บทที่ 6 เจตนาของการหมั้นหมาย 1

1956 คำ
นับตั้งแต่วันที่ถูกพี่ชายสอบถามเรื่องพูดคุยกับดวงวิญญาณและระลึกชาติได้ หลานหลีเกอก็รู้จักที่จะระแวดระวังตัวมากขึ้น ไม่เผลอไผลพูดจาทุกอย่างออกไปตามที่ใจคิดอีก แม้ว่าในขณะนั้นนางจะอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของตนเองก็ตาม และหลังจากที่ศาลาเหลียนฮวาได้รับการซ่อมบำรุงเสร็จ หลานหลีเกอก็ทำอย่างที่ได้บอกกับผู้เป็นพ่อและพี่ชายของไว้จริงๆ เด็กน้อยยอมไปเรียนที่สำนักศึกษา โดยมีข้อแม้ว่านางจะไม่เรียนร่วมกับเด็กคนอื่นๆ โดยอ้างเหตุผลว่านางนั้นหัวไม่ดี ไม่อาจเรียนร่วมกับเด็กคนอื่นได้ เห็นดังนั้นแล้วหลานเหวินจึงแก้ปัญหาโดยการสลับสับเปลี่ยนอาจารย์ในสำนักศึกษาที่ว่างและไม่มีเวรสอน ให้ช่วยมาสอนหนังสือให้หลานหลีเกอเป็นพิเศษและห้องเรียนประจำของนางภายในสำนักศึกษาก็ไม่ใช่ที่ไหน เป็นศาลาเหลียนฮวานั่นเอง ในตอนแรกๆ ก็ไม่มีอาจารย์คนใดกล้าเข้าไปสอนนางในนั้น ด้วยเพราะอาจารย์หลายท่านยังคงหวาดระแวงเรื่องเล่าขานที่ว่าศาลาแห่งนี้เป็นศาลาอาถรรพ์อยู่ ทว่าหลานหลีเกอกลับหาได้เดือดร้อนอันใดไม่ เพราะต่อให้ไม่มีอาจารย์ท่านใดมาสอนหนังสือให้นาง ความรู้ที่ติดตัวนางมาจากชาติที่แล้วก็มีมากมายถมเถ อีกทั้งนางไม่ได้ร่ำเรียนไปเพื่อสอบบรรจุเป็นขุนนาง จะต้องเดือดร้อนเรื่องไม่รู้หนังสือไปไย ที่นางมาที่สำนักศึกษาและหมกตัวอยู่ในศาลาเหลียนฮวาทั้งวัน ก็เพื่อต้องการให้บิดามารดาสบายใจเท่านั้น ว่านางไม่ได้เป็นคนเกียจคร้านการร่ำเรียนเสียหน่อย แม้ว่าแท้จริงแล้วเวลาที่ไม่มีอาจารย์คนใดมาสอน นางจะเอาแต่นอนกลางวันแทบทั้งวันก็ตาม นางเป็นพี่สาว แม้ว่าการเป็นสตรีไม่อาจถูกยกย่องให้เป็นตัวอย่างแก่บุรุษ แต่นางจะทำตัวเกียจคร้านให้หลานเจี่ยเอ๋อร์ผู้เป็นน้องชายเห็นได้อย่างไรกัน และทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำลงไปก็เพื่อรอวันเวลาที่ตนเองจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็เท่านั้น เพราะแม้ว่าวันเวลาจะผ่านไป แต่ความทรงจำที่อยู่ในหัวไม่ได้ลบเลือนไปตาม หลานหลีเกอยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนางในชาติก่อนได้ และความรู้สึกลึกๆ ของนางก็คอยย้ำเตือนนางอยู่เสมอว่านางอาจจะได้พบกับพี่น้องสองคนนั้นในสักวัน...สองพี่น้องตระกูลโจว ชาติก่อนเป็นอย่างไร ชาตินี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ชาติที่แล้วตระกูลโจวปกครองแผ่นดินต้าหย่ง มาชาตินี้พวกเขาก็ยังปกครองแผ่นดินต้าหย่งอยู่ หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มทำให้หลานหลีเกอคิด ว่าแท้จริงแล้วนางอาจจะไม่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ แต่เป็นเพียงการย้อนเวลากลับมาเท่านั้น ทว่าสิ่งที่นางแปลกใจกลับอยู่ตรงที่ว่า หากนางย้อนเวลากลับมาจริงๆ เหตุใดจึงไม่ย้อนกลับไปเป็นตัวเองในอดีต แต่กลับกลายมาเป็นคนอื่นที่นางไม่รู้จักในชาติที่แล้วแทน หลานหลีเกอเฝ้าคิดถึงความเป็นไปได้เหล่านั้นอยู่หลายปี แต่มีหรือที่นางจะได้คำตอบ เพราะการระลึกชาติได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนอยากมีก็มีได้กันเสียเมื่อไหร่ คิดได้ดังนั้นหลานหลีเกอจึงเลิกคิด เมื่อได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง สิ่งที่นางควรทำคืออยู่กับครอบครัวของนางอย่างมีความสุข ชาติที่แล้วพวกเขาทั้งหมดต้องตายตกอย่างน่าอนาถเพราะนาง มาชาตินี้นางได้กลับมาแก้ไขความผิดพลาดของตนเองแล้วนางย่อมต้องทำทุกวันให้ดีที่สุด ลมคิมหันต์พัดผ่านไปสิบครั้ง ลมเหมันต์พัดผ่านไปสิบหน บัดนี้เด็กน้อยอ้วนกลมจอมเกียจคร้านในวันวานเติบโตกลายเป็นสตรีรูปงามนางหนึ่ง หลานหลีเกอในวัยสิบห้าหนาวตื่นเช้ามาด้วยอาการเมื่อยล้า เมื่อวานที่ผ่านมาเป็นพิธีปักปิ่นของนาง แม้ความจริงแล้วในพิธีปักปิ่นนางจะนั่งอยู่หลังม่านบังลมนิ่งๆ ทว่าการที่นางต้องวางท่านั่งหลังเหยียดตรงราวกับต้นเสานั้นสร้างความเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวให้นางอย่างยิ่ง อีกทั้งการนั่งอยู่หลังม่านบังลมทำให้นางไม่รู้เห็นว่ามีใครบ้างที่มาร่วมพิธีปักปิ่นของนาง นั่นจึงทำให้นางเบื่อเป็นอย่างยิ่ง หลังจบพิธีหลานหลีเกอจึงหลับราวกับเหนื่อยหนัก อันที่จริง...นางต้องหลับเพราะออกมาข้างนอกไม่ได้ต่างหาก หลานเหวินผู้เป็นบิดาสั่งนักสั่งหนาว่าห้ามนางทำขายหน้า เช่นนั้นแล้วนางจึงถูกพาตัวเข้าห้องมาตั้งแต่ตอนเย็น ดวงอาทิตย์ยังไม่มันตกจากฟ้าด้วยซ้ำ และเมื่อไม่มีอะไรให้ทำ นางจึงได้แต่นอน ซึ่งการนอนมากๆ ก็ทำให้เหนื่อยล้าอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้นั่นเอง “คุณหนูรอง ตื่นหรือยังเจ้าคะ? ให้นมเข้าไปได้หรือไม่?” เสียงแม่นมเถาร้องเข้ามาให้ได้ยิน “เชิญแม่นมเถา หลีเกอตื่นแล้ว” สิ้นเสียงร้องบอกของหญิงสาว ร่างอวบอิ่มของสตรีวัยสี่สิบต้นๆ ก็เปิดประตูเดินเข้าห้องมา ในมือของแม่นมเถามีกล่องไม้เล็กๆ ใบหนึ่งติดมือมาด้วย “แม่นมเถาถืออะไรมาด้วยเจ้าคะ?” หลานหลีเกอเอ่ยถาม “ปิ่นปักผมอย่างไรเล่าเจ้าคะคุณหนู นับตั้งแต่วันนี้ไปคุณหนูของนมจะต้องปักปิ่นแทนการมัดผมแกะสองข้างแล้วนะเจ้าคะ” แม่นมเถาว่ายิ้มๆ ปิ่นไม้สีดำเงาแกะสลักรูปดอกหลีฮวาถูกวางลงหน้าของหญิงสาว หลานหลีเกอหันหน้ามองแม่นมเถาด้วยสายตามีคำถาม “คุณชายใหญ่ส่งมาให้เจ้าค่ะ อีกทั้งยังบอกว่าทำเองกับมือ” หลานหลีเกอฟังแล้วหลุดยิ้ม เวลานี้พี่ใหญ่ของนางรับราชการเป็นขุนนางสังกัดกรมยุติธรรมอยู่ในเมืองหลวง บุรุษผู้รักความก้าวหน้าเช่นเขาจึงไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านราวสองปีแล้ว ทั้งๆ ระยะทางจากเมืองหลวงมาบ้านนั้นไม่ได้ไกล เดินทางเพียงวันเดียวก็ถึง ทว่าคนหนุ่มผู้นั้นกลับมีงานมากมายล้นมือยิ่ง จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าขัน ตระกูลหลานสามรุ่นก่อนยึดถือทำตามคำสั่งเสียของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด โดยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักและการชิงดีชิงเด่นทั้งหลาย ทว่าเมื่อสิบปีก่อนตอนนั้นพี่ชายนางได้ลงสอบแข่งขันในระดับท้องถิ่นกับผู้อื่นด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความท้าทายกระหายที่จะเอาชนะข้อสอบ หรือเพราะโชควาสนาหนุนนำ สอบไปสอบมาพี่ชายนางถึงได้สอบผ่านไปถึงรอบสุดท้าย และที่ยิ่งกว่านั้นคือผลออกมาว่าเขาได้ในลำดับที่หนึ่ง ได้ตำแหน่งจอหงวนมาครอบครองท่ามกลางความแปลกใจของบิดามารดา แม้ว่าการที่หลานจิ้นหลี่จะละเลยคำสั่งเสียของบรรพบุรุษ เข้าไปรับราชการเป็นขุนนาง แต่หลาน เหวินมีหรือที่จะกล้าขวางทางก้าวหน้าของบุตรชายคนโต ยิ่งเขาสอบได้ตำแหน่งจอหงวน ยิ่งไม่มีสิ่งใดให้ต้องตำหนิ สิบปีผ่านไปหลานจิ้นหลี่ก็ยิ่งประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เวลานี้พี่ชายวัยยี่สิบห้าของหลานหลีเกอเป็นถึงขุนนางขั้นสาม รั้งตำแหน่งรองเสนาบดีกรมยุติธรรมตั้งแต่ยังหนุ่มมาแล้วเกือบสองปี และเพราะความสำเร็จของหลานจิ้นหลี่นี้เอง เวลานี้สำนักศึกษาเล็กๆ อย่างสำนักศึกษาคงเสวียจึงเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเมืองหลวง ซ้ำยังมีลูกหลานคนมีอันจะกินมากมายมาฝากตัวเข้าเป็นศิษย์ สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้ผู้เป็นบิดาของนางไม่น้อย แต่ดีที่หลานเหวินอายุยังไม่ถึงห้าสิบ ยังมีเรี่ยวแรงสอนหนังสือและจัดการงานต่างๆ ในสำนักศึกษาได้อยู่ “จะว่าไปแล้วคุณหนูรองก็ไม่ได้พบคุณชายใหญ่นานแล้วนะเจ้าคะ” หลานหลีเกอผินหน้าไปมองคนที่กำลังเกล้าผมให้นางอยู่ด้านหลังเล็กน้อย “ก็ท่านพ่อไม่ยอมให้หลีเกอออกจากจวนเลยนี่เจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแง่งอน “คุณหนูก็รู้ นายท่านทั้งห่วงทั้งหวงคุณหนูราวกับไข่มุกบนฝ่ามือ ยิ่งคุณหนูของนมงดงามเสียยิ่งกว่ามารดาในวัยสาวเช่นนี้ นายท่านจะวางใจง่ายๆ ได้อย่างไร” “แต่หลีเกอคิดว่า ท่านพ่อกลัวว่าหลีเกอจะไปคุยกับดวงวิญญาณให้ผู้อื่นได้ยินได้เห็นเสียมากกว่า” หลานหลีเกอเอ่ยแล้วหัวเราะ ซึ่งเรื่องราวเป็นไปอย่างที่หญิงสาวพูดจริงๆ ตอนนั้นหลังจากที่หลานจิ้นหลี่ซักไซ้นางว่าสามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้จริงๆ หรือไม่ เป็นจังหวะที่บิดาของนางเข้ามาได้ยินพอดี หลังจากนั้นหลานหลีเกอก็ถูกซักถามอีกหลายต่อหลายประโยค ทว่านางในเวลานั้นก็ตอบออกไปอย่างเดิมคือนางสื่อสารได้แค่กับท่านปู่ทวดหลานอวี้เท่านั้น และเวลานี้นางก็คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะไปผุดไปเกิดแล้ว ด้วยเพราะหลังจากที่นางฝันถึงท่านปู่ทวดในคืนนั้น บวกกับศาลาเหลียนฮวาได้รับการซ่อมแซม หลานหลีเกอก็ไม่เคยฝันเห็นดวงวิญญาณของหลานอวี้ผู้เป็นบรรพบุรุษอีกเลย “นายท่านก็กังวลเกินไป เวลานั้นคุณหนูยังเด็กอีกทั้งเจ็บป่วยบ่อย ไม่แน่ว่าที่ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษมาปรากฏกายให้เห็น อาจเป็นการมาคุ้มครองปกปักรักษาลูกหลานก็เป็นได้” หลานหลีเกอยิ้มแต่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร รอจนแม่นมเถาเกล้าผมให้เสร็จสองสาวต่างวัยก็พากันเดินไปที่เรือนใหญ่ “พี่รองมาแล้ว” เสียงเด็กชายที่เริ่มแตกเนื้อหนุ่มร้องเรียกหญิงสาว หลานหลีเกอยกยิ้มให้น้องชายตัวน้อยที่ร่างกายเริ่มไม่น้อยแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งยังตำแหน่งตรงข้ามอีกฝ่าย “น้องพี่เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่” “หลับสบายดีขอรับ...วันนี้พี่รองงดงามมาก” หลานเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มประจบ “จริงรึ?” “ขอรับ พี่สาวเหมาะสมกับการปักปิ่นมากเลย” หลานเจี่ยเอ๋อร์หยอดยาหอม “น้อยนักที่เด็กหน้าเหม็นเยี่ยงเจ้าจะเอ่ยชมพี่สาว” เสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังลอยมาให้ได้ยิน ก่อนที่ร่างสูงของหลานเหวินจะก้าวเดินเข้ามาในห้องรับรองภายในเรือนใหญ่ “ท่านพ่อ” หลานเจี่ยเอ๋อร์เอ่ยเรียกผู้เป็นบิดา “ทำไม? เจ้าว่าพ่อพูดผิดเช่นนั้นรึ” “ขอรับ ท่านพ่อพูดผิด เพราะปกติลูกชื่นชมพี่สาวอยู่แล้ว แต่ลูกเป็นบุรุษจะกล่าววาจาปากหวานกับสตรีพร่ำเพรื่อได้เช่นไร” หลานเจี่ยเอ๋อร์ยืดอกตอบ “เจ้าบอกว่าตนเองเป็นสุภาพบุรุษ?” “แน่นอนขอรับ วาจาของบุรุษต้องหนักแน่นยิ่งกว่าหินผา” หลานเหวินฟังวาจาโอ้อวดตนเองของบุตรชายคนเล็กแล้วหัวเราะ เช่นเดียวกันกับเถาลี่อิงผู้เป็นมารดาที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ลี่อิง ดูบุตรชายคนนี้ของเจ้าสิ วาจาอาจหาญยิ่งนัก อายุเท่าไหร่กันเชียว”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม