พ่อบ้านจูส่ายหน้าไปมา เขาอับอายกับหลานสาวห่างๆ คนนี้นัก แต่จะทำอย่างไรได้ ภรรยาของเขาบังคับขู่เข็ญให้รับนางมาทำงานในจวน หากวันหน้าได้ดี ทั้งสองก็พลอยได้ดีไปด้วย แต่นางมาอยู่ที่นี่ครึ่งปีแล้ว ทั้งพยายามปีนป่ายขึ้นเตียงองค์ชายสามนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ถูกองค์ชายสามขับไล่ก็นับว่าบุญแล้ว
“พ่อบ้านจู ให้คนเตรียมสุราอาหารไว้ที่ห้องตำรา ข้ากับที่ปรึกษาหานจะไปที่นั้น”
“ขอรับท่านแม่ทัพซุน” เนื่องจากซุนเจ้าเฟิงไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่าองค์ชาย แต่ยินดีให้เรียก ‘ท่านแม่ทัพซุน’ ซุนเจ้าเฟิงประจำการที่ชายแดนมาสามปี ทุกคนจึงคุ้นชินกับคำเรียกขานนี้
“ตัวข้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยกินข้าวดื่มสุราและคุยงานกันต่อที่ห้องตำรา” ซุนเจ้าเฟิงตบบ่าหานหรงเหยา
“ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่เรือนของตน
ซุนเจ้าเฟิงมองแผ่นหลังของสหายรักเผลอถอนหายใจอีกครั้ง คุณชายรองแห่งตระกูลหานแม้ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมดุจไข่ในหิน แต่ในวัยเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กจึงซุกซนและเข้ากันได้เป็นอย่างดีจึงกลายเป็นสหายรักกัน แต่เดิมหานหรงเหยามิใช่คนเย็นชาเช่นนี้ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน หลัวซู่เหมย บุตรสาวภรรยาเอกใต้เท้าหลัวเสนาบดีกรมพระคลัง นางเป็นเด็กหญิงที่มีแววงดงามตั้งแต่อายุยังน้อย ตระกลูหลัวเชิญอาจารย์เก่งกาจให้สอนดนตรีและศิลปะแขนงต่างๆ แต่เพราะตระกูลหลัวและตระหานสนิทสนมกันมาหลายชั่วอายุคน เด็กๆ จึงพลอยได้สนิทกันไปด้วย ภาพคุณชายรองกับคุณหนูหลัวซู่เหมยยามเคียงข้างกันนั้นงดงามดุจภาพวาด เด็กหนุ่มเติบโตเป็นชายหนุ่มงามสง่า เด็กหญิงเติบโตเป็นหญิงสาวแสนงาม หลังจากเขาตัดสินใจเข้ากองทัพไม่นานก็ได้ยินว่าข่าวงานมงคล ทว่ากลับไม่ใช่สหายรักของเขาแต่กับเป็นหานลี่จู พี่ชายของหานหรงเหยา
และที่น่าปวดใจยิ่งกว่า หลัวซู่เหมยก็เต็มใจแต่งงานกับหานลี่จู
นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้หานหรงเหยาไม่เคยยิ้มอีก และทำให้เดินทางถึงเมืองผิงเหยา เพราะรู้ถึงปัญหาจึงไม่เอ่ยถามอะไร ฐานะของเขาสามารถดูแลสหายได้ แต่หานหรงเหยามิได้อยู่ที่นี่ทิ้งชีวิตไปวันๆ ยังช่วยวิเคราะห์วางแผนเส้นทาง เป็นกุนซือหรือที่ปรึกษาในกองทัพ แต่ไม่ว่าอย่างไร หานหรงเหยาผู้มีใต้ใบหน้าดุจแผ่นน้ำแข็งก็ยังชอบพูดจาหยอกล้อประชดประชัน มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่จางหายไป
หลังจากอาหารมื้อเย็นผ่านไป ชายหนุ่มทั้งสองนั่งดื่มสุราสนทนาเรื่องราวทั่วไป จูอี้ซินที่คอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ถูกไล่ให้ออกไป แม้ใจนางอยากอยู่ใกล้ แต่ด้วยมารยาทและรู้หน้าที่จึงได้แต่จำใจเดินออกมา
“ลมหนาวพัดผ่านมาอีกคราวแล้วสินะ”
“มันก็เป็นเช่นนี้ทุกปีนั้นแหละ” หานหรงเหยาเอ่ยแล้วรินสุราให้สหาย
“นาง...เป็นพี่สะใภ้ของเจ้ามาสามปีแล้ว ยังตัดใจไม่ได้อีกหรือ? แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะกลับไปเป็นหานหรงเหยาคนเก่า ทางที่ดีหาสตรีตบแต่งเป็นภรรยาสักคนสิ”
“เจ้ายังไม่แต่งภรรยา ข้าก็ยังไม่เคยเดือดร้อนแทนเจ้า”
“เจ้านี่มันหัวแข็งชะมัด! เออ! ได้ยินว่าหอชมบุหลันหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองมีหญิงงามมาใหม่เป็นที่กล่าวถึงมากยิ่งนัก ข้าว่าจะชวนเจ้าไปพิสูจน์เสียหน่อย”
คนถูกชวนเลิกคิ้วขึ้นแล้วแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ “เจ้าอยากไปก็ชวนลูกน้องไปเถิด ข้าไม่ค่อยถูกชะตากับสถานที่แบบนั้น”
“ยังไม่ได้ไปแล้วตัดสินว่าไม่ถูกชะตามันไม่ถูกต้องนะ” ซุนเจ้าเฟิงตบเข่าเสียงดัง “ข้าเองได้ยินว่ามีสาวงาม ยังต้องไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาเลย”
หานหรงเหยาได้แต่โคลงศีรษะไปมา แต่เขาก็รู้นิสัยดึงดันของซุนเจ้าเฟิงดี ยิ่งปฏิเสธก็หาทางลากไปให้ได้ เช่นนั้นแล้วเขาจึงได้แต่ยอมทำตามใจสหายรัก
สายลมแห่งเหมันต์พัดผ่านลูบไล้บาดแผลในใจให้เจ็บปวดขึ้นมาอีกครา
....
หญิงสาวในชุดผ้าต่วนสีครามอ่อนหวานดุจดอกไม้ ทุกการก้าวย่างพาให้เนื้อผ้าพลิ้วไหวไปกับเรือนร่างที่เต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้ง นางดูภูมิใจกับชุดสวยที่ได้สวมและคอยดูว่าเสื้อผ้าจะเลอะเทอะเพราะความซุ่มซ่ามของตน เป็นครั้งแรกที่ได้รับอนุญาตให้แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามเช่นนี้ มือเรียวกระชับห่อผ้าที่คล้องไหล่ไว้แน่นแต่สายตากลับมองเบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ แต่กระนั้นก็มิรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเป้าสายตาของผู้อื่นเช่นกัน
หลิวเข่อซิงออกจากหุบเขาจื่อเซ่อ เป็นครั้งแรก และนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ตลาด’ นางเคยเห็นมนุษย์อยู่บ้าง ก็เฉพาะเวลาที่มนุษย์เหล่านั้นหลงเข้าไปในหุบเขา ซึ่งส่วนใหญ่จะกลายเป็น ‘อาหาร’ ของนางและบรรดาศิษย์พี่
ถูกแล้ว ‘มนุษย์’ สำหรับศิษย์พี่และท่านแม่นั้น ล้วนเป็นได้แค่ ‘อาหาร’ เท่านั้น
หญิงสาวจำไม่ได้แล้วว่าตนเองมาอยู่หุบเขาจื่อเซ่อตั้งแต่เมื่อใด หรือก่อนหน้านี้นางเคยเป็นสิ่งใดมาก่อน รู้แค่ว่าตนเป็นปีศาจจิ้งจอกแดง นางต้องได้พลังชีวิตจากมนุษย์เพื่อต่ออายุขัยของตน แต่นางยังไม่เคยออกล่าอาหารด้วยตนเอง ได้แต่คอยรับเศษพลังชีวิตที่บรรดาศิษย์พี่มอบให้ด้วยความสงสาร
นางไม่ใช่แค่ปีศาจจิ้งจอกแดงฝึกหัดเท่านั้น แถมยังเป็นขั้นต่ำที่บรรดาปีศาจตนอื่นๆ มองด้วยหางตาอย่างดูแคลน นางจึงเป็นเสมือนหญิงรับใช้คอยรับใช้ปีศาจตนอื่นในหุบเขา แต่ปีศาจทุกตนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของ ‘ท่านแม่’ บรรดาศิษย์พี่น้องล้วนถูกท่านแม่เลี้ยงดูมาทั้งสิ้น เพียงแค่ต่างที่มาแต่อยู่ร่วมกันที่หุบเขาจื่อเซ่อ นางเคยได้ยินศิษย์พี่พูดคุยกันว่า แท้จริงแล้วพวกเราควรเรียก ‘อาจารย์’ แต่ท่านแม่ไม่ชอบใจให้พวกเราเรียกนางว่าท่านแม่ ท่านแม่ใจดีมาก เรียกนางมาใช้งานก็จริงแต่ก็แบ่งปัน (เศษ)พลังชีวิตให้ นางยังไม่ประสีประสาได้แต่คอยศึกษาแอบดูศิษย์พี่ดูดพลังชีวิตจากมนุษย์
“เข่อซิง! เจ้านี่เสียชื่อปีศาจหมด”
“ทำไมหรือศิษย์พี่” นางเอียงคอถามอย่างงุนงง แต่กระนั้นทำหน้าที่กวาดลานตำหนักจื่อเซ่ออย่างขยันขันแข็ง
“เจ้าไม่รู้จักยั่วยวนบุรุษหรือไร อยู่มาเป็นร้อยปียังหากินเองไม่ได้ต้องคอยกินเศษพลังชีวิตของผู้อื่นอยู่ร่ำไป!”
“ข้า... ศึก...ศึกษาอยู่”