สามแม่ลูกเดินต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งถึงตลาดข้าวของที่ต้องซื้อยิ่งมีมาก ก่อนอื่นต้องเดินดูให้ครบทุกร้านเสียก่อน พบร้านข้าวแล้วแต่นางยังไม่ซื้อในตอนนี้อาเฉินจะได้ไม่ต้องแบกเดินตลาดให้หนัก
ทั้งสามดูผู้คนมากมายซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างสนอกสนใจโดยเฉพาะเยว่ซิน เพราะเราไม่มีเงินทุนมาก ธุรกิจแรกเริ่มของครอบครัวเราย่อมต้องเป็นการค้าขายเล็ก ๆ เสียก่อน ร้านใหญ่หลายร้อยหลายพันตำลึงทองมิใช่จะหาเงินวันสองวันก็ซื้อได้แล้ว
“จริงสิ ปลาไหลขายได้ราคาดีหรือไม่เจ้าใหญ่” เยว่ซินนึกถึงปลาไหล นางอ่านนิยายมาก็มาก ปลาไหลขายได้ราคาดีมิใช่หรือ
“ปลาไหลย่อมมีราคาขอรับ แต่ไม่ค่อยมีคนจับได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันต้องไปหาจากที่ใดขอรับรู้เพียงว่ามันอยู่ในน้ำ” มู่เฉินกล่าวอย่างละอาย ดูเหมือนท่านแม่จะคิดเรื่องการหาเงินเข้าบ้านตลอดเวลาแต่บางเรื่องเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันจึงรู้สึกไม่ดีที่ช่วยเหลือนางไม่ได้มาก
“เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้นเล่า เพราะอาถงไม่แบ่งน้ำตาลปั้นให้กินหรือ” เยว่ซินเห็นสีหน้าบุตรชายแล้วก็หาเรื่องกลั่นแกล้งอีกฝ่ายเสียหน่อย ถือเสียว่าละลายพฤติกรรมคนคิดมากก็แล้วกัน
ทันทีที่เจ้าใหญ่ได้ยินมารดาถามเช่นนั้นก็รีบโบกมือปฏิเสธ แต่ไม่ทันเสียแล้ว อาถงหันขวับมามองพี่ชายเหมือนพึ่งนึกได้ว่าเราต้องแบ่งกันนี่
“พี่ใหญ่ ข้าแบ่งให้” มือเล็กยื่นขนมหวานให้พี่ชายด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าพี่ใหม่มักปฏิเสธทั้งที่อยากกินจนเขาจำได้แล้ว วันนี้จึงไม่หลงกลพี่ชายแน่นอน น้ำตาลปั้นหนึ่งไม้ย่อมแบ่งให้พี่ใหญ่ได้อย่างไม่เสียดาย
“เจ้ากินมันแล้ว” มู่เฉินชี้ไปที่ขนมหวาน อาถงพึ่งเลียมันทั้งอันเมื่อครู่นี้เอง แต่หากพอเอ่ยเช่นนั้นผู้น้องกลับมีใบหน้าเศร้าสร้อยที่พี่ชายไม่รับของจากตน
“ท่านรังเกียจหรือ”
“มิใช่” สุดท้ายมู่เฉินก็ต้องรับน้ำตาลปั้นจากน้องชายมากัดกินโดยมีท่านแม่หัวเราะชอบใจมองเราสองคนอยู่
“ไปกันต่อเถิด ประเดี๋ยววันหน้าแม่จะหาวิธีพาพวกเจ้าไปจับปลาไหล” เสียงหวานกล่าวติดตลกพาทั้งสองเดินต่อ ผักก็มาก เนื้อก็มาก เสียงตะโกนเรียกลูกค้าดังสลับกันไปมา ทั้งลูกค้าที่เดินเที่ยวชมเหมือนจะมีทุกพื้นที่และทุกชนชั้นมากกว่าที่เห็นในเหลาอาหารเสียอีก
เดินจนสุดตลาดก็เดินกลับ ครานี้ถึงเวลาที่ต้องซื้อของใส่กระบุงแล้ว ทั้งสามเข้าร้านข้าวได้ข้าวขาวหนึ่งกระบุงน้ำหนักสิบชั่งเป็นร้านแรกเพราะอยู่ท้ายตลาด
มู่เฉินหันหลังให้พี่ชายวางข้าวใส่ในกระบุงบนหลังตนเองขณะท่านแม่กำลังจ่ายเงิน วันแรกท่านแม่ก็ทำให้เขาและน้องชายมีข้าวกินไปเป็นเดือนแล้ว
มารดาหันมายิ้มให้เราสองคนก่อนจะเดินต่อ อาถงถือขนมกินต่ออย่างเบิกบานใจไม่พูดไม่จาเช่นเดิม ส่วนของเขานั้นกินไม่หมดจึงคืนให้น้องชายช่วยกินแทน หลังจากมีขนมหวานก็ไม่เอ่ยสิ่งใดเลย ขนาดเดินยังต้องให้เขาและท่านแม่จูงเดิน ไม่เช่นนั้นคงหยุดยืนกินขนมอยู่ที่เดิมจนกว่าจะหมด
สามแม่ลูกเข้าออกร้านรวงมากมายได้ของมากนักจึงเดินกลับมาที่รถม้า เยว่ซินถือตะกร้าใส่ของช่วยบุตรชายยกวางบนเกวียนอย่างหมดแรง ได้ข้าวหนึ่งกระบุง ซอสหอยนางรม ซีอิ๊ว น้ำตาล น้ำมัน เกลือไหเล็กซื้อไปเพิ่มจากที่มีอยู่
กระดูกหมูและเลือดไก่ที่นางไปขอซื้อจากพ่อค้า ยังดีที่พวกเขามีขาย และได้เนื้อไก่มาอีกหนึ่งจิน (ครึ่งกิโล) นางจะเอาไปผัดกับฟักทอง แป้งมัน แป้งข้าวเหนียว อุปกรณ์ทำครัว และอย่างสุดท้ายคือไข่ไก่สามสิบฟอง
มู่เฉินวางอุปกรณ์ประหลาดไว้ด้านล่างสุดเพราะมันมีใบมีดติดอยู่ ท่านแม่เรียกมันว่าที่ขูดมะพร้าว เราสามคนได้มันมาจากร้านขายของต่างแดนอันละสิบห้าอีแปะเท่านั้น ตอนท่านแม่เห็นนางดีใจยิ้มกว้างเหมือนเห็นทองพันชั่งเชียว เขาจึงทนุถนอมเช่นนี้กลัวมันจะพัง
วางของเสร็จนางก็อุ้มอาถงขึ้นไปนั่งรอบนรถม้า วันนี้พวกเราใช้เงินไปทั้งหมดสามร้อยเจ็ดสิบอีแปะ ถือว่าได้ของเยอะพอสมควรกินได้เป็นเดือนแน่ ๆ สำหรับข้าว ที่แพงเพราะเครื่องปรุงนางซื้อไหขนาดกลางหวังใช้นาน ๆ จำพวกเนื้อต้องทยอยซื้อเพราะไม่มีตู้เย็น และนางหวังให้มีของกินจากป่าจากแม่น้ำเข้ามาเสริมลดรายจ่ายให้มากที่สุด
เหลือเงินอยู่ห้าร้อยกว่าอีแปะถือว่ามาก หากหาช่องทางทำเงินได้อาจจะได้มากกว่านี้ เงินเท่านี้เก็บไว้ใช้จ่ายคงอยู่ได้เกือบสามเดือนสี่เดือน
หากนำไปต่อยอดทำอาหารขายก็พอซื้ออุปกรณ์เริ่มกิจการได้ แต่ก็ต้องวางแผนดี ๆ เพราะตอนนี้เราไม่สามารถล้มได้เลย ต้องรอดเท่านั้นเพราะเรามีเงินแค่นี้ หมดแล้วหมดเลย ยังไงก็ต้องใจเย็นเข้าไว้ก่อน
ระหว่างนั่งรอเสินเกอและเจียเจี่ยนางก็มองรองเท้าขาด ๆ ของบุตรชาย เมื่อครู่นี้เดินไปสอบถามราคามาแล้ว รองเท้าหนึ่งคู่หนึ่งร้อยอีแปะเชียว อาเฉินจึงเอ่ยยั้งนางเอาไว้ บอกว่าซื้อทีหลังก็ได้ เยว่ซินจึงทดเอาไว้ในใจว่าจะต้องหาเงินซื้อรองเท้าให้พวกเขาให้จงได้และต้องเร็วที่สุดด้วย
พอพูดถึงเรื่องหาเงินนางก็นั่งคิดเรื่องที่พวกเราเดินสำรวจตลาดวันนี้ ส่วนมากเป็นร้านขายเนื้อหรือผัก อาหารนั้นไม่ค่อยมี มีเพียงบะหมี่และหมั่นโถวเท่านั้น แต่คนงานนั้นมีมาก ยามเช้าทุกคนจะมีกล่องข้าวของตนเองมาซื้ออาหารไปกิน
“อาเฉิน ท่าเรืออยู่ใกล้เราหรือไม่” เยว่ซินถามบุตรชายเพราะนางเห็นร้านขายปลาหมึกแต่คนไม่ค่อยซื้อเลย ทั้งยังมีราคาถูกอีกด้วย ปลาหมึกหนึ่งชั่งราคายี่สิบอีแปะเท่านั้น ถูกกว่าเนื้อไก่เสียอีกอาจเพราะคนไม่ค่อยรู้วิธีทำกระมังจึงขายไม่ดี
“ท่านลุงเสินเคยบอกว่าหากนั่งรถม้าไปครึ่งชั่วยามก็ถึงท่าเรือแล้วขอรับ” ได้ยินเช่นนั้นเยว่ซินจึงรู้สึกว่าขายอาหารที่ทำจากสัตว์ทะลค่อนข้างน่าสนใจ แต่ยังทำปุบปับตอนนี้ไม่ได้ เช่นนั้นลองซื้อไปทำอาหารดูสักหน่อยก่อน ใบกระเพราก็ไม่มี น้ำปลารสดีก็ไม่มีนางไม่มั่นใจว่ามันจะอร่อยจนขายได้
“เช่นนั้นแม่ลงไปซื้อปลาหมึกครู่หนึ่ง”
“ให้ข้าไปแทนดีกว่าขอรับ”
“เช่นนั้นตามใจเจ้า” มือบางยื่นเงินยี่สิบอีแปะให้บุตรชายพร้อมตะกร้าและถ้วยที่ซื้อมาใหม่ มู่เฉินกำเงินแน่นวิ่งไปซื้อของให้มารดา เป็นบุรุษวิ่งย่อมไม่เสียหาย ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาอย่างปลอดภัยพร้อมกับปลาหมึกที่มารดาบอก
“ขอบใจมาก ขึ้นมานั่งพักก่อน” มู่เฉินยิ้มให้มารดาก่อนจะขึ้นรถม้ามานั่งข้างน้องชายเช่นเดิม ส่วนอาถงนั้นกำลังชะโงกหน้ามามองสัตว์ที่เรียกว่าปลาหมึกเพราะไม่เคยเห็น ตัวสีขาว ๆ ขยับไปมาน่ากลัวยิ่งนัก
“ท่านแม่จะนำสิ่งนี้ไปทำอาหารหรือขอรับ”
“แม่จะลองนำไปทำอาหารกิน หากอร่อยเราจะลองขายอาหารดีหรือไม่”
“ขอรับ ท่านว่าอย่างไรข้ากับอาถงก็ว่าตามนั้น” มู่เฉินเชื่อใจมารดาเต็มสิบส่วนไม่มีสิ่งใดให้รู้สึกเคลือบแคลงใจ จากนั้นเราก็นั่งเล่นรอท่านลุงท่านป้าต่อ
“พี่ชายไม่กินหรือ” อาถงเปิดปากมันเยิ้มไปด้วยน้ำตาลถามพี่ชายหลังจากพูดคุยเรื่องปลาหมึกเสร็จแล้ว พอมีของกินก็เป็นเช่นนี้ มือเล็ก ๆ ยื่นขนมหวานไปตรงหน้าพี่ใหญ่เพราะพี่ชายกินไปเพียงนิดเดียวเองเผื่อจะหิว
“มันหวานเกินไป เจ้ากินเถิด” มู่เฉินส่ายหน้าปฏิเสธ เขากินไปเพียงครึ่งไม้เท่านั้น ที่เหลือให้อาถงกินแทนเพราะมันหวานอย่างที่บอกไป
สองพี่น้องพูดคุยกันอีกหลายคำโดยมีเยว่ซินนั่งฟังอยู่ มือก็ผูกเงินเอาไว้ดี ๆ เหรียญอีแปะเหมือนเหรียญบาทเจาะรู สมัยก่อนประเทศไทยก็มีใช้เช่นกัน ร้อยเป็นพวงหนึ่งพวงมีอยู่สองร้อยอีแปะ นางเหลือเงินอยู่สองพวงครึ่งเก็บไว้อย่างดี
รออีกหนึ่งเค่อสองสามีภรรยาก็เดินมาพร้อมห่อสมุนไพรที่ท่านพ่อฝากซื้อ มองดูข้าวของมากมายก็รู้สึกยินดีกับสองพี่น้องไม่ได้ ในมืออาถงมีน้ำตาลปั้นทั้งยื่นมาให้พวกเขากินด้วยแต่จางลี่เอ่ยปฏิเสธไปกลัวอาถงไม่อิ่ม
“มารอนานแล้วหรือ ขอโทษด้วย” อ้ายเสินขอโทษขอโพยทั้งสามคน ไม่คิดว่าพวกเขาจะซื้อของเร็วเพียงนี้เขาและภรรยาจึงไม่ได้รีบร้อน ทำธุระเสร็จก็เดินเลือกซื้อสมุนไพรเสียนาน
“ไม่นานเจ้าค่ะ ข้ากับลูกพึ่งเดินมาถึงเอง”
“เจ้าซื้อไข่มากนัก” จางลี่มองไข่ในกระบุงจึงอดทักท้วงไม่ได้
“ข้าได้ฟักทองมาเยอะเจ้าค่ะ จึงอยากทำสังขยาฟักทองแบ่งให้ทุกคนในหมู่บ้านกินคนละชิ้นสองชิ้น ฟักทองหาได้ในป่า ไข่คงใช้ไม่ถึงสิบห้าฟองเจ้าค่ะ” นางคิดมาดีแล้ว มะพร้าวก็มีในป่า ฟักทองก็มีในป่า ซื้อเพียงที่ขูดมะพร้าวและไข่ฟองละสองอีแปะ สิบห้าฟองคือสามสิบอีแปะ
สามสิบอีแปะรวมเครื่องปรุงเล็กน้อยตีเป็นเงินกลมๆ สี่สิบอีแปะเท่านั้น มากสุดคือห้าสิบอีแปะ ทำสังขยาฟักทองตัดเป็นชิ้นให้ชาวบ้านกินเป็นการตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยช่วยเหลือเด็ก ๆ จะได้ไม่ดูน่าเกลียดจนเกินไป
พวกเขาอุตส่าห์แบ่งของที่มีมาให้พวกเราแล้ว พอนางมีก็อยากทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนไม่ต้องรอให้รวยก่อนก็ได้
“อย่าทำจนไม่เหลือเงินไว้ใช้เล่า” อ้ายเสินอดที่จะเตือนนางไม่ได้ เยว่ซินย่อมรู้ความเป็นห่วงของทั้งสองคน พยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นกลับกันเถิด” เมื่อไม่มีสิ่งใดต้องทำแล้วก็ถึงเวลาต้องกลับหมู่บ้าน ทุกคนขึ้นไปนั่งบนเกวียนพร้อมข้าวของมากมาย ไม่นานอ้ายเสินก็กระตุกม้าออกวิ่ง ในรถม้าตอนนี้จางลี่กำลังนั่งมองสามแม่ลูกมองข้าวของด้วยรอยยิ้ม เยว่ซินกลับมาเพียงวันเดียวบ้านอันก็มีรายได้แล้ว อาเฉินเองก็จะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีก คิดถึงเรื่องนี้คราใดก็อดขอบคุณท่านเทพที่คืนนางแก่พวกเขาไม่ได้