย่างนั้นจึงไม่อยากปุบปับให้อีกคนตกใจ แค่ปฏิกิริยาตอนโดนเขาเลียคอเมื่อตอนกลางวันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอีกคนไม่ได้เจนจัดอย่างที่แสดงออกเลยสักนิด จึงค่อย ๆ เริ่มจากจูบที่ปลายคาง ก่อนจะไล่ขึ้นมาตามกรอบหน้าและมุมปากในที่สุด
เขาพยายามลูบหลังลูบท้ายทอยอีกคนให้ผ่อนคลาย หน้าท้องที่นูนออกมาเป็นอุปสรรคนิดหน่อยไม่ให้เบียดตัวแนบชิดกันได้ ทว่าก็เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่ดียามมีพยานรักตัวน้อย ๆ คั่นตรงกลางถึงสองคน
กัษษภาคย์คลอเคลียริมฝีปากเล็กเพียงภายนอกอยู่สักครู่จึงเริ่มขบเม้มเบา ๆ อีกฝ่ายเองก็เริ่มโอนอ่อนตามถึงได้ยอมเปิดปาก
ทว่าชายหนุ่มไม่ได้แทรกลิ้นเข้าไปในทันที เขายังคงหยอกล้อกับริมฝีปากบนล่าง จูบซับไปตามมุมปากทั้งสอง รอจนรู้สึกว่าโอเมก้าจิกไหล่เขาแน่นขึ้นนั่นล่ะถึงได้เริ่มเอาจริง
ฝ่ายอัลฟ่ารุกล้ำเข้ามาในโพรงปากหวาน เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของกันและกัน แต่มันก็เป็นครั้งแรกที่ได้จูบกันตอนมีสติดี ที่เคยจินตนาการความหวามไหวทั้งหมดเทียบไม่ได้เลยกับของจริงที่เล่นเอาช่องท้องของเขาปั่นป่วนไปหมด
จำใจต้องผละออกมาเมื่อถูกทุบ ต้นหอมหอบจนหน้าแดงไปถึงหู ไม่รู้ว่าหายใจไม่ออกเพราะยังจูบไม่เก่งหรือเอาแต่กลั้นหายใจเพราะเขิน
“ทีนี้รู้หรือยังว่าไม่ได้ทำเพราะสงสาร” กำลังจะอ้าปากตอบเสียงนุ่มทุ้มก็พูดต่ออย่างอารมณ์ดี
“ถ้ายังไม่รู้ก็จะทำให้รู้อีกรอบ”