ความรักครั้งก่อนทำเอาฉันสาหัสไม่น้อยเลย มันทำให้ฉันไม่เป็นตัวเองและจมอยู่กับความรู้สึกเดิม ๆ กระทั่งเจอใครคนหนึ่ง... เขาบอกฉันว่าอกหักเขาไม่ร้องไห้กันหรอกนะ เขาเริ่มต้นใหม่กันทั้งนั้นแหละ
ใช่ค่ะฉันเริ่มต้นใหม่จริง ๆ แม้ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ถูกเรียกว่าคนคุยก็ตาม กับเขาคนนี้ฉันไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ทีแรกฉันรู้แค่ว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายเท่านั้นเอง นิสัยเขาเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้เช่นกันรู้แค่ว่าเพลย์บอยพอสมควร จะว่าไปก็คงไม่ต่างจากพี่ชายฉันเท่าไหร่
เรามีโอกาสเจอกันบ่อยขึ้นและทุกครั้งเขามักจะเห็นน้ำตาของฉันเสมอ อายเหมือนกันนะแต่ทำไงได้ก็ตอนนั้นมันยังเจ็บอยู่ และก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่คอยพูดคอยเตือนสติแถมยังเข้าใจความรู้สึกฉันเป็นอย่างดีจนมารู้ทีหลังว่าเขาเพิ่งเลิกกับแฟน
นานหลายเดือนที่ฉันติดตามเขาในโซเชียลก็เห็นหมดแหละค่ะว่าอะไรเป็นอะไร พี่เขาไม่ค่อยโพสต์รูปหรืออัพเดตชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่นาน ๆ ถึงจะลงสักทียอดถูกใจเยอะมากหนึ่งในนั้นก็เป็นฉัน กระทั่งวันหนึ่งมีแชทแปลก ๆ ส่งมาหาฉัน เข้าไปส่องโปรไฟล์มาสวยค่ะแต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขาบอกประมาณว่าฉันไปยุ่งกับแฟนเขา และคนที่ถูกอ้างถึงก็คือพี่คนนั้นนั่นแหละ
ฉันตัดสินใจถามไปตามตรงหากว่าเขามีแฟนแล้วจริง ๆ ฉันจะเลิกยุ่งเพราะไม่อยากไปขั้นกลางความสัมพันธ์ของใครแต่ว่าคำตอบที่ได้คือพี่เขายังโสดค่ะ
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเราก็พูดคุยกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ของเราไม่มีชื่อเรียก เขาไม่บอกใครส่วนฉันก็บอกใครไม่ได้ เป็นความสัมพันธ์ที่รู้กันแค่สองคนจริง ๆ
ชื่อเสียงเรียงนามของเขาฉันได้ยินมาหนาหูพอสมควรแต่ก็เลือกที่จะมองข้ามแล้วมีความสุขกับพื้นที่เล็ก ๆ ของตัวเอง ตราบใดที่เขายังไม่เรียกใครว่าแฟนฉันก็ถือว่าตัวเองยังมีสิทธิ์ค่ะ
ถึงตอนนี้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงหวั่นไหวง่ายตอนกำลังเสียใจเพราะว่าใครอีกคนเข้ามาทำให้รู้สึกว่าเรามีค่ากับเขาไง ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ผ่านมานี้ฉันค้นพบว่าตัวเองมีความสุขได้มากกว่านี้แค่ตอนนั้นหลงอยู่กับคำว่ารักแรกมากไปเท่านั้นเอง พอได้เริ่มต้นใหม่ได้เจอคนใหม่ ๆ มันก็ทำให้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีผู้คนอีกมากมายที่พร้อมจะเคียงข้างฉันโดยไม่สนว่าฉันเจออะไรมา...
“ไหนพี่บอกว่าความลับไงคะ” เอ่ยถามแทบจะทันทีเมื่ออยู่ ๆ ก็เจอพ่อกับแม่เขาโดยไม่ทันตั้งตัว
“แล้วพี่บอกเหรอว่าจะเป็นความลับตลอดไป”
“...”
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากยิ้มให้ฉันแล้วเดินนำเข้าไปในตลาด
ความลับของเขาคืออะไรฉันไม่รู้ แต่ความลับของฉันคือพี่มิวค่ะ แน่นอนว่าฉันยังจำคำเตือนของเขาได้ดี
“คุยกับไอ้ปั้นอยู่เหรอ”
“...”
“พี่จะไม่ห้ามหรอกนะแต่รู้ไว้เถอะว่ามันไม่จริงจังกับใครง่าย ๆ หรอก”
ที่ผ่านมาพี่มิวรับรู้มาโดยตลอดแต่ก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยู่ในสายตาเขามาโดยตลอดเช่นกัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะสนิทกันเลยรู้ว่านิสัยและตัวตนที่แท้จริงของเพื่อนตัวเองเป็นยังไงด้วยแหละ ฉันคิดนะหากว่าวันหนึ่งความสัมพันธ์ของฉันกับเขาจบลงหรือไม่ได้ดีอย่างที่หวังไว้ระหว่างพวกเขาจะยังเป็นเพื่อนเหมือนเดิมไหม หรืออาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงฉันคงคิดมากไปเอง
“แล้วถ้าพี่มิวรู้ล่ะคะ”
“มันต้องรู้อยู่แล้วแต่ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวพี่คุยเอง” น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับอย่างไม่คิดอะไรมากนักต่างจากตอนแรกที่ออกคำสั่งกับฉันว่าอย่าให้รู้โดยสิ้นเชิง ตกลงมันยังไงนะเขากำลังจริงจังหรือว่าฉันคิดมากไปเอง
กว่าจะได้กลับบ้านฉันได้ของกินเยอะแยะเลยค่ะ ก็แม่เขานั่นแหละซื้อให้จนฉันต้องเอ่ยปากห้าม
“พอแล้วค่ะคุณน้าหนูกินไม่หมดแล้วเนี่ย”
“จริงด้วย”
“ซื้อให้หมดไม่สนลูกใคร” พ่อเขาว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะส่ายหน้าให้
“ลูกใครล่ะ ก็ลูกสะใภ้เราไง”
“แม่ครับ!”
“หรือจะปฏิเสธ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นแต่พ่อกับแม่ก็ตรงเกินไปน้องทำตัวไม่ถูกแล้วเนี่ย”
“แกต่างหากทำตัวไม่ถูก”
ฉันก็ทำตัวไม่ถูกค่ะ เราไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อยแต่ทำไมถึงถูกเข้าใจไปแบบนั้น
“จะห้าโมงเย็นแล้ว” ฉันกระซิบบอกเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาที่พี่มิวจะเลิกงาน
“เจอกันที่บ้านนะครับผมไปส่งน้องก่อน”
“อืม ขับรถดี ๆ นะลูก”
“ครับ”
“หนูกลับแล้วนะคะ สวัสดีค่ะ” ก่อนกลับก็ไม่ลืมยกมือไหว้อีกครั้ง แอบกระซิบหน่อยค่ะว่าพ่อแม่เขาน่ารักมาก ไม่ได้ดุอย่างที่คิดเลยแถมยังดูเข้าใจความรักของวัยรุ่นเป็นอย่างดีอีกด้วย
“ไว้มีโอกาสเราเจอกันอีกนะ” พ่อของเขาพูดขึ้นแต่กลับเสมอสายตาไปทางลูกชายตัวเอง “ถ้ามันเหี้ยก็เขี่ยมันทิ้งไปได้เลย”
“ค่ะ”
“อ้าว!”
… : ฮ่า ๆ
กลั้นหัวเราะไม่ได้จริง ๆ ค่ะ บอกแล้วว่าครอบครัวเขาน่ารัก
“พ่อแม่พี่น่ารักดีนะ” ฉันว่ายิ้ม ๆ เมื่อกลับมาถึงรถ
“ถ้าโดยปกติก็ใช่ แต่ถ้าพี่หรือเพียงฝันทำผิดก็จะต่างไปอีกแบบ”
“เขาดูเข้าใจความรักวัยพวกเรามากเลย ไม่ได้มองหนูด้วยสายตาแปลก ๆ”
“ไม่หรอก พ่อกับแม่พี่บอกเสมอว่าทุกคนสามารถมีความรักได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เหี้ยที่สุด เลวที่สุดหรือแม้กระทั่งคนเย็นชากร้านโลกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะมีความรักได้เช่นกัน”
“ดีจัง...” มันดีมากจริง ๆ ค่ะ คนรอบข้างเขาดีแบบนี้นี่เองเขาถึงมีวิธีพูดให้ฉันรู้สึกดีและคิดได้ไม่จมปรักอยู่กับความรู้สึกแย่ ๆ เหมือนในตอนนั้น
“ปกติอยู่บ้านกับใครบ้าง” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยพลางมองเข้าไปในตัวบ้านฉันที่มีแต่ความว่างเปล่า
“พ่อกับพี่มิวค่ะ แต่ว่าช่วงนี้พ่อเขาไปอยู่กับแฟนเขาน่ะอาทิตย์หนึ่งถึงจะกลับมาสักทีที่บ้านเลยเหลือกันสองคนพี่น้อง” พ่อกับแม่ฉันแยกทางกันนานแล้วค่ะ ท่านจบกันด้วยดีและยังคงทำหน้าที่พ่อกับแม่ให้เราสองคนเป็นอย่างดีอีกด้วย
“แล้วแม่อยู่ไหน”
“อยู่บ้านยายที่ต่างจังหวัดค่ะ”
“อ๋อ”
“หนูเข้าบ้านแล้วนะ สวัสดีค่ะ”
“ถึงบ้านเดี๋ยวพี่โทรหา”
“ค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะเดินเข้าบ้านด้วยความสดใสแต่พอถึงหน้าประตูถึงกับหยุดชะงักเลยทีเดียว
“พี่มิว”
“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
นานหลายนาทีที่ความเงียบเข้าปกคลุม ฉันไม่รู้จะเริ่มยังไงยิ่งเห็นท่าทางนิ่งเฉยของคนตรงหน้าฉันยิ่งทำตัวไม่ถูก มันเกร็งมันกังวลไปหมดเลยค่ะ
“ไปไหนมาเหรอ?” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยพร้อมกับสายตาว่างเปล่า
“ไปห้างสรรพสินค้าแล้วก็ตลาดนัดค่ะ”
“แล้วในมือล่ะ” หมายถึงแคร์แบร์ที่ฉันกอดอยู่สินะ
“พี่เขาซื้อให้ เป็นของขวัญวันเกิดค่ะ” ประโยคหลังแทบจะกลั้นหายใจด้วยซ้ำ ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรผิดแต่ทำไมต้องกังวลขนาดนี้ด้วยนะ
“วันนี้เลิกเรียนกี่โมง”
“ครึ่งวันค่ะ”
“...”
“ขอโทษค่ะที่ไม่ได้บอกแต่หนูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะ แล้วพี่เขาก็ไม่ได้ล่วงเกินหรือ...”
“ไม่ต้องแก้ต่างแทนมันหรอกถ้าเลือกแล้วว่านี่คือการเริ่มต้นใหม่พี่ก็จะไม่ห้ามหรอกนะ แล้วก็หวังว่าเราจะใช้สติมากกว่าความรู้สึกหากว่าวันหนึ่งทุกอย่างมันไม่ได้เป็นแบบที่คิด แล้วก็ไม่ต้องไปบอกมันล่ะว่าพี่รู้ทุกอย่าง ดูซิว่ามันมีความสามารถรับผิดชอบความรู้สึกตัวเองมากน้อยแค่ไหน เราก็เหมือนกันอย่าเอาทุกความรู้สึกไปไว้ที่มันมากนัก ถือว่าพี่เตือนแล้ว”