กริ๊ก
เสียงไขกุญแจห้องพักสำเร็จ บุรินทร์ลองเปิดประตูดู ปรากฏว่ามันเปิดได้ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าคม
“ไม่ล็อกห้องเอง ช่วยไม่ได้นะ” บอกเธอในใจ ที่เข้าห้องไปโดยที่เธอไม่ได้ตั้งตัว อีกครั้ง...
เขาก้าวเข้าไปห้องกว้างขนาดเจ็ดสิบตารางเมตร ที่ทำทางเข้าลดหลั่นไปผ่านส่วนของห้องน้ำ และห้องนอนกว้างที่หน้าต่างยาวเต็มเท่าขนาดผนัง เพื่อให้ทอดมองเห็นวิวทะเลและหาดทรายขาวได้ชัดเจน เขาก้าวเข้าไปเงียบๆ ไม่เชื่อว่าเธอจะนอนซมเพราะป่วยอย่างที่บอกทุกคน เดาว่าน่าจะป่วยการเมืองมากกว่า
แล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด ศรุตายืนเกาะขอบหน้าต่าง ทอดสายตามองขบวนของพ่อแม่เขาและพ่อแม่ของเธอพร้อมทั้งผู้ช่วยของเขาที่ติดตามไปดูแลอำนวยความสะดวกให้เดินไปลงเรือสปีดโบ้ทที่ท่าเรือของโรงแรม ซึ่งมองเห็นเหตุการณ์ได้จากห้องของหญิงสาว
เธออ้างว่าไม่สบายเพราะไม่อยากขึ้นเรือไปเที่ยวตามโปรแกรมที่คุยกันไว้ตอนมื้อค่ำเมื่อวาน เดาว่าที่แกล้งป่วยคงเพราะคิดว่าเขากับน้องชายจะไปด้วย ที่มายืนดูอยู่นี่คงเพราะอยากรู้ว่าพวกเขาไปจริงหรือเปล่า ชายหนุ่มเดาความคิดของเธอได้ไม่ยาก
ลูกไม้ตื้นๆ คิดว่าจะหนีได้ตลอดรึไงกัน
“ที่ท่าเรือ มันมีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น”
เขาเอ่ยขึ้นดังๆ คนที่แอบมองและลุ้นว่าของให้สองพี่น้องลงเรือไปด้วยผวาเฮือก เธอลุ้นให้เขาไปเที่ยวจะได้เดินดูรีสอร์ต เขาอย่างสบายใจ แต่ทว่าเขากลับเข้ามาอยู่ที่ห้องของเธอ
“คุณเข้ามาในห้องนี้ทำไม” หญิงสาวเกือบจะกรี๊ดเพราะตกใจ เธอแต่งกายล่อแหลมนัก เพิ่งออกมาจากห้องน้ำและพันผ้าเช็ดตัวผืนเดียว กับอีกผืนที่พันรอบผมแห้งหมาด เธอเพิ่งอาบน้ำสระผมไป ยังเป่าไม่เสร็จ เพราะนึกได้ว่าเวลานี้เป็นเวลานัดเรือออก เลยจะมาดูให้แน่ใจ
“รีสอร์ตของผม ผมจะไปที่ไหนก็ได้”
“แต่นี่มันห้องพักแขก”
เธอเอามือปกปิดเนื้อผิวที่ดูเหมือนจะร้อนระอุยามสายตาเขาโลมเลีย เขาจะเข้ามาทำอะไรก็เรื่องของเขา แต่ตอนนี้เธอต้องหาเสื้อผ้ามาใส่ อย่างน้อยมีเสื้อคลุมก็ยังดี
หญิงสาวก้าวไวๆ แต่คนตัวสูงคว้าแขนเธอเอาไว้จนเธอเผลอร้อง
“ปล่อยนะ” สะบัดแขนจากมือร้อนของเขา แต่ก็ยากเย็นเหลือเกิน อีกมือหนึ่งคว้าปมผ้าขนหนูไว้ไม่ให้หลุด
“ไม่ปล่อย แม่คุณให้ผมมาดู คุณบอกเองว่าป่วย อันที่จริงหลังจากทักทายคุณเล็กๆ น้อยๆ ผมก็ไม่ได้คิดจะมาเจอคุณลำพังเลยนะ”
คำว่าทักทายเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เธอควันออกหู
“เป็นหมอรึไง ฉันไม่สบายจะออกไปหาหมอเอง ไม่ต้องมายุ่ง”
“จะออกไปหาที่ไหน ผมก็หมอ แวะมาตรวจถึงเตียง”
“ขี้โม้”
“ปากดีอย่างนี้ไม่ป่วยจริงล่ะมั้ง” เขาโยนล่วมยาไปที่โซฟาก่อนจะคว้าแขนเธอเอาไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวพยายามดิ้นจากมือหนาเหมือนคีมเหล็กของเขา
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันแค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย สงสัยนอนน้อย ตั้งใจว่าจะพักเลยไม่ออกเรือไปวันเดย์ทริปเพราะกลัวเมาเรือ” เธอละล่ำละลักบอก คนตรงหน้าเธอร้ายกาจกว่าที่จะต่อกร
ทั้งที่ไม่อยากยอมก็ต้องแกล้งพูดกับเขาดีๆ เขาจะได้ไม่รังแกเธอ
“ป่วยการเมืองนี่เอง”
แม้จะฉุนกับคำพูดของเขา แต่เธอก็ก้มหน้า
“ว้าย”
เธอถูกดึงเข้าประชิดกายแกร่ง คราวนี้หญิงสาวดิ้นอย่างบ้าคลั่ง เพราะเธอจะไม่ยอมให้เหตุการณ์ใกล้ชิดที่ไม่สมควรเกิดนั้นเกิดขึ้นอีก
“ปล่อยฉันนะ”
“ตอนที่แม่ผมกลับมา หาโอกาสคุยเป็นการส่วนตัวกับแม่ผม บอกว่าคุณไม่อยากแต่งงานกับนายไวท์”
เขาสั่ง
“ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้น”
“เพราะว่านายนั่นแต่งงานกับคุณไม่ได้และแม่ผมเป็นคนเดียวที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ ถ้าคุณไม่ทำ ผมไม่รับรองความปลอดภัยของคุณ”
“...” หญิงสาวงงไปหมดไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร
“เข้าใจที่พูดหรือเปล่า”
“เข้าใจค่ะ เข้าใจ ทำไมไม่บอกกันดีๆ ทำไมต้องมาทำแบบนี้กับฉันด้วย” เธอเงยหน้ามองเขาแล้วถาม ในระหว่างนั้นก็พยายามดิ้น จนตัวเธอที่ชิดอยู่กับเขาเบียดเขาให้ร้อนไปหมด ปมผ้าเช็ดตัวหลุดลุ่ยแล้วเธอยังไม่รู้
“ทำไมเหรอ” เขายิ้มมุมปาก ตอนแรกเมื่อคืนก็ตั้งใจว่าจะย่องเข้ามาพูดด้วยดีๆ แต่เธอทำให้เขาอยากทำมากกว่านั้นมาก เป็นความผิดของเธอ ที่สวยถูกใจเขาเกินไป เลยอุ้มเธอกลับห้อง! “ก็เพราะถ้าคุณไม่ได้แต่งงานกับไอ้ไวท์ ก็จะเป็นผมแทน ผมแค่ใช้สิทธิ์ล่วงหน้า”
หญิงสาวอ้าปากค้าง
“ผมมีทางเลือกให้คุณสองทางเลือกทราย ถ้าคุณพูดกับแม่ผมเองคุณจะไม่เสียตัวก่อนแต่ง แต่ถ้าไม่ไปขอร้องและบอกว่าคุณไม่ชอบนายไวท์ ผมจะลากคุณขึ้นเตียงจนกว่าคุณจะอยากแต่งงานกับผม และเลือกผมเป็นเจ้าบ่าวด้วยความเต็มใจ”
“แล้วทำไมพวกคุณไม่บอกพ่อแม่คุณเอง ฝ่ายที่อยากให้มีงานแต่งงาน เป็นฝ่ายคุณนะ”