ดังนั้นหลานหลีเกอจึงสรุปได้ยากเย็นเหลือเกิน ว่าสิ่งที่ตนเองพบเจอนั้นคือความจริงหรือความฝัน นางลุกขึ้นมานั่งคุยกับวิญญาณของบรรพบุรุษจริงๆ หรือเป็นบรรพบุรุษที่มาเข้าฝันนางกันแน่
“จดจำอดีตชาติได้แล้วยังไม่พอ ยังจะสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้อีก...หลานหลีเกอ เจ้านี่มันเก่งเกินมนุษย์ธรรมดาจริงๆ!”
เด็กน้อยว่าแล้วลุกเดินไปจัดการธุระส่วนตัวของตนเอง โดยที่นางหารู้ไม่ว่า คำพูดประโยคนั้นของนางได้ทำให้ผู้เป็นพี่ชายตกใจมากจนหัวใจของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าหยุดเต้น
อะไรคือจดจำอดีตชาติได้!
อะไรคือสื่อสารกับวิญญาณได้!
หลานจิ้นหลี่ก้าวเท้าถอยห่างออกจากประตูห้องส่วนตัวของน้องสาวตัวน้อยด้วยความแผ่วเบา ในหัวของเขาครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรเล่าเรื่องที่ได้ยินจากปากของหลานหลีเกอเมื่อครู่นี้ ให้ผู้เป็นบิดามารดาฟังดีหรือไม่?
ช่วงสายหลังทานมื้อเช้าเสร็จ หลานหลีเกอเรียกร้องจะไปที่สำนักศึกษากับบิดาและผู้เป็นพี่ชายด้วย หลานเหวินมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ด้วยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวเป็นอย่างมาก แทบไม่อยากให้นางย่างกรายออกจากจวนเลยแม้แต่ก้าวเดียว
ต่างกันกับหลานจิ้นหลี่ เวลานี้เด็กหนุ่มตั้งสติได้แล้วและตัดสินใจที่จะเปิดอกพูดคุยเรื่องนี้กับน้องสาวโดยตรง ด้วยเพราะตัวเขาเป็นพี่ชายที่มองการณ์ไกล คิดเผื่ออนาคตน้องสาวคนนี้ไว้มาก
เวลานี้หลานหลีเกอมีอายุเพียงห้าหนาว เรื่องที่ว่านางสื่อสารกับวิญญาณได้นั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ลำพังเรื่องเล่าขานว่าเด็กบางคนถูกผีสิงเพราะจิตอ่อน หรือพูดคุยกับวิญญาณได้เหมือนน้องสาวของนั้นก็เคยมีมาให้ได้ยินอยู่บ้างประปราย ทว่าก็เชื่อถือเต็มสิบส่วนไม่ได้ เพราะไร้ข้อพิสูจน์ แต่จะไม่เชื่อเลยก็ไม่ได้อีก
ฉะนั้นเรื่องการสื่อสารกับวิญญาณได้นี้ ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ฟังดูไม่น่าตกใจเท่าไหร่นัก หากเทียบกับเรื่องที่หลานหลีเกอหลุดปากออกมาว่านางจดจำเรื่องในอดีตได้
ในหนึ่งพันคนจะมีสักกี่คนที่สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้? คาดว่าหนึ่งในพันคนก็ไม่มีให้เห็น
แล้วในหมื่นคนจะมีสักกี่คนที่ระลึกอดีตชาติของตัวเองได้? ...ก็คงไม่มีให้เห็นอีกเช่นเดียวกัน
เพราะอย่างนั้นหลานจิ้นหลี่ถึงต้องการพูดคุยเรื่องนี้กับผู้เป็นน้องสาว ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เขาได้ยินนางพูดออกมานั้น เป็นเพียงวาจาเลื่อนเปื้อนหรือว่านางมีความสามารถสองสิ่งนั้นอยู่จริงๆ
เพราะถ้าเป็นอย่างแรกก็แล้วไปเถิด แต่หากเป็นอย่างหลัง น้องสาวของเขาจะมีชีวิตต่อไปเช่นไร?
โบราณว่าคนเราก่อนกลับชาติมาเกิดใหม่ ดวงวิญญาณทุกดวงล้วนได้รับน้ำแกงยายเมิ่งคนละถ้วย เพื่อลบเลือนทุกความรู้สึกนึกคิดในชาติผ่านมา แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ก่อนหลานหลีเกอจะมาเกิดนางจะไม่ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งถ้วยนั้น?
หลานจิ้นหลี่อ่านตำราเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนมาไม่น้อย กฎเกณฑ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดเด็กหนุ่มสามารถทำความเข้าใจได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบหนาว ดังนั้นแล้วหลานจิ้นหลี่จึงเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติเท่าใดนัก แต่เด็กหนุ่มก็เชื่อว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์อยู่จริง
และเพราะต้องการเปิดอกพูดคุยกับน้องสาวตัวน้อย หลานจิ้นหลี่จึงอนุญาตให้หลานหลีเกอตามไปที่สำนักศึกษาด้วยได้ แต่มีเงื่อนไขเคร่งครัดอย่างหนึ่งคือนางห้ามห่างจากข้างกายเข้าแม้แต่ครึ่งก้าว
ไม่ให้ห่างกายเลย...แล้วนางจะไปที่ศาลาเหลียนฮวาได้อย่างไร?
หลานหลีเกอคิดอย่างยุ่งยากใจ ทว่าเด็กหญิงตัวน้อยก็พยักหน้ายอมรับเงื่อนไขนั้นของผู้เป็นพี่ชายอย่างไม่มีทางเลือกอื่น
“หลีเอ๋อร์ พี่มีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”
หลานหลีเกอเงยหน้าขึ้นถามพี่ชายตาแป๋ว โดยที่เด็กหญิงตัวน้อยหารู้ไม่ว่าความลับของตนได้ถูกผู้เป็นพี่ชายล่วงรู้เข้าแล้ว
หลานจิ้นหลี่พาน้องสาวเดินไปที่ศาลาเหลียนฮวา เวลานี้มีช่างน้อยใหญ่กำลังเดินสำรวจรอบๆ ศาลาแห่งนั้นอยู่ เพื่อหารือถึงแนวทางการซ่อมแซมศาลาดังกล่าว
เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่บนฝั่ง ไม่ได้พาน้องสาวเดินก้าวขึ้นสะพานไม้ไผ่ไปยังตัวศาลากลางน้ำแห่งนั้น หลานจิ้นหลี่หันหน้าไปมองน้องสาวตัวน้อยที่เขากุมมืออยู่ด้านข้าง ก่อนจะย่อกายลงเพื่อพูดคุยกับน้องสาวอย่างจริงจัง
“หลีเอ๋อร์ เช้าวันนี้พี่ได้ยินเจ้าพูดว่าตนเองสื่อสารกับวิญญาณได้ อีกทั้งยังจดจำเรื่องในอดีตชาติได้ เจ้า...พอจะอธิบายเรื่องนี้ให้พี่ฟังได้หรือไม่?”
ด้วยไม่คิดมาก่อนว่าความลับสุดยอดของตัวเองจะรั่วไหล หลานหลีเกอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ปากน้อยๆ หุบอ้าๆ อย่างไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเอ่ยตอบผู้เป็นพี่ชาย
“หลีเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่...ว่าการที่เจ้าบอกว่าตนเองสื่อสารกับวิญญาณได้นั้นเป็นเรื่องไม่ดีเพียงใด เจ้าเป็นสตรีที่ภายหน้าจะต้องออกเรือน เจ้าจะเที่ยวบอกใครต่อใครว่าตนเองสื่อสารหรือมองเห็นดวงวิญญาณไม่ได้ คนที่เชื่อเรื่องพวกนี้เขาจะเกรงกลัวเจ้า เพราะเขากลัววิญญาณที่เจ้ามองเห็น ส่วนคนที่ไม่เชื่อพวกเขาก็หัวเราะเยาะเจ้า คิดว่าเจ้าเลอะเลือนพูดจาเลื่อนเปื้อน เป็นสตรีที่ไม่เหมาะสมแก่การตบแต่งเข้าสกุล”
ด้วยเพราะเวลานี้หลานหลีเกอมีความจำในชาติที่แล้วของตนเองอยู่ ฟังพี่ชายพูดมาถึงตรงนี้นางจึงกระจ่างในเจตนาของผู้เป็นพี่ชายในที่สุด พี่ชายของนางกลัวว่านางจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่น และกลัวว่านางจะกลายเป็นที่หวาดกลัวของผู้คน เพราะไม่ว่าใครในใต้หล้านี้ก็ล้วนแล้วแต่หวาดกลัวเรื่องผีสางเทวดาทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่นักพรตผู้ทรงศีล
ทว่า...พี่ชายนางคิดมากเกินไปหรือไม่?
อันที่จริงนางรู้ดีว่าทั้งสองเรื่องนั้นควรเก็บเป็นความลับที่สุดในชีวิต แต่ใครจะคิดเล่าว่าเขาจะแอบมาได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ยไปส่งๆ เช่นนี้...
“ว่าอย่างไร...จะไม่ยอมเปิดปากเล่าให้พี่ฟังรึ?” หลานจิ้นหลี่บีบคั้นน้องสาว
“พี่ใหญ่...กลัวหลีเกอหรือเจ้าคะ? ที่หลีเกอเห็นดวงวิญญาณของท่านปู่ทวด”
หลานจิ้นหลี่ส่ายหน้า “พี่เป็นพี่ชายเจ้า จะหวาดกลัวเจ้าได้อย่างไร? พี่เพียงแต่เป็นห่วงอนาคตของเจ้าเท่านั้น ไม่มีบุรุษใดอยากตบแต่งสตรีวิปริตเข้าจวนหรอกนะ”
หลานหลีเกอฟังแล้วยกยิ้ม ในใจเริ่มเชื่อในความคิดของตนเองแล้วว่า ครอบครัวของนางในชาตินี้ คือครอบครัวเดียวกับชาติที่แล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาแค่จดจำอดีตชาติไม่ได้เหมือนนางก็เท่านั้น
“ยิ้มอะไร? ยังไม่รีบเล่ามาให้พี่ฟังอีก เจ้าอยากให้พี่ชายเจ้าเป็นบ้าตายหรืออย่างไร” ยังไม่รวมบิดามารดาที่ยังไม่รู้เรื่องนี้อีก
“ใครว่าล่ะเจ้าค่ะ หลีเกอรักพี่ใหญ่มาก จะกล้าให้พี่ใหญ่กลายเป็นบ้าได้อย่างไร” หลานหลีเกอยิ้มประจบ
“แต่พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงไปเจ้าค่ะ” หลานหลีเกอเบาเสียงลงจนกลายเป็นกระซิบ “เพราะวิญญาณที่หลีเกอเห็นและพูดคุยด้วยได้ มีเพียงดวงวิญญาณของท่านปู่ทวดเท่านั้น และเวลานี้ท่านปู่ทวดก็น่าจะไปสู่ที่ชอบๆ แล้ว”
จากนั้นหลานหลีเกอก็เปิดปากเล่าเรื่องราวความฝันที่นางฝันเห็นเมื่อคืนนี้ให้พี่ชายฟัง โดยที่นางพยายามที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่ว่านางจดจำอดีตชาติได้ให้พี่ชายต้องผุดความสงสัยขึ้นมาอีก
ทว่าหลานหลีเกอนั้นดูเบาพี่ชายของตนเองเกินไป เพราะหลังจากที่น้องสาวตัวน้อยอธิบายเรื่องที่นางเห็นดวงวิญญาณของปู่ทวดได้จบแล้ว หลานจิ้นหลี่ก็ซักถามเรื่องความจำในชาติอดีตนั้นขึ้นมาทันที
“หลีเกอว่าพี่ใหญ่หูฝาดไปนะเจ้าคะ” เด็กน้อยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“หูฝาด? ไม่มีทาง” หลานจิ้นหลี่ยืนยัน
“ต้องหูฝาดแน่ๆ เจ้าค่ะ เพราะเวลานั้นหลีเกอพูดว่า ‘หากพูดคุยสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ ต่อไปคงต้องระลึกอดีตชาติได้เป็นแน่’ ต่างหากล่ะเจ้าคะ”
หลานหลีเกอแถจนสีข้างถลอก อย่างไรเสียนางก็จะไม่ยอมรับกับพี่ชายเด็ดขาด ว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นสามารถจดจำอดีตได้ เพราะถ้าพี่ใหญ่รู้ ไม่แน่ว่าท่านพ่อท่านแม่ก็จะต้องรู้ถึงเวลานั้นนางจะหาทางสืบเรื่องราวต่างๆ ต่อไปได้อย่างไร?
ลำพังได้เกิดใหม่ยังพอว่า แต่ถ้าคนที่นางอาฆาตแค้นไม่ได้มาเกิดร่วมกันในชาตินี้ด้วย เช่นนั้นแล้วนางจะแก้แค้นผู้ใด?
ในเมื่ออนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน การแก้แค้นของนางก็ไม่แน่นอนเช่นกัน เช่นนั้นแล้วเหตุใดนางจึงต้องเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติให้พี่ชายและบิดามารดาฟัง ให้พวกเขาต้องเป็นห่วงนางด้วยเล่า
ลำพังพี่ใหญ่ยังเป็นห่วงว่านางจะเติบโตไปเป็นสตรีวิปริตเลอะเลือนถึงเพียงนี้ ไม่ต้องคาดเดาเลยว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเป็นห่วงนางเพียงใด แล้วเรื่องอะไรที่นางต้องสร้างบาปให้ตนเองโดยการทำให้บิดามารดาผู้ให้กำเนิดต้องเป็นทุกข์ด้วยเล่า?
หลานจิ้นหลี่ทำหน้าไม่เชื่อ ทว่าตัวเขาก็จนใจที่ไม่อาจง้างปากน้องสาวตัวน้อยได้ ลำพังเรื่องที่พูดคุยกันอยู่ตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว
“ก็ได้ๆ เช่นนั้นพี่คงหูฝาดไปเอง”
หลานจิ้นหลี่ยอมลงให้น้องสาว ทว่าในใจเด็กหนุ่มกลับคิดไว้แล้วว่าต้องไปเขาจะต้องจับตาดูหลีเกอให้มากๆ เพราะถ้าหากนางระลึกชาติได้จริง เรื่องนี้จึงยิ่งต้องเก็บซ่อนไว้เป็นความลับให้ดีที่สุด…