Chapter 23 เผด็จการ

1466 คำ
“โอ๋ๆ นิ่งเตะๆ นั่งลงทานข้าวกันนะครับ” ชายหนุ่มง้อเหมือนเด็กอ้อนดึงแขนภรรยาให้นั่งลง หญิงสาวเกือบหลุดขำต้องแอบซ่อนยิ้ม เพราะขัดกับบุคลิกมาดผู้บริหารที่เธอเห็น “คุณเป็นเพื่อนกับคุณมินตรามานานหรือยัง” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นทำลายบรรยากาศความเงียบหลังจากที่นั่งรับทานอาหารมาได้สักพัก “ทำไมหรือคะ” “ผมอยากรู้เรื่องของเมียผมบ้างไม่ได้หรือครับ เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ แลกกัน!” “แลกกับอะไร” “คุณอยากได้อะไรล่ะ” ชายหนุ่มหันกลับมามองตาเชื่อม รษาเห็นว่ามาผิดทางก็เลี่ยงไปในเรื่องที่เขาถามก่อนหน้าแทน “รษาเป็นเพื่อนกับเมนี่มาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนรษาเป็นเด็กเกเรที่ถูกพ่อตามใจ เพราะทุกคนคิดว่าขาดแม่ ต่อมาพอคุณพ่อเสีย พี่ธามก็เป็นทั้งพ่อและแม่ของรษา ตามใจและทดแทนความขาดของรษาทุกอย่าง แต่ช่วงหลังพี่ธามต้องดูแลไร่ ไม่มีเวลาให้รษาเหมือนก่อน มินตราเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ทนนิสัยแย่ๆ ของรษาได้” “ถ้าวันหนึ่งมีคนบอกว่ามินตราคิดร้ายกับคุณ คุณจะเชื่อไหม” “ไม่เชื่อค่ะ” แทบไม่ต้องคิด หญิงสาวตอบกลับทันทีเสียงหนักแน่น “เพราะรษารู้ดีมาเสมอว่ามินตรารักพี่ธาม และทำดีทุกอย่างเพื่อเอาใจพี่ธาม ถึงแม้บางครั้งเธอจะอิจฉารษาบ้าง แต่อย่างมากมินตราก็แค่ใช้คำพูดเจ็บแสบตอนที่รษาทำพลาดสักเรื่องเพื่อความสะใจเท่านั้น ทุกครั้งเธอก็จะเป็นคนแพ้และยอมรษาทุกครั้งไป ที่ผ่านมารษาร้ายกว่ามินตรามาก คนรอบข้างรษาจะรู้ดีที่สุด” “อืม” ชายหนุ่มครางพยักหน้ารับรู้ “แล้วคุณล่ะคะ” “ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรมากหรอก ผมมีน้องสาวคนหนึ่ง แม่พาเราบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก หลังจากที่จับได้ว่าพ่อมีภรรยาอีกคน พ่อของผมเป็นคนเจ้าชู้มาก ตอนนั้นท่านก็ไม่ยอมเลือกใคร เพราะต้องการจะเก็บไว้ทั้งสองคน แม่ของผมเป็นคนที่ทิฐิสูงมาก ท่านยอมเดินจากไปเองและไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพ่อสักครั้ง จนถึงวันที่พ่อไปขอร้องให้ผมกลับมาช่วยบริหารโรงแรม เพราะท่านเจอเพื่อนนักธุรกิจชาวต่างชาติที่ชอบเหมือนกันและหันไปจับธุรกิจใหม่ของท่านอย่างเต็มตัว ส่วนแม่ของผมก็เพิ่งแต่งงานใหม่ไปไม่นาน ผมจำต้องกลับมาช่วยและเพิ่งเริ่มงานก็เลยยุ่งมาก ขอผมจัดระบบโรงแรมให้เรียบร้อยกว่านี้ก่อนนะ แล้วผมจะพาคุณไปพบคุณแม่ของผมที่ฝรั่งเศส ขอโทษที่ลัดขั้นตอนไป” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็คุณต้องการจะช่วยรษานี่ แล้วเราก็ไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ เสียหน่อย” “ผมบอกคุณอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม โน้มหน้าเข้าไปใกล้ วกกลับเข้าเรื่องเอาเปรียบเธออีกครั้ง หญิงสาวรู้ทันรีบถามเปลี่ยนเรื่องไป “แล้วภรรยาใหม่ของคุณพ่อของคุณล่ะคะ” “คุณมายาวีมีลูกสาวอีกคน อีกไม่นานคุณก็คงได้เจอกับพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาพูดหรือทำอะไรคุณ คุณรีบมาบอกผมทันทีนะ คือ เราพูดกันคนละภาษาน่ะ” ชายหนุ่มไม่วายพูดติดตลกในท้ายประโยคให้หญิงสาวไม่เครียด เพราะรู้ถึงความแรงของสองแม่ลูกดี “รษาไม่ใช่เด็กสามขวบนะ จะได้โดนคนรังแกได้ง่ายๆ จนต้องมีผู้ปกครองให้รายงานตลอดเวลา” ชายหนุ่มดึงจมูกรั้นเชิดหน้าตอบเขาอย่างมันเขี้ยว “พูดถึงเรื่องนี้ ผู้ปกครองขออีกเรื่องก็แล้วกันนะ ต่อจากนี้ไป คุณห้ามไปไหนโดยที่ไม่บอกผมเด็ดขาด ไม่ว่ากับใคร แม้แต่มินตราเพื่อนสนิทของคุณเองก็ตาม ถ้าคุณอยากไปไหน ผมจะพาคุณไปเอง” “เผด็จการ! คุณไม่มีสิทธิมากักขังรษานะ” “หลายวันก่อนพี่ชายคุณมาหาที่โรงแรมตอนคุณหลับอยู่ ผมบอกว่าจะพาคุณไปหาที่ไร่สัปดาห์หน้า ถ้าคุณไม่สัญญา ผมก็ไม่พาไป รวมถึงจะไม่คืนมือถือของคุณด้วย” “คุณคิดว่าคุณเป็นใคร ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสั่งและเผด็จการกับฉันได้สักคนนะ” รษาถามกลับเสียงแข็ง ลุกจากเก้าอี้ด้วยความโมโห “เป็นสามีที่เป็นห่วงคุณที่สุด” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบ “ไม่มีใครขวางฉันได้ ฉันจะกลับไร่” หญิงสาวย้ำเสียงหนักอย่างท้าทาย หันหลังเตรียมจะเดินออกจากห้องทำงานของชายหนุ่ม “ถ้าคุณคิดว่าจะผ่านด่านบอดี้การ์ดสองคนของผมไปได้ก็ลองดู แล้วก็ช่วยคิดด้วยว่าข่าวของคุณยังว่อนเน็ตอยู่” ชายหนุ่มพูดตามหลัง แต่ด้วยความโมโหหญิงสาวสะบัดหน้าพรืด เดินออกจากห้องไปทันที ชายหนุ่มไม่ได้สนใจที่จะตามง้องอนอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่เขากลับลุกขึ้นไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดกล้องวงจรปิดดูงานที่ซีสผับข้างล่างต่อ พร้อมกับสะสางแฟ้มเอกสารกองพะเนิน ที่สะสมในช่วงที่เขาใช้เวลางานไปเฝ้าหญิงสาวที่โรงพยาบาล หลังจากที่เดินออกเพียงไม่นาน หญิงสาวก็เดินหน้าตึงกลับเข้ามาในห้องทำงานของชายหนุ่มอีกครั้ง เจ้าของห้องแอบซ่อนยิ้มเงยหน้าขึ้นมามอง “ไม่ต้องแอบยิ้มหรอกฉันเห็น! สะใจมากล่ะซิ” หญิงสาวพูดกับเจ้าของห้องเสียงแข็ง “อ้าว! กลับมาแล้วหรือจ๊ะเมียจ๋า ผมคิดว่าพรุ่งนี้ต้องเหมาดอกไม้ไปง้อถึงไร่เสียอีก” ชายหนุ่มเย้า แต่อีกคนเดินหน้าตึงไปกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาตรงข้ามโต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง ชายหนุ่มละจากกองเอกสารตรงหน้า ลุกออกมาย่อตัวลงนั่งข้างๆ “แค่คุณสัญญาว่าจะบอกผมทุกครั้งเมื่อจะไปไหนกับใครเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มบอกเสียงทุ้ม หญิงสาวยังนั่งนิ่งหน้าหงิก ไม่ยอมพูดกับเขาเพราะยังโมโหไม่หาย “คุณอ่านหนังสือรอผมสักพักนะ ค่อยกลับห้องด้วยกัน ผมขอดูเอกสารกองนั้นก่อน” ชายหนุ่มชี้มือไปที่กองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับเดินไปหยิบหนังสือแฟชั่นสามเล่มในห้องมายื่นให้หญิงสาว รษามองหนังสืออย่างสงสัย เงยหน้าขึ้นถามคนยื่นให้อย่างเอาเรื่องทันที “หนังสือใคร คุณเป็นผู้ชายทำไมอ่านหนังสือพวกนี้” คนถูกถามหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง เย้ากลับอย่างอารมณ์ดี “โฮะ! นี่เรดาร์เมียของคุณเริ่มทำงานแล้วใช่ไหม" คนถูกเย้าหน้างอกว่าเดิม เห็นอย่างนั้นชายหนุ่มจึงยอมบอกเธอ แต่ก็ไม่วายหยอกเย้าดูเชิง "หนังสือนี่ของคนสำคัญผมเอง อ่านได้” “ใคร” รษาเผลอตัวร้องถามเสียงดัง เพราะเป็นคนไม่ชอบอะไรที่ปิดบัง แต่คนแกล้งกลับรู้สึกดีขึ้นมาเมื่อสิ่งที่ตัวเองทำได้ผล “ของเมียผมเอง กลัวเธอจะเหงาอยู่ห้องคนเดียว ผมเพิ่งให้เลขาฯ ไปซื้อมาให้ตอนบ่ายนี้เอง วันนี้งานผมยุ่งมากแทบไม่มีเวลาลุกไปไหน ก็เลยยังไม่มีเวลาได้เอาไปให้เธอ” คนตัวสูงตอบกลับพร้อมหันหลังกลับไปนั่งทำงาน เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นเจ้าของหนังสือ หญิงสาวก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวกับคำว่าคนสำคัญของเขา แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของผู้ชายอีกคนในห้อง เขายิ้มบางให้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะก้มลงไปสนใจงานที่ทำค้างไว้ต่อ ปรินทรปิดแฟ้มงานสุดท้ายลง พร้อมกับเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า พร้อมกับยกข้อมือดูเวลาจากนาฬิกาเรือนหรู “ตีสามครึ่ง ตายห่าละไอ้ปรินทร เมีย!” ชายหนุ่มลุกพรวดจากเก้าอี้ เขาทำงานเพลินต่อเนื่องจนลืมคนที่บอกให้อ่านหนังสือรอเสียสนิท สาวน้อยแก้มใสระเรื่อนอนคุดคู้กอดหนังสือแฟชั่นนอนหลับขดตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนโซฟา ความเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องที่เขารู้ดีว่าสำหรับคนอื่นคงถึงขั้นหนาว เพราะเขาเป็นคนขี้ร้อนมากนั่นเอง “ผมขอโทษนะครับ ต่อไปผมจะไม่ทำอย่างนี้อีก” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับช้อนอุ้มสาวน้อยเดินกลับไปที่ห้องนอน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม