งียบไปครู่หนึ่งผู้ชายใบหน้าหล่อก็ถามขึ้นมาอีก
“เธออายุเท่าไร ?”
“ยี่สิบค่ะ”
“ที่บ้านคงไม่มีนมให้กินรึไงถึงได้ตัวแคะแกนแบบนั้น” ไม่พูดเปล่า เขายังใช้สายตามองมาอย่างดูถูกส่วนสูงของฉันด้วย
จุกดอกที่สอง!!! เห็นหน้าหล่อๆ สกิลปากใช่เล่นเหมือนกันนะ
“ลุงพูดมาเลยดีกว่าค่ะว่าจะให้หนูทำอะไร”
“ลุง ?” เขารีบขัดด้วยสายตาที่หาเรื่อง เมื่อได้ยินฉันเรียกตัวเองว่าลุง
“ใช่ค่ะ ลุงนั่นแหละ” เสียงพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์ดังขึ้น ฉันจึงรีบพูดต่อ “แล้วหนูต้องอยู่ชดใช้หนี้ของป้ากี่วันคะ หนูต้องไปมหาวิทยาลัยด้วย จะให้ลาออกมาใช้หนี้คงไม่ได้เพราะถ้าใช้หนี้ให้ป้าหมดหนูก็จะกลายเป็นคนไม่มีอนาคต”
การยกเรื่องเรียนมาอ้างอาจจะย่นระยะเวลาให้ฉันได้ อ้างๆ ไปก่อนเขาคงไม่รู้ว่าฉันโกหก
“ไม่สงสารบ้างหรอคะ หนูเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย จู่ๆ ก็ถูกจับตัวมา อีกอย่างป้านิก็คงไม่เอาเงินมาไถ่ตัวหนูไปหรอก เขาไม่เคยรักไม่เคยมองว่าหนูเป็นหลายด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยืนดูหลายแท้ๆ ถูกจับตัวมาหน้าตาเฉย”
“เธอพูดสั้นๆ เป็นหรือเปล่า ?” แทนที่จะเห็นใจผู้ชายตรงหน้ากลับถามในสิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกใจเอามากๆ
“ค่ะ หนูพูดเป็น”
“ถ้าพูดเป็นก็หัดพูดซะ เพราะฉันรำคาญ”
จุกดอกที่สาม!!! ถ้ามองแค่ผิวเผินเขาคงเป็นผู้ชายที่น่าหลงใหล
“ที่ถามว่าต้องอยู่ใช้หนี้ให้ป้าอีกกี่วัน เธอคงเข้าใจอะไรผิดไป เพราะเธอต้องอยู่ที่นี่นานเป็นปี อาจจะสองสามสี่หรือห้าปี เพราะป้าเธอเอาเงินกับฉันไปไม่ใช่น้อย”
“ห….ห้า….ปีหรอคะ”
“อืม”
“หะ ให้หนูอยู่นานขนาดนั้นไม่กลัวเปลืองข้าวหรอคะ หนูกินเยอะนะ เอาหนูกลับไปส่งบ้านแล้วจับลูกสาวตัวจริงของป้านิมาดีกว่าค่ะ เดี๋ยวหนูจะล่อมันออกมาให้” ด้วยความที่ฉันกับยัยมิ้งไม่ค่อยถูกชะตากันอยู่แล้วจึงพยายามเสนอ
“เสียเวลา ตอนนี้ฉันมีงานในเธอทำแล้ว”
“งะ งานหรอคะ”
“ฉันยกตำแหน่งคนใช้ของบ้านหลังหนี้ให้เธอ ต่อไปนี้งานบ้านทุกอย่างเธอต้องเป็นคนทำ ล้างจาน กรวดบ้าน ถูบ้าน ทำอาหาร ซักผ้า ทำทุกอย่างโดยที่ไม่มีค่าตอบแทน”
“ม….ไม่มีค่าตอบแทนแล้วหนูจะอยู่ยังไงล่ะคะ”
“นั่นมันเรื่องของเธอ เพราะสถานะของเธอคือลูกหนี้ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากฉัน”
“แต่หนูไม่ใช่คนเอาเงินไปจะเป็นลูกหนี้ได้ยังไง”
“ฉันเป็นนักธุรกิจคงไม่ยอมเสียเปรียบใครง่ายๆ ไม่ได้เงินแต่ก็ได้คนรับใช้มาฟรีๆ ส่วนป้าของเธอฉันจะคิดบัญชีทีหลัง”
“แล้วทำไมไม่จับตัวป้าหนู จับตัวหนูมาทำไม”
“ป้าเธอจะอยู่ได้อีกกี่ปี จะให้ฉันเอามาแก่ตายที่บ้านรึไง”
“ถึงหนูจะเด็กกว่าใช่ว่าจะอายุยืนกว่านะ คนเราจะตายวันตายพรุ่ง……”
“หุบปาก!! ที่บ้านไม่มีใครคุยด้วยรึไงถึงได้เอาแต่พูด ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าพูดมากมันน่ารำคาญ”
“ก็ใช่สิคะ อยู่บ้านหนูจะพูดกับใครได้ ครอบครัวนั้นใช้หนูอย่างกับทาส ตอนนี้ก็ยังต้องมาชดใช้หนีให้อีก เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจกันบ้างเลย”
“หุบปากซะ!! ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนกับเธอ”
ฉันรีบเม้มปากแน่นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเอาจริง ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งมาอย่างน่ากลัว
“รีบเอาตัวเด็กนี่ไปให้พ้นๆ หน้าฉัน”
“ไปไหนคะ”
“ถามมากรีบตามมา” ผู้ชายคนที่ไปจับตัวฉันมาจากบ้านออกคำสั่งแล้วเดินนำ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำได้คือทำตามที่เขาบอกอย่างเลี่ยงไม่ได้
เดินมาครู่หนึ่งก็มาหยุดที่หน้าห้องของใครไม่รู้ จากนั้นผู้ชายที่เดินนำมาก็หันมาบอก “นี่คือห้องของเอ็งนะนังหนู”
นังหนู? ก่อนหน้านี้ยังเรียกฉันว่านังเด็กนี่อยู่เลย แต่เอาเถอะเรียกแบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยนึง
“หนูไม่มีเสื้อผ้าเลยสักตัว จู่ๆ จับตัวหนูมาแล้วก็สั่งๆๆๆ ไม่ให้เวลาปรับตัวกันเลย”
“คิดซะว่ามันเป็นชะตากรรมของเอ็งก็แล้วกัน ถ้านายเอ็นดูก็อาจจะได้อิสระคืนในไม่ช้า”
“……..” ฉันได้แต่รับฟังแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน
ตอนนี้ฉันมีแค่ตัวกับเสื้อผ้าจริงๆ แถมยังดูมอมแมมเพราะเพิ่งจะทำงานบ้านเสร็จ ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกลากขึ้นรถรู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่กรุงเทพ โทรศัพท์ก็ไม่มีติดตัว หนำซ้ำรองเท้ายังใส่มาคนละข้าง
เมื่ออาทิตย์ก่อนไปดูหมอมา ไหนทักว่าฉันจะสบายนอนบนกองทองไง อุตส่าห์ดีใจสุดท้ายก็คงจะพูดไปส่งๆ หลอกลวงชัดๆ นี่แหละน่าเขาถึงว่าหมอดูก็คู่กับหมอเดา